บทที่11 พบปะกัน

1983 Words
(ต่อจากนี้นางเอกจะแทนตัวเองว่า เหม่ยเสี้ยว) สรุปแล้วเหม่ยเสี้ยวได้สกิลมาหลายอย่าง ร้องเพลง อ่อยขั้น1 สเน่ห์ขั้น1 เย็บปักถักร้อย ทำอาหารอร่อย(แต่ไม่รู้สูตร) ตอนแรกเธอกะจะเอาแบบ ทำอาหารอะไรก็เป็น แค่นึกถึงก็มีสูตรเข้ามาในหัว แต่ราคาแสนแพง คิดว่าไม่คุ้ม เลยเลือกมาเฉพาะสกิลทำอาหาร แต่เหมือนจะมีคนโดนผลสกิลอยู่สองอัตราแล้วตอนนี้ ย้อนกลับไปเมื่อวาน เหม่ยเสี้ยวกำลังตั้งร้าน หลังจากไปจ่ายเงินที่จวนแล้ว โดยมีหานตงตามมาด้วย เหมือนช่วงนี้เขาจะตามติดเธอแปลกๆ วันนี้เธอมีสินค้าใหม่ คือน้ำมันกลิ่นไป่เหอ(ดอกลิลลี่) เพราะเมื่อหลายวันก่อนบังเอิญไปเจอดงดอกลิลลี่ป่า ระหว่างที่กำลังหาต้นมะพร้าวต้นใหม่พอดี เลยได้ทำมาขายด้วย แต่ที่พิเศษคือ รอบนี้มีครีมทาผิวสำหรับหญิงสาวมาขายด้วย โดยมีพรีเซ็นเตอร์เป็นหานตง ที่ตามมาอย่างไม่รู้ชะตากรรม เพราะเขามีผิวเนียนขาวดี เหม่ยเสี้ยวเลยคิดว่า เอาเขาเป็นตัวอย่างน่าจะดี ครีมทาผิวนั้น เมื่อวันก่อนเธอบังเอิญรู้ว่าหานตง มีธาตุเรือนกายเป็นธาตุลม เลยใช้แต้มซื้อหนังสือสกิลมาให้เขาเรียนวิชาบังคับลม ให้ปั่นครีมน้ำมันมะพร้าวขึ้นมา “หานตง เจ้าต้องนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนี้นะ ไหนๆก็มาแล้ว ช่วยทำมาหากินด้วย” ดอกเหมยเอ่ยดุๆ จริงๆนางอยากจะเก็บเขาไว้ดูเล่นที่บ้านคนเดียวด้วยซ้ำ เพราะเด็กหนุ่มนั้นนุ่นนิ่ม ดูน่าจะละลายในปากดีสุดๆ เธอเปิดเสื้อตรงไหล่เขานิดหน่อย เพื่อโชว์แผงอก และเหมือนหานตงจะเข้าใจ เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง หลังจากนั้นเหม่ยเสี้ยวก็แต้มน้ำมันไป่เหอลงที่บริเวณคอเขาเล็กน้อย พร้อมกับป้ายลงที่แขนทั้งสองข้าง คราวนี้กลิ่นหอมและเด็กหนุ่มหน้าตาดี ที่เปิดเสื้อนิดๆ เผยผิวกายขาวจัดอมชมพู ดูสุขภาพดี ทำให้หญิงสาวพุ่งเป้าเข้าร้านเธออย่างรวดเร็ว น้ำมันดอกลิลลี่หมดแทบจะภายในหนึ่งเค่อ เหม่ยเสี้ยวลอบมองหน้าของหานตงเป็นระยะ เพราะตอนนี้เขากำลังถูกสาวๆทั้งเมืองลวนลาม อย่างกับเป็นนายโลม ในหอนายโลมไปเสียแล้ว “วันพรุ่งเราจะขายสินค้าราคาปกติแล้วนะเจ้าคะ ราคานี้หมดแล้วหมดเลย” ดอกเหมยรีบขายของ เมื่อเห็นว่าคนหน้าร้านไปเกือบหมดแล้ว นางหยิบของใส่ชะลอมที่ถักขึ้นอย่างตั้งใจ เพราะมีนัดว่าจะให้สินค้าทดลองกับคนบางคน แถมในนั้นมีกลิ่นอื่นๆที่กำลังทดลองติดไปด้วย “เป็นอย่างไรบ้างหานตง เข้าไปแอบหลังร้านก่อนเถอะ ข้าเก็บของคนเดียวได้” เพราะหานตงกลายเป็นหนุ่มฮอตไปแล้ว เหม่ยเสี้ยวเลยให้เขาแอบๆหน่อย เอาจริงๆถ้าไม่หวั่นไหวคงแปลกแล้วล่ะ เด็กหนุ่มหน้ามนเช่นหานตงมาโชว์เรือนร่างอย่างนี้ เธอขยับเสื้อผ้าของหานตงให้เข้าที่ ยิ้มให้เขาอย่างให้กำลังใจ หมับ.. เหม่ยเสี้ยวตกใจ เมื่ออยู่ๆก็มีมือมาจับข้อมือของเธอไป ก่อนจะดึงให้หันไป เธอหันไปตาเบิกโพรง ชายหนุ่มในชุดสีเขียวยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ทำหน้าถมึงตึงราวกับโกรธใครมา “คารวะคุณชาย ไม่นึกว่าท่านจะมาด้วยตัวเอง ข้าตระเตรียมสินค้าที่แนะนำบอกไว้ให้แล้ว แต่วันนี้ของขายเกือบหมด ข้าเลยคิดจะให้ท่านเป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆ ที่ท่านช่วยซื้อสินค้าของข้าเมื่อคราวก่อน” เหม่ยเสี้ยวหันไปหยิบชะลอมอย่างใจเย็น ก่อนจะยิ้มให้เขา หานตงเดินถอยหลังไปนิดๆ เมื่อรู้สึกว่าผู้มาใหม่มองมาอย่างไม่พอใจ เพราะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นอะไรสำหรับหญิงสาว เขาไม่อาจเอื้อมแม้จะตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกพบ เมื่อมีคนที่คู่ควรกว่าเข้าหาหญิงสาว เขาก็ถอยให้ด้วยความยินดี “..” หานตงโค้งให้เขาอย่างยากลำบาก ก่อนจะแค่นยิ้มให้เขา ฟางอ๋องตวัดสายตากลับมามองร่างแน่งน้อยที่ยื่นของที่ทำจากไผ่สานอย่างประณีตให้เขา “ฝีมือเจ้าดียิ่งนัก ว่าแต่แม่นางเจ้าชื่ออันใดรึ” เหม่ยเสี้ยวยิ้มให้เขาก่อนจะตอบ “ เหม่ยเสี้ยวเจ้าค่ะ” เธอตอบกลับไป ว่าแต่ทำไมวันนี้คุณชายชุดเขียวถึงหน้าบึ้งนักนะ เหม่ยเสี้ยวได้แต่คิดในใจ “วันนี้เจ้าแต่งหน้าด้วยหรือเหม่ยเสี้ยว งามนัก” เหม่ยเสี้ยวหน้าแดง ถึงจะอยู่มาจนจะแก่ตาย ก็เพิ่งจะเขินกับคำชมของผู้ชายเนี่ยแหละ “พอดีข้าทำเครื่องสำอางใช้เอง เลยลองทามา คิดว่าสีออกจะแดงเกิน” เธอพูดตามจริง เมื่อเช้าบังเอิญเจอดอกกุหลาบ เลยเอามาใช้แต่งแต้มสีให้หน้าเสียหน่อย “งามพอดีแล้ว มากกว่านี้ หรือน้อยกว่านี้ ก็คงไม่งามเท่านี้” ดอกเหมยเงยหน้าสบดวงตาเขา ดวงตาคมกริบที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม มองทอดมาทางเธออย่างเปิดเผย ทำเอาเธอต้องรีบหลบสายตา “ว่าแต่นายท่าน มีนามว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ” เหม่ยเสี้ยวถามตามมารยาท มือเล็กหยิบปอยผมขึ้นทัดหู ก่อนจะก้มหน้าเอียงอาย ราวกับสาวน้อยแรกแย้ม ทั้งที่อายุดวงวิญญาณปาไป52ปีถ้วนแล้ว “ต้าจินฟาง ” เขาพูดเพียงเท่านั้น ก่อนจะหันไปมองคนด้านหลัง เป็นเชิงให้นางแนะนำ “อ่อ ...เอ่อ ผู้นั้นคือหานตง เป็น...” เหม่ยเสี้ยวคิดไม่ออกว่าเขาเป็นอะไรสำหรับนาง หานตงเดินขยับเข้ามายืนใกล้ๆ ก่อนจะทำไม้ทำมือ ก่อนจะนั่งลงนั่งที่พื้นแทบเท้าของเหม่ยเสี้ยว หญิงสาวตกใจกระตุกเท้าถอยหลังออกห่าง ไม่คิดว่าเขาจะรู้สึกกับเธออย่างนั้น ท่าทางที่แสดงนั้นมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นเจ้านาย จนถึงเจ้าชีวิตของเขา ฟางอ๋องพยักหน้ารับรู้ เขาตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มรูปงานผู้นี้พูดไม่ได้ ดูจากการแนะนำตัวโดยไม่มีแซ่ บ่งบอกว่าทั้งสองคงเป็นเด็กกำพร้า และอาจจะช่วยเหลือกันมานาน เด็กหนุ่มจึงยกย่องเหม่ยเสี้ยวถึงเพียงนั้น แต่อีกไม่นาน หญิงตรงหน้า จะได้ใช้แซ่ของเขาอย่างแน่นอน ต้าเหม่ยเสี้ยว ดูเข้ากันดีขนาด … เหม่ยเสี้ยวนั่งอยู่หน้าคอมพ์โฮโลแกรม ด้านในป่าเข้ามานิดหน่อย เพราะไม่อยากให้หานตงเห็นและเกิดสงสัย เธอพิมพ์เรื่องราวที่ผ่านมา ระหว่างเธอกับหานตง และต้าจินฟาง หรืออ๋องเขียว พิมพ์ไปก็บิดเขินไป ไม่รู้จะรู้สึกเขินกับท่านอ๋อง หรือหนุ่มน้อยดี หลังจากวันนั้นหานตงก็เริ่มก่อสร้างกระท่อมเล็กๆขึ้นมา เขาเริ่มสนทนากับเธอด้วยภาษามือ ดูน่ารักไปอีกแบบ ถึงแม้เขาจะพูดไม่ได้ ฐานะต่ำต้อย แต่สำหรับเธอเขาคือพระเอกคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่มอบชีวิตให้เหม่ยเสี้ยว…. เพราะเนื้อเรื่องต่อจากนี้ ไม่ได้ถูกกำหนดไว้ก่อน แต่เธอเป็นคนมาเขียนบรรยาย และไม่มีผลกับความรู้สึกจริงๆของตัวละครในโลกนี้ ทำให้เธอมโนได้จัดหนักเลยทีเดียว ยิ่งฉากที่ท่านอ๋องเอื้อมมือมาปัดปอยผมทัดหูให้เธอ ยิ่งทำให้เหม่ยเสี้ยวเขิน หรือจะตอนที่สอนหานตงจับปลา แล้วบังเอิญเขาจุ้บแก้มเธอ ยิ่งคิด ความขี้มโนของหญิงสาวก็ยิ่งทำงาน และฟินหนักเข้าไปอีก เพราะเธอประสบเหตุพวกนั้นด้วยตัวเองจริงๆ แม้ว่าจะไม่ถึงขนาดที่เขียนลงไป แต่ก็เป็นเหตุที่ทำให้ใจเต้นแรง . “หานตง ข้าจะเข้าเมืองเสียหน่อย เพื่อติดต่อซื้อหาที่ดินชายป่ามาสร้างจวน ไปด้วยกันไหม” เหม่ยเสี้ยวเอ่ยชวน จริงๆเงินที่มียังไม่พอหรอก แต่ก็อยากจะรู้ราคากลางไว้ เพราะรอบต่อไปที่จะขาย จะขายน้ำหอมในราคาปกติแล้ว อาจจะได้เงินเร็วกว่าที่คิด เพราะน้ำหอมเป็นของใช้แล้วหมดไป รวมถึงครีมเองก็ด้วย เด็กหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเดินไปล้างมือ [ส่งต้นฉบับเรียบร้อย พระเจ้าทรงตรัสว่า…] เสียงของเหม่ยลู่ดังมาจากในจิต นางบอกว่าพระเจ้าให้เข้าไปอยู่ในจิตใจไม่ต้องปรากฎตัวออกมาแล้ว เพราะเธอไม่ต้องการเพื่อนแล้ว ทำอาเหม่ยลู่งอนไปใหญ่อีก [เธออยากได้เป็นทอง หรือเป็นแต้ม] ดอกเหมยตกใจ อยู่ๆเสียงทุ้มก็ดังในหู ก่อนจะกลับเป็นเสียงเหม่ยลู่เหมือนเดิม [ค่าต้นฉบับ ตอนละ30ทอง หรือ 3แสนแต้ม] ดอกเหมยหนักใจ พอแปลงออกมาเป็นแต้มแล้วก็เยอะพอสมควรเลย หนังสือสกิลต่างๆก็สำคัญ แต่ตอนนี้บ้านก็สำคัญ เธอจะอยู่ร่อนเร่ไปตลอดไม่ได้ เมื่อตัดสินใจไม่ได้ เหม่ยเสี้ยวเดินไปที่หานตง ก่อนจะเอ่ยถามเขา “หานตง เจ้าคิดว่าเราอยู่อย่างนี้ ลำบากหรือไม่” เหม่ยเสี้ยวรอคำตอบ เด็กหนุ่มมองหน้านายสาวอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะจับที่หน้าอกตัวเองแล้วโบกมือ ก่อนจะชี้ไปที่นาง แล้วพยักหน้า เหม่ยเสี้ยวเห็นคำตอบแล้วได้แต่หลับตาลง เขาบอกว่า หากเป็นเขา เขาอยู่ได้ แต่สำหรับนางอยู่อย่างนี้ไม่ดี เหม่ยเสี้ยวเห็นด้วย เธอจะอยู่แบบไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนี้ไปตลอดไม่ได้ ‘อาลู่ จัดมา30ทอง’ เหม่ยเสี้ยวมองที่ย่าม ที่อยู่ๆก็พองขึ้นอีกแล้ว ก่อนจะยิ้มแหยๆให้ตัวเอง “เข้าเมืองกัน” เหม่ยเสี้ยวเดินนำ ตามด้วยเด็กหนุ่มที่ลอบมองเธอบ่อยๆ โดยเฉพาะพักนี้ เหมือนนายสาวของเขาจะสวยขึ้นเรื่อยๆ “ว่าแต่จะไปทางไหนต่อดีล่ะ ปกติจะต้องไปหาดูราคาที่ดิน ที่ไหนกันนะ” พูดลอยๆคล้ายพูดกับตัวเอง แต่หารู้ไม่ว่ามันส่งไปถึงบางคน . จวนต้าอ๋อง พรึ่บ เสียงคล้ายนกกระพือปีกนั้น เป็นที่รู้ดีว่าเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของเหล่าเงา ฟางอ๋องเงยหน้าจากงาน ก่อนจะต้องตื่นตาเมื่อเห็นว่าใครที่กลับมารายงาน หว้าอู เงาหลักที่คอยติดตามดูว่าที่หวังเฟย เหม่ยเสี้ยว หญิงสาวผู้ครองดวงใจของอ๋องหนุ่มเจ้าสำราญ “ตอนนี้นางกำลังเดินทางออกจากป่า เพื่อหาทางซื้อที่ดินขอรับ” ฟางอ๋องเผยสีหน้าแปลกใจ แม้ว่าเขาจะไปสายในวันที่นางขายของที่ผ่านมา แต่ดูจากราคาสินค้าแล้ว ไม่น่าจะพอสำหรับซื้อที่ดินหรอก “แล้วอย่างไรเล่า” เขาพูดหงุดหงิดนิดๆ ถ้าให้เดาคงมีหานตงหนุ่มใบ้รูปงาม เดินตามต้อยๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ถ้าไม่ใช่เพราะการศึกที่ติดพันอยู่ เขาคงไปเดินตามแม่นางน้อยต้อยๆแทนที่เด็กหนุ่มรูปงามผู้นั้นแล้ว “แต่เหมือนนางจะไม่คุ้นเคย เหมือนกำลังสับสน หากพระองค์...” เขากำลังจะพูดว่าทำคะแนน แต่เหมือนฟางอ๋องจะคิดขึ้นได้เสียก่อน เพราะเขาพลิ้วกายออกจากตำหนักไปแล้ว ไม่ทันได้เห็นเงาด้วยซ้ำ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD