8

3143 Words
สาริศาหมุนตัวหนีแล้วพาตัวเองว่ายออกไปให้ห่างจากเขา เกาะที่ขอบบันไดด้วยอาการเหนื่อยหอบปนตื่นตระหนก แม้จะพบว่าบุรินทร์ไม่ได้จมน้ำอย่างที่เขาแกล้งทำ แต่หัวใจของเธอก็ยังกระหน่ำเต้นอยู่ มันกระแทกเข้ากับผนังหน้าอกของเธอจนทำให้รู้สึกได้ว่ากำลังจะกระดอนออกมาด้านนอกนี่แล้ว เป็นขวัญสุดาที่มาถึงก่อนคนอื่น มองที่เจ้านายหนุ่มสลับกับมองที่เธอ ถามด้วยท่าทีสงสัยว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ “มีอะไรหรือคะ” บุรินทร์ว่ายกลับมาที่บันได พาตัวเองขึ้นตรงท่านั้นก่อน ก็ยื่นมือรอจะช่วยดึง แต่รอบนี้เธอไม่ได้ขอร้องเขา แล้วพยายามขึ้นเอง แม้จะทุลักทุเลแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ขึ้นมาได้             “อวดดีไม่พอ ยังชอบเลี้ยงแกะอีก”             บุรินทร์กล่าวจบ เธอตวัดตามองเขาทันที อ้าปากจะเถียง แต่คุณยายผกามาศเดินพ้นพุ่มไม้มาเสียก่อน เลยหุบปากฉับ มองไปที่ท่านที่ตรงมาพร้อมกับหนูนา ยายของบุรินทร์เดินมาหยุดยืนมองหลานชายแล้วก็ค่อยมองที่เธอ หันไปสั่งหนูนาว่า “ไปเอาผ้าเช็ดตัวมาให้พี่เขาทีซิหนูนา”             “ค่ะคุณยาย” รับคำเสร็จ หนูนาวิ่งปรู๊ดตามคำสั่งไม่มีอิดออด             “ยายก็นึกว่าเป็นอะไร ได้ยินหนูนาบอกว่ามีคนตะโกนให้ช่วย” ท่านว่าจบ เดินมาหาเธอ ลูบผมเปียกชื้นเบา ๆ บอกด้วยเสียงอ่อนโยน “ตกน้ำหรือลูก หน้าแดงตาแดงก่ำเชียว”             ได้ทีก็อดที่จะอ้อนไม่ได้ “ไม่เป็นอะไรแล้วละค่ะคุณยาย” “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูกนะ”             สาริศาเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคุณยายผกามาศ หนูนากลับมาพร้อมผ้าเช็ดตัวสองผืน ส่งให้เธอหนึ่งผืน อีกผืนหนึ่งส่งให้บุรินทร์ แล้วก็ถูกท่านพาขึ้นบ้าน สาริศาเลี่ยงไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ ออกมาอีกครั้งที่ด้านนอกก็เห็นคุณยายผกามาศนั่งอยู่กับกิ้ม ไม่มีใครอื่นที่ตรงนั้น จึงเข้าไปนั่งคุยด้วย “บ้านสวนคุณยายอากาศดีจังเลยนะคะ”             “ชอบก็มาบ่อย ๆ สิลูก”             “ซินก็อยากมาค่ะ” คนผ่านโลกมามากพอจะมองออกว่าหญิงสาวคราวเหลนตรงหน้าตนคงจะถูกใจบ้านสวนแห่งนี้ไม่น้อย แต่ด้วยฐานะที่ไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกันมาก เจ้าตัวคงไม่กล้ามา จึงเอ่ยปากเชิญชวนด้วยความจริงใจ “หนูว่างจากงานหรือผ่านมาทางนี้ก็ช่วยแวะมาเยี่ยมยายหน่อย ยายมีลูกมีหลานก็เหมือนไม่มี พวกเขามัวแต่ทำงาน ไม่ค่อยมีเวลาให้คนแก่อย่างยายหรอก” ท่านจับมือของเธอชวนซ้ำอีกครั้งว่า “มานะ ยายจะรอ”             สาริศายิ้มตอบท่าน เอื้อมอีกมือมากุมไว้ แล้วตอบรับเสียงใสว่า “ค่ะคุณยาย ซินว่างจากงานวันไหนนะคะ ซินจะรีบบึ่งรถมาหาคุณยายทันทีเลยค่ะ บอกหนูนาให้เก็บมะม่วงไว้รอซินเลยนะคะ ซินจะมานอนกินผลไม้คุณยายให้หมดสวนเลย แล้วคุณยายจะไล่ซินกลับแทบไม่ทันเลยละค่ะ”             “ยายไม่ไล่ใครหรอกลูก ขอให้มาเถอะ ยายจะรอ” ท่านตอบรับด้วยรอยยิ้มและแววตาที่แสนอบอุ่น กล่าวเสริมด้วยท่าทีหยอกล้อว่า “ตัวเท่านี้กินหมดสวนได้ก็ให้มันรู้ไป”             อมยิ้ม มองคุณยายด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “ซินกินได้นะคะ”             “มาเถอะ ช่วยมากินให้หมดสวนที ตอนเช้าหนูเห็นกระรอกไหม นั่นน่ะก็ชอบมาแอบกิน”             คุณยายของบุรินทร์เล่าไปก็มองเธอด้วยสายตาเอ็นดูไปพลาง ราวกับเธอเป็นลูกหลานแท้ ๆ ของท่าน ที่บ้าน นอกจากพเยาแล้ว ก็ไม่เคยมีใครทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยได้แบบนี้มาก่อน ยิ้มตอบท่าน กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลด้วยความซาบซึ้งที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ             “หาข้าวให้พี่เขากินสิหนูนา จนเที่ยงจะบ่ายอยู่แล้ว” คุณยายสั่งหนูนาเสร็จ ปลีกตัวลงบ้านไป เมื่อเห็นว่าด้านล่างมีคนมาเยือน             สาริศาเดินเข้าห้องครัวไปหาข้าวตักราดอาหารง่าย ๆ นั่งกินเอง ไม่รบกวนใคร จนอิ่มแล้วก็เห็นหนูนาหอบตะกร้าเปล่า ทำท่าจะลงบ้าน             “ไปไหนหนูนา” ร้องถามทางนั้น ตั้งท่าจะตามไปด้วย             “ไปเก็บผักค่ะ”             “รอด้วย” สาริศาร้องบอก ล้างจานกับช้อนคว่ำลงที่ตะแกรงใกล้ ๆ แล้วรีบตามหนูนาลงบ้านไป ขณะช่วยกันเก็บพริกขี้หนูสวน ใบมะกรูด โหระพา และใบกะเพราอยู่นั้นเอง แว่วเสียงคนเดินมาจากด้านหลัง ยังไม่ทันได้หันไปมอง หนูนาก็ร้องขึ้น “ว้าย! คุณหมอกโป๊”             หนูนาทำเป็นยกมือขึ้นปิดตาตัวเอง แต่ยังอุตส่าห์แหวกนิ้วออกดูเป็นระยะด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอเลยหันไปมองตามบ้าง เห็นว่าบุรินทร์กับคนอื่น ๆ โป๊จริงอย่างที่หนูนาว่า เพราะพวกเขาสวมเพียงกางเกงขาสั้น ท่อนบนเปลือยไม่ใส่เสื้อ เนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยดินเลนกว่าครึ่งค่อน หนึ่งในคนงานเห็นท่าทีของหนูนาก็ว่าด้วยความหมั่นไส้ “อายอะไรกันหนูนา คุณคนสวยไม่เห็นจะอายแบบเราเลย” “เด็กแก่แดด” เสียงพึมพำหลุดออกมาจากปากของบุรินทร์ ทำให้ใบหน้าของเธอเห่อร้อนขึ้นเล็กน้อย เพราะสายตามองจับอยู่ที่แผงอกของเขาอยู่น่ะสิ เลิกมอง เลือกที่จะไม่โต้เถียงอะไร แล้วหันหลังให้พวกเขาเสีย เก็บผักต่อ เลยไม่ทันได้เห็นแววตาของบุรินทร์ทอประกายอย่างหนึ่งก่อนจางหายไปในวินาทีต่อมา             “บอสคะ”             เสียงเรียกหวานหยดดังขึ้นที่ด้านหลัง บุรินทร์ละสายตาไปมองทางนั้นโดยไม่พูดอะไร ขวัญสุดาก็ตรงมาหา ยื่นขันน้ำส่งให้เขา             “น้ำเย็นลอยดอกมะลิหอม ๆ ค่ะ”             “ของผมล่ะครับคุณอุ๋ม” คนงานของบุรินทร์เอ่ยถามบ้าง ขวัญสุดาเก็บอาการไม่พอใจเอาไว้ในอก บอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ในกระติกเลยจ้ะ”             “ทำไมคนสวยของคุณหมอกมีแต่คนใจร้ายก็ไม่รู้นะครับ คนหนึ่งก็เอาแต่เก็บผัก อีกคนก็บริการแต่คุณหมอก ไม่สนใจพวกเราเลย”             ได้ยินอย่างนั้นก็นึกค่อนว่าใครเป็นคนสวยของเขากัน นับแต่ขวัญสุดาเถอะ อย่าเอาเธอไปรวมเลย สาริศาคิดอย่างเคืองขุ่น เดินอ้อมลัดต้นนั้นต้นนี้ แล้วเลี่ยงขึ้นบ้าน เข้าครัวไปหาคุณยาย พบว่าท่านกำลังสั่งอะไรกับป้ากิ้มอยู่             พอเห็นเธอเดินเข้ามาสมทบ ป้ากิ้มแกก็ว่า             “คืนนี้มีเลี้ยงวันเกิดคุณยายด้วยนะคะคุณซิน”             “วันนี้วันเกิดคุณยายหรือคะ” สาริศาทวนพร้อมกับนึกเสียดายอยู่ในใจ หากรู้จักท่านก่อนหน้านี้ รับรองได้ว่าพระที่ขวัญสุดาเตรียมไว้ให้เป็นของขวัญต้องสู้ของที่เธอจัดหามาไม่ได้อย่างแน่นอน             “สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะคะคุณยาย ซินไม่ทราบมาก่อน ไม่อย่างนั้นซินจะเตรียมของขวัญมาให้คุณยายด้วยค่ะ”             “ไม่ต้องหรอกลูก แค่หาเวลามาเยี่ยมยายบ้าง แค่นั้นยายก็ดีใจแล้ว” ท่านตอบด้วยท่าทางแบบผู้ใหญ่ใจดี สุดท้ายก็ค่อนหลานตนเอง “อย่ามาแบบคนงานยุ่ง สองปีหนก็พอ เอาของมาให้แค่นั้น แล้วก็ปล่อยคนแก่ให้อยู่เหงาที่บ้านคนเดียว”             ฟังที่คุณยายท่านครวญแล้วก็นึกสงสาร ไม่รู้เป็นอย่างไร เหตุใดจึงได้ชอบคุณยายผกามาศนักก็ไม่รู้             “คนเดียวที่ไหนกันครับ ผมก็อยู่” เด็กหนุ่มที่ชื่อปอรีบขานรับเอาใจ หนูนาไม่ยอมน้อยหน้า “หนูนาก็อยู่นี่ค่ะคุณยาย”             เลยโดนป้ากิ้มเอ็ดเข้าให้ “เด็กพวกนี้นี่สอดกันเก่งนัก”             ยิ้มให้กับความครึกครื้นเล็ก ๆ ของคนบ้านสวน แล้วถึงได้พากันเข้าไปเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงในช่วงเย็นด้วยกัน             เตาปิ้งย่างขนาดใหญ่สามเตาตั้งเรียงอยู่ที่ด้านล่าง สาริศาลงมือก่อไฟในเตาย่างด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้วหนึ่งเตา หันไปมองเตาที่เหลือเห็นยังไม่ติดไฟก็ร้องบอก “มาค่ะ ซินช่วย”             ว่าจบหยิบเชื้อไฟวางกองที่กลางเตาปิ้งย่างที่เหลือ พร้อมกับหยิบถ่านใส่ทีละก้อน เห็นว่าติดดีแล้วก็ทำท่าจะใส่ถ่านเข้าไปอีก แต่ถ่านในถังหมดแล้ว เลยหันไปหาหนูนา             “ถ่านหมดแล้ว เอาที่ไหนหรือหนูนา”             “ตรงกระสอบนู่นเลยค่ะคุณซิน” หนูนาชี้มือบอกแล้วเดินขึ้นบ้านไปทยอยยกของลงมาวางรอ สาริศาเลยเดินอ้อมไปยืนมอง แกะเชือกปอที่มัดไขว้ไปมาออก มองหาที่ตัก เมื่อไม่มีก็ใช้มือนี่แหละ โกยเอาถ่านในนั้นออกมาใส่ถังพลาสติก ก่อนจะสะดุ้ง ชักมือออกจากถุงใส่ถ่าน             “เป็นอะไร” เสียงถามดังมาจากไหนไม่รู้             ตาบ้านี่เป็นเจ้าที่หรืออย่างไร อยู่ตรงไหนของบ้านเธอจะต้องได้ยินเสียงเขาอยู่ตลอดเลย พอเห็นเขามองมาที่มือก็ทำท่าจะเดินหนีไปทางอื่น             “ไหนให้พี่ดู” ได้ยินเสียงเขาสั่ง พร้อมกับดึงเอามือเธอไปบิดมอง “แมลงอะไรต่อยเข้าแล้วก็ไม่รู้ ขึ้นไปหายาทาข้างบนบ้านไป” ใจก็อยากทาหรอกนะ ยาน่ะ ถ้าเสียงนั้นจะไม่เป็นไปในทำนองสั่งการมากขนาดนี้ สาริศารู้สึกถึงไอร้อนจากมือของเขา แต่มือของเธอกลับเย็น กลายเป็นว่าไปร้อนที่หน้าแทน ยื้อมือตัวเองดึงให้หลุด บ่ายเบี่ยงบอกไปว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ซินไม่เจะ...”             บุรินทร์ออกแรงบีบตรงที่เห็นว่ามีเหล็กในแรง ๆ มันทำให้เธอเจ็บจี๊ดจนต้องร้อง “โอ๊ย!” แล้วชักมือหนี แต่ก็หนีมือที่ทั้งหนาทั้งใหญ่กว่าของอีกฝ่ายไม่พ้น มองเขาตาเขียวปัด    “โรคจิตหรือไงเนี่ย ปล่อยนะ”             บุรินทร์ไม่พูดอะไรมาก เขากุมมือเธอแน่น บีบแล้วดึงให้เดินขึ้นบันไดบ้านไปด้วยกัน ดีที่คนอื่นมัวแต่ง่วนอยู่กับการเตรียมอาหาร มีบางคนละที่เห็นว่าเขากุมมือเธอพาขึ้นบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าแซวเลยสักคน ได้แต่อมยิ้ม หันไปสบตากับคนที่เห็นเหมือนกันกับตน             สาริศาดึงมือตัวเองออก ร้องบอกเขา “ปล่อยได้แล้ว”             “ก็เดินดี ๆ สิ ทำเป็นสะบัดไปสะบัดมาทำไมนักเล่า” พอขึ้นมาถึงบนบ้าน ขวัญสุดาส่งเสียงถามว่า “มีอะไรหรือคะบอส”             “แมลงอะไรไม่รู้ต่อยนิ้ว... เด็ก” บุรินทร์เน้นคำว่า ‘เด็ก’ จนเธอฟังแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ เขาบอกทางเลขาของเขาโดยที่มือยังคงจับแน่นไม่ยอมปล่อย ขวัญสุดามองที่มือของเจ้านาย ข่มความไม่พอใจเอาไว้ ค่อยตรงเข้ามาปลดมือของทั้งคู่ออกจากกันเบา ๆ คว้ามือเธอไปพิศดูใกล้ ๆ อาสาเป็นธุระหายาทาด้วยตนเอง             บุรินทร์ไม่พูดอะไรอีก เขาพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันหลังเดินลงบ้านไป ขวัญสุดาบ่นด้วยน้ำเสียงที่ฟังได้ไม่ชัดเจนนักว่าเอ็นดูหรือหมั่นไส้กันแน่ “ไปทำยังไงให้แมลงต่อยได้คะ น้องซินนี่ซนจริง ๆ เลย” สาริศาค่อยหายใจโล่งขึ้น เมื่อไม่ต้องถูกมือของบุรินทร์กุมไว้อีก บอกเสียงอ่อย “ซินแค่อยากช่วยก่อไฟเท่านั้นเองค่ะ ตอนล้วงมือเข้าไปหยิบถ่านไม่ทันมอง เลยโดนแมลงอะไรก็ไม่รู้ต่อยเข้า ปวดเลยเนี่ยพี่อุ๋ม”             ได้ยินอีกฝ่ายเล่าก็ยิ้มแล้วว่า “รอพี่ตรงนี้แป๊บเดียวนะ เดี๋ยวพี่ไปหยิบยาให้”             ขวัญสุดาเดินหายไปยังห้องที่ตนพัก ไม่นานออกมาพร้อมตลับยา เปิดออกทาให้จนเรียบร้อย “เสร็จแล้วค่ะ คราวนี้อย่าให้อะไรมากัดมาต่อยได้อีกนะคะ ไม่อย่างนั้น ‘บอสของพี่’ คงได้เดินขึ้นเดินลงบ้านแบบนี้ทั้งคืนแน่ ๆ”             สาริศาตอบรับง่าย ๆ ไม่ทันได้ใส่ใจว่าขวัญสุดาจงใจย้ำคำว่า ‘บอสของพี่’ มากแค่ไหน เดินลงมาที่ด้านล่างอีกครั้ง ก็แว่วเสียงพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนานพร้อมกับเสียงเรียกชื่อของตนเอง             “น้องซินครับ” สาริศาหันไปมองหา พบว่าเป็นจงกลก็ทำเพียงยิ้มตอบเขาเท่านั้น             “มาด้วยหรือเนี่ย” เสียงบ่นที่ด้านหลังของขวัญสุดาทำเธอแปลกใจเล็กน้อย คล้ายกับคุณเลขาของบุรินทร์จะไม่พอใจอย่างนั้นแหละที่จงกลแวะมา เธอหันกลับไปที่จงกล เห็นนั่งคุยกับบุรินทร์ด้วยท่าทีสนิทสนมเป็นกันเอง แล้วยังเพียรเติมเหล้าให้กันอยู่เรื่อย ก็ค่อยเมินหน้าไปมองทางคนอื่น เมื่อจู่ ๆ เจ้าของดวงตาสีดำสนิทของเจ้านายจงกลหันมามองที่เธอ งานเลี้ยงไม่เล็กไม่ใหญ่แต่อบอุ่น บรรยากาศเป็นกันเอง เต็มไปด้วยคนงานในบ้าน รวมถึงคนข้างบ้านของคุณยาย แว่วเสียงคุย เสียงหัวเราะอยู่ไม่นาน ก็ได้ยินจงกลเอ่ยขึ้นว่า “เป่าเค้กเถอะครับคุณยาย ดึกแล้ว ผมง่วงแล้วคร้าบ”             ได้ยินคนอื่น ๆ แซวจงกลอย่างสนุกสนานว่าง่วงหรืออะไรแน่ สาริศาไม่ทันได้ฟังว่าพูดจาหยอกล้ออะไรกันอีก เธอหันไปสบตากับหนูนาและป้ากิ้ม พากันหายไปครู่เดียว กลับมาพร้อมถาดกลมใบใหญ่ ไม่มีเค้กปอนด์ให้คุณยายผกามาศในค่ำคืนนี้ มีก็เพียงผลไม้หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ จัดวางเรียงเป็นชั้นคล้ายเค้กอยู่ไม่น้อย             คุณยายผกามาศมองแล้วก็ค่อยขยับมาดูใกล้ ๆ ถามกึ่งชื่นชม “ฝีมือใครทำกัน ช่างคิดนัก”             หนูนารีบบุ้ยปากมาทางเธอ “ฝีมือคุณซินค่ะคุณยาย”             ท่านมองมาพร้อมกล่าวชมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเอื้อเอ็นดู “น่ารักจริงแม่คุณ”             สาริศายิ้มแก้มปริ ตาแทบปิด ค่อยขยับเข้าไปกล่าวอวยพร “สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะคะคุณยาย ขอให้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรไปอีกนาน ๆ ร้อยปีพันปีเลยค่ะ”             คนอื่น ๆ เลยทยอยเข้ามาอวยพรให้หญิงสูงวัยด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นค่อยปิดท้ายด้วยหลานชายของท่านเอง โดยมีขวัญสุดาคอยส่งกล่องของขวัญให้ที่ด้านข้าง             มีคนพึมพำอยู่ข้างหลังว่าสวยหล่อเหมาะสมกันดีทีเดียว สาริศาได้ยินก็ให้รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นในหัวใจ เลิกมองพวกเขาทั้งสองคนทันที คุณยายเป่าเทียนแล้ว นั่งอยู่ด้วยอีกไม่นาน ท่านขอขึ้นบ้านไปพักก่อน สาริศากินอะไรตรงนั้นอีกครู่ เลี่ยงขึ้นบ้านบ้าง เข้าห้องได้ อาบน้ำ เตรียมตัวจะนอน ก็ให้ปวดตุบ ๆ ที่นิ้วอีกครั้ง ข่มตาลงนอน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ต้องเดินออกไปหายาที่ด้านนอก จะกินหรือทาก็ได้ทั้งนั้น ขอให้ระงับอาการปวดของตัวเองได้ก็พอ             เสียงโหวกเหวกร้องเพลงเมื่อช่วงค่ำเบาลงมากแล้ว มีเพียงเสียงคุย หัวเราะกันเบา ๆ เป็นช่วง ๆ เท่านั้น สาริศาเงี่ยหูฟังแล้วก็ค่อยออกเดินไปรอบ ๆ บ้าน หาใครสักคนบนนั้น เผื่อมีใครหายาให้เธอได้ ไม่อยากเดินลงไปอีก เพราะชุดที่ใส่นอนไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไรนัก เห็นเธอแบบนี้ ก็พอมีมารยาท รู้กาลเทศะเหมือนกันนะ เดินวนหาคนบนนั้น ปรากฏว่าไม่มีใครเลยสักคน อ้อมไปอ้อมมา ตาไปสะดุดกับภาพแขวนและภาพในตู้โชว์ที่กำลังจะเดินผ่านพอดี             “ใครเนี่ย” พึมพำถามตัวเองเบา ๆ เพ่งเข้าไปดูใกล้ ๆ ก่อนจะผงะหนีเมื่อพอเดาออกแล้วว่าคนในภาพที่ทั้งแขวนทั้งตั้งอยู่ในตู้นั้นคือใคร             “ขโมยอะไร”             สาริศาตกใจจากแววตาในภาพไม่พอ หญิงสาวผงะนิด ๆ กับเสียงทัก หันมองถึงได้สบกับแววตาแบบเดียวกับในภาพเข้าพอดี “ไม่ได้ขโมยค่ะ” สาริศาบอกเสียงเฉย เธอเกลียดเขาจริง ๆ เลยทำไมชอบโผล่มาตอนที่เธอไม่ทันตั้งตัวอยู่เรื่อย เดินเลี่ยงไปอีกทาง ไม่เอาแล้วก็ได้ยา             “ปวดมากล่ะสิ บวมไปถึงหน้าเลย”             ได้ยินเสียงเขาดักแบบนั้นก็หยุดกึก หันไปหรี่ตามอง ทำมาพูดแหย่ แสดงว่าเขาต้องดื่มจนเมาแล้วเป็นแน่ ปกติบุรินทร์ไม่พูดจาแบบนี้หรอก “เมาก็หลบไป อย่ามาขวาง”             “อวดดี” บุรินทร์คำรามจบ คว้ามือให้ตามไปที่ตู้ยาหน้าห้องของคุณยาย มือข้างหนึ่งของเขาเปิดตู้ยาออก อีกข้างกุมมือเธอเอาไว้             พอได้ตลับยามาแล้ว สาริศาลดความรั้นลงกึ่งหนึ่ง บอก “ซินทาเองได้ค่ะ”             บุรินทร์มองนิ่ง เธอช้อนตามองตอบเขา ก็ให้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แล่นผ่านสายตาและผิวสัมผัสที่มือระหว่างกัน เขายอมคลายมือออก สาริศาชักมือกลับ หันหลังเดินเข้าห้องของตัวเองไป             “ทำอะไรอยู่ครับคุณบอส”             จงกลเดินขึ้นบ้าน มาตามเจ้านาย กลัวอีกฝ่ายจะหนีจากวงเหล้าไปก่อน บุรินทร์ละสายตาจากคนที่หลบเข้าห้อง แล้วตามแรงดึงของจงกลลงไปที่วงเหล้าอีกครั้ง ดื่มต่อไปเรื่อย ๆ อันที่จริงเขายังไม่ถึงขั้นเมา เพราะค่อนข้างคอแข็งทีเดียว เหล้าป่า เหล้าเขา เหล้าชั้นดี หรือแบบที่ต้มกินกันเองก็ล้มเขาไม่ได้ ต่างจากจงกลที่ทำท่าจะพับได้ทุกเมื่อ             ไม่นานวงเหล้าเริ่มหายกันไปทีละคนสองคน ที่เหลือจึงค่อย ๆ หลบลี้หนีหายไปนอนพัก ยอมแพ้ให้เจ้านาย จนเหลือบุรินทร์นั่งปิดท้ายอยู่คนเดียว จงกลในสภาพเมาหัวราน้ำ กลับไม่ไหว เลยขออยู่นอนที่นั่นด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD