ตอนที่ 5
“วิ่งเร็วอย่างกับหนูมุดเข้าโพรงใช่ไหมล่ะ” อีกหนึ่งคนต่อสร้อยคำพูดอย่างเร็ว
“ฮื่อ...คอยดูนะ จับตัวได้เมื่อไหร่ จะเตะให้พับหักเป็นสองท่อนเลยมึงเอ๊ย!”
“มัวแต่โทษคนอื่น วิ่งเร็วเกินไปจนตามไม่ทัน ทำไมถึงไม่ดูสารรูปตัวเองมั่งล่ะ คงจะเล่นจ้ำจี้ใต้ผ้าห่มมากไป พองกลาง เลยหมดแรงข้าวต้ม วิ่งตามเขาไม่ทันมากกว่า”
“ทำอย่างกับแกไม่เป็นอย่างนั้นแหละ เห็นวิ่งต้วมเตี้ยมเหมือนเต่าเหมือนกันละว้า”
เสียงถกเถียงบ่งบอกถึงความสนุกแว่วดังมา ทำให้คนที่ได้ยินล่วงรู้ได้ทันที...ว่าหมายถึงตัวเอง แต่ละประโยคชวนให้สะดุ้งและเสียววาบตั้งแต่ต้นคอลงไปถึงแผ่นหลัง นึกๆ อยากมีความกล้าฮึดสู้ หันไปเล่นงานพวกปากเปราะให้ทรุดกองกับพื้นบ้าง แต่...ทำได้เพียงแค่คิด เอาเข้าจริง ทำได้แค่...วิ่งหนีอย่างกับสุนัขโดนเอาน้ำรอนลวกเท่านั้นแหละ
มันจะอะไรหนักหนา ฝนบ้านี่จะตกมาทำไมมากมายก็ไม่รู้ แค่นี้ยังเป็นอุปสรรคไม่พอหรือไง คนที่ถูกไล่ล่าโดยไม่รู้เรื่องราวบ่นอุบ
แค่หนีเอาตัวรอดในเวลาเกือบจะรุ่งสาง...ที่ความสว่างมีน้อยนิดกับท้องฟ้าที่มืดครึ้มด้วยเมฆฝนที่บดบังแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ควรจะโผล่ขึ้นมาส่องสว่างทางให้ กับสถานที่ไม่คุ้นเคยก็ยากลำบากจะตายอยู่แล้ว ฝนดันตกลงมาอย่างกับเด็กฉี่อีก จะกลั่นแกล้งให้คนเถื่อนๆ พวกนั้นตามมาทันหรือไงกัน
อยากจะบ้า...อยากจะกรีดร้องให้ดังๆ แต่ที่ทำได้คือ...
หนี! หนีไปบนทางที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปทางไหนดี เพราะไม่ว่าจะเลือกทิศใดสุดท้ายก็ย้อนกลับมาสู่ที่เก่าเสมอ
เหนื่อยแค่ไหนก็ยังต้องไปต่อ หากวิ่งหนีอยู่นานจนสองขาล้า บวกกับดินเปียกชุ่มทำให้ลื่นจนเซถลาล้มหน้าคว่ำหัวคะมำ เข่ากระแทกกับพื้น หน้าซีกหนึ่งถูไปกับพื้นโคลน อารามตกใจทำให้เก็บเสียงเอาไว้ไม่ได้ ถึงจะรีบหุบปาก แต่ก็คงจะไม่ทันเสียแล้ว
“เสียงร้องบอกว่าอยู่แถวนี้ หาดูให้ทั่ว ค้นให้ละเอียดทุกหย่อมหญ้า อย่าให้ตรงไหนหลุดรอดสายตาไปได้...จับตัวไอ้เจ้าเวรตะไลนั่นมาให้ได้!” คนเป็นหัวหน้าขบวนการไล่สั่งการกับลูกน้อง
ได้ยินเสียงแข็งกร้าวราวกับฟ้าผ่า ทำให้คนหนีหัวซุกหัวซุนสะดุ้งและเริ่มมีอาการละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก ความเหนื่อยล้าที่รุมเร้า ไหนจะความกลัวและหนาวเย็นจนปากสั่น ฟันกระทบกันดันกึกๆ มือเย็นๆ ยกขึ้นลูบใบหน้าเพื่อจะได้มองไปรอบๆ บริเวณเพื่อหาทางหนีทีไล่ให้พ้นอุ้งมือใครก็ไม่รู้!
กลีบปากเย็นเผือดซีดกระตุก เมื่อเห็นขอนไม้ใหญ่ปลายด้านเป็นโพรงพอให้มุดลงไปซุกซ่อนกายได้ ถ้าหาใบไม้มาปิดปากโพรงได้ ก็ปิดบังตัวจากสายตาคนที่ตามไล่ล่าได้อย่างดีด้วย หากเมื่อคิดจะทำก็ต้องหยุดชะงัก ด้วยเหล่าสรรพสัตว์ตัวเล็กที่เดินชักแถวยาวเป็นพรืด เยอะจนตาลายและขยะแขยง
‘หาที่ซ่อนใหม่ก่อนแล้วกัน ถ้าไม่ได้ค่อยย้อนกลับมาที่นี่ หวังว่าฟ้าคงจะไม่ใจร้ายจนปิดโอกาสหนีรอดจนหมดละกัน’ คนถูกไล่ล่าโดยไม่รู้เรื่องราวคิด
ขนตายาวงอนกระพือถี่รัวเพื่อขับไล่หยาดน้ำฝนออกไป พร้อมมองหาที่จะใช้หลบซ่อนกาย แต่หนทางกลับริบหรี่เหลือเกิน เมื่อรายรอบมีม่านหมอกสีขาวโพลนปกคลุมทั่ว
‘เอายังไงดี’ คนถูกไล่ล่าขบคิด หนทางช่างแสนมืดมนเหลือเกินสำหรับเมื่อไม่รู้จะหนีไปทิศทางใด แล้วเหมือนโอกาสจะถูกยื่นมาถึงมือ
เบื้องหน้าคือต้นไม้ใหญ่ ยามแหงนหน้าขึ้นไปบนปลายยอดพบว่ามีกิ่งก้านใหญ่น่าจะแข็งแรงดี บวกกับพุ่มใบไม้หนาเพียงพอให้ลูกนกลูกกาหลงรังได้หลบซ่อนพึ่งพิง แม้ความสามารถจะมีน้อย ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่คิดจะได้ผล แต่เมื่อแว่วเสียงดังเข้มดังใกล้เข้ามาก็เหมือนถูกบีบบังคับให้จำใจทำ!
“อะไรกัน...พวกแกตั้งหลายคน หาคนเพียงคนเดียวไม่เจอ ทำงานประสาอะไร ไม่ได้เรื่องสักคน! ต้องให้ฉันลงมือจัดการลากไอ้บ้านั่นมากระทืบเองใช่ไหม”
“โธ่...พวกผมก็ทำกันสุดความสามารถแล้วนะนาย ผิดที่ไอ้เจ้านั่นแหละ ตัวเล็กปราดเปรียวอย่างกับลิงลม” หนึ่งในคนที่มาตอบผู้เป็นนายน้ำเสียงแหยๆ
“หาจนทั่วแล้ว...นึกว่ามัวแต่ไปดูพวกผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยเสียอีก” สิ้นเสียงผู้เป็นนายก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางกระแสฝนที่โปรยปรายลงมา
“รีบหาให้เจอเร็วๆ แล้วกัน คนไม่คุ้นทางยังหนีไปได้ไม่ไกล คงวนเวียนอยู่แถวๆ นี้แหละ” คนเป็นนายสั่งการอีกครั้ง ด้วยสังเกตจากการเฝ้าติดตาม ที่มักวนย้อนกลับมาทางเก่า คราวนี้จะหนีไปไหนได้ ก็ต้องอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ แค่ต้องหาให้เจอ ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน
เสียงที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บังคับให้คนตัวเล็กเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่อย่างอัตโนมัติ ใบหน้าขาวซีดเงยขึ้นมองต้นไม้ใหญ่ พร้อมฮึดเรียกพลังน้อยนิดที่มี ทาบสองมือเย็นจัดจนเป็นชาตะปบไปบนลำต้นสีน้ำตาลไหม้ ความกลัวผนวกกับความเร่งรีบแข่งกับเวลา แม้มีอุปสรรคในการปีนป่ายและยังต้องเหลียวมองไปด้านหลังบ่อยๆ ก็ไม่ทำให้ย่อท้อ ทั้งพยายามพร้อมเฝ้าภาวนา เพื่อทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยเร็วไว และรอดพ้นจากสายตาราวกับพญาเหยี่ยวของคนที่ไล่ล่าติดตามอย่างไม่ลดละด้วย
“บ้าจริง! ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า” คนถูกไล่ล่าสบถอย่างหงุดหงิด เมื่อปีนป่ายขึ้นไปได้เกือบจะครึ่งทางแล้ว แต่กลับเจอพิษจากน้ำฝนที่กระหน่ำเหมือนกับต้องการแกล้ง เพราะเทลงมาและสาดกระเซ็นเข้าตาให้เจ็บแสบจนต้องกะพริบบ่อยๆ เลยเป็นเหตุให้มองไม่เห็นเปลือกไม้ที่แตก เมื่อทาบมือลงไปมันก็เลย...
“โอ๊ย!” ถ้าเป็นปกติ จะต้องรีบดึงมือมาเป่าให้หายเจ็บ ก่อนดูว่าอะไรที่ทำให้เจ็บ แต่ตอนนี้ทำได้เพียงแค่ข่มกัดฟันกลั้นความเจ็บเอาไว้ ด้วยในหูเต็มไปด้วยเสียงตะโกนพูดกันของไอ้พวกบ้าๆ ที่ตามมาอย่างไม่ลดละ หากยิ่งรีบดูเหมือนจะยิ่งช้า
“โว้ย! ฉันไปติดหนี้ไอ้บ้านั่นตั้งแต่ชาติไหนกันนี่ ทำไมถึงถึงต้องมาผิดชอบกับเรื่องบ้าๆ เฮงซวยนี่ด้วย” สบถเสียงสั่นพร่า อยากร้องไห้แต่กลับตื้อจนร้องไม่ออก
“คอยดูนะ เจอตัวเมื่อไหร่ จะอัดให้น่วมเป็นลูกขนุนตกจากต้นกลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้นขลุกขลักเลย” คิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น คงจะต้องมาจากคนนั้นแน่นอน ที่คิดถึงคนก่อเรื่องแล้ว...เพลิงโทสะอัดแน่นอยู่ในทรวงก็คุกรุ่นขึ้นมาทันควัน
ถึงภูมิลำเนาจะเป็นคนที่นี่ แต่ก็อาศัยอยู่ที่อื่นเป็นหลัก อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตนมาตลอด งานหนักไม่เคยเกี่ยง งานเบาไม่เคยทำให้ต้องเสียหาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมาทำความเดือดร้อนให้ใคร คิดยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด แต่กลับต้องมาถูกไล่ล่ายิ่งกว่าหนูที่อยู่ในรูเสียอีก ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเป็นฝีมือของ...
“โอ๊ย!” เพราะเผลอคิดไปถึงตัวก่อเหตุ เลยทำให้ลืมตัวไปว่าอยู่ในสถานการณ์ใด จึงได้ถูกเปลือกไม้ตะปุ่มตะป่ำและแหลมคมบาดลึกลงไปในผิวเนื้อจนมีเลือดไหลซึมออกมา เจ็บและแสบจนน้ำตาไหล แต่ก็ไม่อาจทำให้หยุดปีนป่ายได้ เพราะความหวาดกลัวที่มีเป็นที่ตั้ง คนตัวเล็กจึงข่มกัดฟันตะปบสองมือเล็กไปบนต้นไม้ใหญ่อย่างไม่ลดละ
คนถูกไล่ล่าแทบจะร้องเย้ เมื่อพยายามเป็นผลสำเร็จ! ปีนป่ายไปถึงแง่ไม้ใหญ่ที่เล็งไว้พร้อมอาการเหนื่อยอ่อนและสองขาที่สั่นเทา
ความอยากรู้ ทำไมถึงปีนได้ช้าและยากเหลือเกิน เมื่อก้มลงมือพื้น ความสูงทำเอาสองมืออ่อนเปลี้ย สองขาอ่อนแรงขึ้นมาฉับพลัน กลืนน้ำลายลงคอก็ฝืดเคืองเพราะหวาดเสียว ‘ขึ้นมาได้ไงนี่ น่ากลัวชะมัดเลย’
กระแสลมแรงพัดปลายยอดไม้ไหวโอนเอน จนต้องรีบตะปบกอดต้นไม้เอาไว้แน่น ขณะยกอีกมือปาดน้ำที่ร่วงหล่นลงมา เพื่อจะได้ดูว่า หนีไอ้พวกคนใจร้ายตามไล่ล่าพ้นหรือเปล่า แต่พายุฝนฟ้าที่คะนองอยู่ทำให้ไม่ได้ยินเสียงและมองอะไรไม่เห็น