ตอนที่ 4
เหมือน...ดวงตาสีนิลแวววาวของพยัคฆ์ร้ายมองเหยื่อที่ถูกหลอกล่อให้ต้องวิ่งหนีด้วยความกลัวสุดขีดอย่างพึงพอใจ
เสียงคำรามดังมาก่อนเจ้าสี่เท้าตัวใหญ่ซึ่งการเคลื่อนไหวรวดเร็วดั่งสายลมจะกระโจนมา ชั่วพริบตาเดียว เจ้าลายพาดกลอนก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าเสียแล้ว
“ไปสิไป...อย่าเข้ามานะ ไอ้เสือบ้า!” นี่เหรอเสียง...ทำไมถึงได้แหบแห้ง บางเบาราวกับไม่มีคำใดๆ หลุดออกมาเลยล่ะ
คำตอบที่ได้รับกลับกลายเป็นเสียงคำรามดังก้องพงไพรและอุ้งเท้าหนาที่ตะปบลงมา ถึงกระโจนหนีอย่างอัตโนมัติ แต่ก็ยังช้าเกินไป ความเจ็บปวดถาโถมเข้าหา ในสมองคล้ายกับมีดวงดาวหมุนอยู่รายรอบ
ครืน...เปรี้ยง!
ท้องฟ้าที่สว่างไสวกลับแปรเปลี่ยนมืดมิด ในฉับพลันที่สายฟ้าฟาดลงมา อีกทั้งเสียงจากฟากฟ้าเหมือนสิงโตร้องคำราม พร้อมสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย กระทบหลังคาใบหญ้าแฝกก่อนร่วงลงสู่พื้นดิน สายลมโหมพัดหวีดหวิวคล้ายเสียงภูติผีพรายร้องโหยหวน ทะลุผ่านไปถึงโสตประสาทการรับรู้ ทำให้คนที่นอนกระสับกระส่ายได้สติหวนกลับคืนห้วงเวลาปัจจุบัน กับความจริงที่เกิดขึ้น!
ถึงจะตื่น แต่ก็ยังไม่เต็มร้อย แต่ก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้ต้องมาอยู่ในถิ่นที่ไม่คุ้นเคย ถึงจะจำอะไรยังไม่ได้ แต่ก็รู้ เรื่องที่เกิดขึ้น...ร้ายแรงมาก
สายลมพัดกระแทกใบไม้กลายเป็นเสียงหวีดหวิว หอบเอาละอองน้ำฝนที่ตกลงมาปรอยๆ กระเซ็นมาโดนร่างเล็กที่มีเสื้อผ้าบางเบาและชื้นหนาวสะท้านราวกับยืนแช่อยู่กลางลำธาร ถูกสายน้ำเย็นจัดไหลบ่ามากระแทกจนเซถลาล้มลงไปนั่งบนโขดหินตะปุ่มตะป่ำให้เคล็ดขัดยอกกาย ตอกย้ำความคิดเดิม...มีเรื่องร้ายแรงเกินรับมือไหวเกิดขึ้น
เสียงท้องฟ้าคำรามลั่น ก่อนแสงสีส้มร้อนแรงจะฟาดลงมาทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกกว้าง ผวาลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทำให้คลื่นความเจ็บร้าวถาโถมเข้ามาหาราวกระดูกในร่างถูกจับหักเป็นท่อน
“...!” เสียงของความเจ็บปวดที่ดังผ่านริมฝีปากแห้งสั่นพร่าจนจับคำแทบไม่ได้
เกิดอะไรขึ้น?
หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ขณะเพ่งมองไปรอบๆ เพื่อจะตอบคำถามที่คั่งค้างอยู่ภายในใจ แต่ต้องหลับตาลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเจอกับอาการปวดร้าวราวกับถูกค้อนหนักๆ ที่ระดมทุบไปทั่วศีรษะจนหายใจไม่ทัน ยังจะมีอาการอื่นๆ ทางร่างกายที่ตอกย้ำซึ่งความกลัวที่ผุดขึ้นภายในใจ!
มัน...เกิดอะไรขึ้น! ทำไมร่างกายถึงได้เจ็บปวดเคล็ดขัดยอกเหมือนกับถูกรถสิบล้อชนจนกระเด็นไปอัดกับผนังปูนหนาๆ ก่อนถูกทับซ้ำอีกครั้งอย่างนี้ แต่นึกทบทวนยังไงก็ยังไม่ออกเสียที มีแต่จะปวดหัวหนักมากขึ้น แต่ยังไงก็ต้องคิดให้ออก
ที่นี่คือที่ไหนกัน แล้ว...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
คำถามที่...ไร้คำตอบ เพราะมีเพียงม่านหมอกบางเบาจากสายฝนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ทำให้มองเห็นไม่ชัด อีกทั้งสายลมที่พัดหอบเอาละอองฝนมาถูกผิวเนื้อทำให้หนาวจนเป็นสะท้าน ขนแขนและส่วนต่างๆ ของร่างกายลุกเกรียว ไหนจะอาการปวดที่กระบอกตาที่รุมเร้าอยู่เริ่มลามไปถึงขมับและท้ายทอย บวกกับเสียงอื้ออึงราวกับมีผึ้งบินอยู่ในหู ทำให้ร่างกายไม่ทำงานตามใจต้องการ
ใจเย็นๆ อย่าลนลาน ไม่...ไม่เป็นไร แค่ฝันไปเท่านั้นเอง เดี๋ยวตื่นมาก็จะอยู่ที่เดิมกับความหวัง ความฝันแบบเดิมที่แม้พยายามบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไร แต่ไม่เป็นผล...เมื่อสภาพร่างกายที่อ่อนล้าตอกย้ำ...ประท้วงให้นอนพักผ่อนอีกเล็กน้อย หากท้องฟ้าที่คำรามลั่นจนพื้นสะเทือนกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาถี่ๆ ดึงเอาความทรงจำที่ยังคงขาดหายกลับคืนมา...
ขณะนั่งรถกลับบ้าน ฝนที่เคยตกปรอยๆ เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก จนทัศนะในการมองเห็นลดน้อยลง ทำให้พนักงานพยายามประคองรถไปอย่างช้าๆ เพื่อมิให้ผู้โดยสารเป็นอันตราย แต่ก็เกิดเหตุจนได้
มีไม้ท่อนใหญ่วางขวางถนน จนมิอาจพารถผ่านไปได้โดยง่าย ถ้าไม่เคลื่อนย้ายออกก่อนและนั่นก็เป็นเหตุให้กลุ่มคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ออกมากระทำการอย่างอุกอาจ!
คนที่ลืมตาขึ้นมองสายฝนสลับหลับตาเป็นครั้งคราว เมื่อยามแสงไฟจากริมถนนสาดส่องเข้ามา ตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ เพราะเสียงหวีดร้องโหวกเหวกโวยวายอย่างตื่นตระหนกที่ดังกลบทุกสิ่ง ก่อนมีบางเสียงดังแว่วมา
“โจรปล้น!”
จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่เมื่อเห็นคนประมาณห้าหกคนในชุดเสื้อคลุมกันฝนสีตุ่นๆ สวมรองเท้าบูทเดินตรงมาพร้อมกับบางสิ่งในมือ ที่เมื่อเพ่งมองให้ชัดและคิดว่าตาไม่ได้ฝาดไป สิ่งนั้นคือ...
ปืน!
ทำให้ทุกคนกลัวจนลนลาน หวีดร้องดังลั่น รีบวิ่งหนีลงจากรถกันจ้าละหวั่น อย่างไม่หวั่นเกรงอุบัติเหตุจะเกิด เพราะเส้นทางเดินที่คับแคบ
อารามตกใจจากเรื่องที่ได้คุยกับมารดาไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ บวกกับเหตุที่เกิดขึ้นซึ่งไม่น่าจะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ แต่เป็นความจงใจของใครบางคน ก่อเกิดเป็นความหวาดกลัวเมื่ออยู่ในถิ่นที่ไม่คุ้นเคย ถึงจะเป็นบ้านเกิดก็จริง แต่เพราะจากไปอยู่ที่อื่นเสียนาน จึงเป็นเสมือนกระต่ายที่พลัดหลงมาอยู่ในถิ่นเสือร้าย
เกิดเรื่องเช่นนี้ในยามค่ำคืน ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่ใช่เหตุการณ์ดีแน่นอน สิ่งที่ควรต้องทำในตอนนี้ก็คือ...หนี! และต้องหนีให้เร็วที่สุดด้วย ทว่าสิ่งที่คิดทำเป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างมหันต์ เพราะเพียงแค่กายเล็กกะทัดรัดขยับเคลื่อนอย่างที่คิดว่าระมัดระวังที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่ไวเท่าสายตาคู่หนึ่งที่กราดมองมา
เมื่อดวงตาสองคู่สบกัน คู่หนึ่งคมและดุกร้าวเต็มไปด้วยเพลิงโทสะและมุ่งร้ายใ อีกคู่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นขลาดกลัวจนสองขาสั่นระริก ดีว่าตอนนี้ก้าวลงมายืนบนพื้นเปียกแฉะด้วยหยาดฝนที่ยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ทำให้ตัดสินใจได้อย่างเร็ว เท้าบอบบางถอยไปด้านหลังและหมุนกายก็วิ่งไปอย่างว่องไว
ถ้าเป็นกลางวันคงจะจดจำกันได้ในทันที แต่นี่เป็นค่ำคืนที่ฝนพรำลงมาไม่ขาดสาย บวกกับแสงไฟที่ไม่ค่อยสว่าง จึงต้องเพ่งมองให้ชัดเจน...ไม่ผิดฝาผิดตัวให้เกิดปัญหาอื่นตามมา
“ใช่! คนนั้น...ไปเอาตัวมา!”
ตอนแรกที่ได้ยินเสียงห้าวกระด้างดุดังสอดแทรกมาชัดเจนเต็มสองหูก็ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่...จะใช่หรือเปล่า แต่เมื่อเหลียวมองกลับไป เห็นคนที่น่าจะเป็นหัวหน้ายกแขนขึ้นชี้นิ้วแหวกม่านฝูงชนที่ตอนแรกก็พยายามจะวิ่งหนีกันอุตลุด...บ่งบอกว่าคนที่เอ่ยถึงใช่ตัวเองแน่นอน ไอ้ที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินอยู่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเร็วที่สุดเท่าที่สองขาสั้นๆ และร่างกายปราดเปรียวจะทำได้ ต้องรีบไปได้ไกลที่สุดก่อนจะถูกจับได้
เราไปทำอะไรให้คนพวกนั้นไม่พอใจ ถึงได้ตามไล่ล่าด้วยฤทธิ์แรงโกรธาอย่างนี้?
คำถามที่ดังก้องอยู่ในหัว อยากหยุดเพื่อไต่ถามให้ได้คำตอบ แต่ความหวาดกลัวมีมากกว่า จึงเลือกหนทางหนี!
ร่างเล็กวิ่งสลับเหลียวมองด้านหลังอยู่บ่อยครั้ง เมื่อไม่เห็นใครวิ่งตามมาก็หยุดพักคลายอาการเหนื่อยเมื่อยล้า มือหนึ่งเท้าเหนือหัวเข่า อีกมือยกขึ้นปาดเหงื่อและน้ำฝนบนใบหน้า ขณะเหลียวมองรอบกายอย่างโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย
หนีพ้นแล้วใช่ไหม...แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ประมาท เพราะกลัวจะเป็นกลหมากศัตรูที่วางล่อไว้ให้เหยื่อตายใจ ก่อนจะถูกพยัคฆ์ร้ายตะปบกินจนแม้กระดูกก็ยังไม่เหลือ
“เอาไงดี...ไอ้เจ้าตัวเล็กนั่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“นั่นสิ...ตัวเล็กๆ นึกว่าจะเป็นแค่เต่าต้วมเตี้ยม ที่ไหนได้...”