EP.4 อาน่านฟ้า กับ หนูแสงดาว
“เดี๋ยวนะ! ใครคือแสงดาว” ณรงค์วิทย์ถามด้วยความงุนงง
“ก็หนูน้อยที่ความจำเสื่อมนี่ไงล่ะ ฉันเป็นคนตั้งชื่อชั่วคราวให้เอง” พ่อเลี้ยงตอบคล้ายรำคาญแต่ความจริงแล้วเขากลัวเพื่อนจะแซวจึงทำท่ารำคาญกลบเกลื่อนเสียก่อน
“เข้าใจตั้ง ชื่อเพราะเหมาะกับตัว” นายตำรวจหนุ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ด้วยเป็นเพื่อนกันมานานทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
“นายไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลแม่หนูน้อยของนายอย่างดี”
“เธอไม่ใช่ของฉัน!”
“โอเค! นายจำคำพูดของนายเอาไว้ก็แล้วกันว่าเธอไม่ใช่ของนาย เธอเป็นอิสระ...”
“ก็เออสิวะ แค่นี้แหละฉันจะไปจัดการธุระอื่นต่อ” พ่อเลี้ยงน่านฟ้าพูดตัดบทก่อนจะกดตัดสายโทรศัพท์เสียดื้อๆ ด้วยรำคาญสำบัดสำนวนของเพื่อนสนิทเหลือกำลัง เขาจะทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแสงดาวได้อย่างไร เพราะอีกไม่กี่วันเธอก็ต้องกลับคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัวที่แท้จริงของเธอแล้ว อ้อมกอดชั่วคราวของเขาก็แค่ทางผ่านชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นเอง
ผู้เป็นเจ้าของบ้านไม้สักทองทั้งหลังสั่งให้จัดหาห้องให้แสงดาวอยู่ในบ้านหลังใหญ่ แทนที่จะให้ไปอยู่บ้านพักคนงาน หรือบ้านของเอื้องคำ ดังนั้นแม่บ้านเอื้องคำจึงจัดห้องของแสงดาวติดกับห้องของพ่อเลี้ยงน่านฟ้า เผื่อว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นพ่อเลี้ยงจะได้ช่วยแสงดาวได้อย่างทันท่วงที
แสงดาวมองห้องนอนขนาดไม่ใหญ่นักแล้วถึงกับน้ำตาซึม เพราะห้องนอนน่ารักมีม่านลูกไม้สีขาว เหมือนที่ห้องนอนเก่าของเธอ ห้องนอนเก่าอย่างนั้นเหรอ...
เด็กสาวสะดุดความคิดของตนเอง ดีใจที่ตนจำได้ว่าห้องนอนของเธอมีผ้าม่านลูกไม้สีขาวแบบนี้ แต่พอพยายามคิดว่าห้องนอนของเธออยู่ที่ไหน เธอก็รู้สึกปวดหัวจนต้องหยุดคิดแล้วกัดกรามเข้าหากันราวกับว่าการทำเช่นนี้จะช่วยระงับอาการปวดศีรษะได้
เธอยืนอยู่สักพักก่อนจะหมุนมองไปรอบๆ ตัว เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นไม้สักทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า เตียงนอน โต๊ะเขียนหนังสือ โต๊ะเครื่องแป้ง และม้านั่งตัวยาว แต่ห้องกลับดูอ่อนหวานอบอุ่นนั่นเพราะผ้าลูกไม้สีขาวและสีครีมอ่อนๆ ที่ปูทับบนโต๊ะ อีกทั้งผ้าปูที่นอนสีเหลืองนวลยิ่งขับให้ห้องนอนดูสว่างขึ้นไปอีก
“ขอบพระคุณค่ะป้าเอื้อง” แสงดาวยกมือไหว้ขอบคุณเอื้องคำอย่างอ่อนน้อม
“ไม่ต้องขอบคุณป้าหรอกหนูแสงดาว ถ้าจะขอบคุณก็ต้องขอบคุณพ่อเลี้ยงถึงจะถูก” เอื้องคำเห็นกิริยามารยาทของเด็กสาวก็ยิ่งนึกรัก กิริยามารยาทและการพูดจาเช่นนี้เดาได้เลยว่าต้องได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
“บุญคุณของพ่อเลี้ยง หนูจะไม่มีวันลืมชั่วชีวิตค่ะ” เด็กสาวเสียงสั่นเมื่อคิดถึงพ่อเลี้ยงน่านฟ้า
“เอ...หนูน่าจะอายุ 14-15 ปี ห่างกับพ่อเลี้ยงน่านฟ้าตั้ง 15-16 ปี เรียกพ่อเลี้ยงเฉยๆ น่าจะไม่เหมาะ” เอื้องคำคิดก่อนจะเดินวนไปรอบๆ “ป้าว่าหนูเรียกพ่อเลี้ยงน่านฟ้าว่าอาน่านฟ้าจะเหมาะกว่านะ”
“ให้หนูเรียกพ่อเลี้ยงว่าอาน่านฟ้าเหรอคะ”
“จ้ะเรียกสั้นๆ ว่าอาน่านก็น่าจะได้นะ น่ารักดี ส่วนหนู...ป้าจะเรียกว่าหนูดาวก็แล้วกัน ดีมั้ย...” เอื้องคำจัดแจงเสร็จสรรพเพราะถือว่าพ่อเลี้ยงมอบหมายให้เธอดูแลแสงดาวแล้วนั่นเอง
“ดีค่ะ” เด็กสาวยิ้มกว้างก่อนจะก้มตัวลงสัมผัสผ้าคลุมโต๊ะ รู้สึกคุ้นเคยกับผ้าลูกไม้สีขาวเสียเหลือเกิน แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เห็นแต่ภาพบานหน้าต่างห้องนอนในความทรงจำ เป็นบ้านไม้สีขาวทรงขนมปังขิง ลมแรงเสียจนผ้าม่านปลิวไสวหยอกล้อสายลมตลอดทั้งวัน
“ป้าหาเสื้อผ้าใส่ตู้เอาไว้ให้แล้ว หนูอาบน้ำเถอะจะได้ลงไปทานข้าวเที่ยงกับพ่อเลี้ยง”
“ค่ะป้าเอื้อง” เด็กสาวพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางไว้ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองตัวเองในกระจกแล้วน้ำตาก็ไหลออก
“เธอเป็นใครกันแน่แสงดาว เธอจะอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ เธอต้องรีบกลับบ้าน” เด็กสาวพูดกับตัวเองในกระจกก่อนจะยกมือปิดหน้าตัวเองแล้วร้องสะอื้นจนตัวโยน เธอร้องจนแทบไม่มีน้ำตาจะไหลออกมาร้องไห้จนเหนื่อยอ่อนแล้วจึงหอบร่างอ่อนแรงเข้าไปอาบน้ำ
อาหารภาคเหนือส่งกลิ่นหอมยวนยั่วน่ารับประทาน ไม่ว่าจะเป็นแกงโฮะ แอบปลากุ้ง จอผักกาด และไส้อั่ว แสงดาวรู้สึกหิวจนเอามือลูบท้อง ลอบกลืนน้ำลายแล้วเงยหน้าขึ้นมองเอื้องคำที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“หิวแล้วใช่มั้ยหนูดาว รอก่อนนะเดี๋ยวพ่อเลี้ยงก็มาแล้ว”
“ค่ะ” เด็กสาวรับคำอย่างว่าง่าย ไม่นานก็ได้ยินเสียงพ่อเลี้ยงสั่งงานใครสักคนอยู่ที่ระเบียงบ้าน ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร ทันทีที่พ่อเลี้ยงน่านฟ้าเดินเข้ามาเด็กสาวก็ส่งยิ้มให้ทันที
“เป็นยังไงแสงดาว ชอบห้องนอนใหม่มั้ย” ชายหนุ่มเอ่ยถามขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ วันนี้แปลกไปจากเดิมตรงที่เขาไม่ต้องนั่งรับประทานอาหารคนเดียว แต่มีเด็กสาวหน้าแฉล้มร่วมรับประทานอาหารด้วย
“ชอบมากเลยค่ะ ดาวขอขอบพระคุณอาน่านมากเลยนะคะ ที่กรุณาดาวทั้งที่ดาวทำให้อาน่านเดือดร้อนแท้ๆ” เด็กสาวพนมมือไหว้อย่างสำนึกในบุญคุณของชายหนุ่ม
“ดะ...เดี๋ยว...” พ่อเลี้ยงน่านฟ้ายกมือขึ้นแล้วขมวดคิ้วมุ่น “เมื่อกี้เรียกผมว่าอะไรนะ” เขาทวนถามอีกครั้งเพื่อเน้นย้ำว่าเขาไม่ได้หูฝาดไปเอง
“หนูเรียกพ่อเลี้ยงว่าอาน่านค่ะ”
“คือเอื้องเป็นคนบอกให้หนูดาวเรียกเองค่ะ ดาวยังเด็กให้เรียกว่าพ่อเลี้ยงเฉยๆ ก็ดูยังไงอยู่ เลยให้เรียกว่าอา จะให้เรียกพี่ก็อายุห่างกันเกินไป” เอื้องคำแถลงไขด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น ไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดของตนทำให้เจ้านายถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
‘อายุห่างกันเกินไปงั้นเหรอ’ เขาหันไปมองเด็กสาวตัวผอมบางแล้วถอนหายใจอย่างยอมจำนน ดูเหมือนเขาต้องยอมให้เธอเรียกเขาว่าอาน่านอย่างช่วยไม่ได้
“ทานเถอะแสงดาว เดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อน” ชายหนุ่มปิดบทสนทนาลงเสียดื้อๆ เพราะพูดไปก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าตนอายุเริ่มจะมากขึ้นทุกทีแล้ว
“ค่ะอาน่าน” แสงดาวยิ้มกว้างก่อนจะจัดการตักไส้อั่วมาใส่จานตนเอง แล้วรับประทานกับข้าวหอมมะลิร้อนๆ ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย เจ้าของบ้านเห็นเด็กสาวเจริญอาหารก็อมยิ้มด้วยความเอ็นดู
“ทานเยอะๆ จะได้ไม่ผอมแห้งแบบนี้”
“ค่ะหนูจะทานเยอะๆ” เด็กหญิงยิ้มก่อนจะตักไส้อั่วให้พ่อเลี้ยงน่านฟ้าบ้าง “อาน่านก็ต้องทานเยอะๆ เหมือนกันนะคะ”