เสิ่นเยี่ยนฟางเอ่ยเสียงอุบอิบก่อนจะนอนหันหลังให้เขา หน้าแดงไปหมดตาบ้านี่ลามก หื่นกามน่าดูระวังให้ดีข้าจะควักลูกตาให้ เมิ่งหย่งชวนหัวเราะคนตัวเล็กที่อาศัยความเงียบต่อต้านเขา แต่ก็ยังไม่วายห่วงใยอาการป่วยของเขา ก่อนจะห่มผ้าให้นางอย่าเบามือ ก้มลงหอมแก้มจึงออกจากห้อง
เมิ่งหย่งชวนเดินไปคว้าตะกร้าเพื่อจะไปจับปลา เมิ่งลู่เจินมองหน้าเขา เมิ่งหย่งชวนจำเป็นต้องอธิบาย
"พี่ไม่ได้ทะเลาะกับนางแค่ดุนางนิดหน่อย หากถูกน้ำเย็นนางจะป่วยอีก"
"แต่พี่ใหญ่ท่านเองก็ป่วยอยู่นะขอรับ"
"ไม่เป็นไร พี่จับไ
ด้โดยที่ไม่ต้องลงน้ำ อาเจินไม่ต้องสานแล้วพอเถอะมือแตกแล้ว"
"พี่สะใภ้สอนลายใหม่ให้ มันสวยดีข้าว่าต้องขายดีแน่ๆ พี่ใหญ่ข้าจะหาเงินให้ท่านกลับไปเรียน ท่านรอสักนิดนะขอรับ"
เมิ่งหย่งชวนลูบศีรษะน้องชาย เขาไม่ต้องการเป็นขุนนางจอมปลอมเหมือนคนพวกนั่น และที่สำคัญเขาก็ไม่ไร้หนทางเสียทีเดียว อีกสามเดือนต้องเดินทาง มีเสิ่นเยียนฟางมาอยู่เป็นเพื่อนน้องชายเขาก็สบายใจหน่อย
ดูแล้วนางเป็นสตรีที่ดีพอควร แม้จะอยู่ด้วยกันเป็นวันที่สี่แต่เขาดูออก นางไม่ใช่คนเหลวไหล ติดแค่เถียงคำไม่ตกฟากเท่านั้นละ
เมิ่งหย่งชวนใช้ตะกร้าชอนปลาแต่พวกมันว่ายเร็วนักเชียว ก่อนจะหมดความอดทนจึงสะบัดมือสองทีก็ได้มาห้าตัว ก่อนจะนำลงตะกร้าเสียดายใช้กำลังภายในเยอะไปหน่อยตายหมดเลย เมียจะบ่นไหมแต่ไม่เป้นไรน่ายังไงก็ต้องฆ่าอยู่ดี สู้เขาจัดการให้ดีกว่าเดี๋ยวเมียเห็นเลือดแล้วเป็นลมขึ้นมาอีก เมียเขายิ่งบอบบางอยู่
เมิ่งหย่งชวนเดินกลับเข้าบ้านก็เห็นควันไฟแล้ว ดื้อจริงๆ บอกให้นอนพักก็ไม่ฟังเลย ต้องปราบพยศกันหน่อยแล้วรอให้หายดีก่อนเถอะ
“เสี่ยวฟางได้มาห้าตัว ข้าทุบให้แล้วต้องทำอย่างไรต่อ เจ้าบอกมาเถอะเดี๋ยวข้าทำเอง เกิดเห็นเลือดแล้วเป็นลมขึ้นมาข้าต้องมานั่งดูเจ้าอีก"
เสิ่นเยี่ยนฟางมองหน้าพ่อนักศึกษาปีสองอย่างระอา ไอ้หนูอายุขนาดนายเนี่ยยังเฟรชชี่อยู่เลย ส่วนเจ้อ่ะถือปืนตระเวนชายแดนไล่ล่าพวกค้ายากับพวกลักลอบเข้าเมือง กลัวเลือดที่ไหนกันย่ะ ยิ่งเห็นเลือดยิ่งกระหายย่ะ เฮ้อมีผัวเด็กนี่ฉันล่ะทำใจจริงๆ เลย ก่อนจะเอ่ยกับคนตัวสูง
“ท่านขอดเกล็ดปลาเป็นไหม ข้ากำลังจะทำหมูตุ๋น นี่เมิ่ง เอ่อ ท่านพี่เรายังเหลือเงินอยู่ท่านจ้างคนมาดายหญ้าเถอะ อีกอย่างเตานี่ก็ต้องก่อใหม่ บ้านท่านนี่สภาพ หึ คนอยู่ได้หรือ อีกไม่กี่วันฝนก็ตกแล้ว หลังคามุงหญ้าคาหากพายุแรงๆ จะต้านได้หรือ”
“เสี่ยวฟาง หากอยู่ๆ มีเงินขึ้นมาชีวิตจะไม่สงบเอานะ ค่อยๆ ทำเถอะหลังคาข้าจะไปตัดไม่มาทับให้หนาแน่นสักหน่อยแล้วกัน”
“เฮ้อ กระเบื้องมือสองที่เขาขายก็ได้ไม่จำเป็นต้องของใหม่ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่านอนๆ อยู่หลังคาจะปลิวไปตอนไหน”
“ได้เช่นนั้นข้าจะลองไปถามท่านปู่ใหญ่ดู เดี๋ยวข้าไปทำปลาก่อนนะ หากเจ้าเวียนหัวก็เรียกข้านะอย่าฝืน”
เสิ่นเยี่ยนฟางพยักหน้า ก่อนจะเอาสามชั้นมาหั่นเป็นชิ้นๆ นำไปจี่กับกะทะให้ขึ้นสีเข้ม จากนั้นก็เตีรมเครื่องเทศ โชคดีที่ร้านท่านหมอจ้าวมีเครื่องเทศให้ใช้พอสมควร แม้ไม่ครบแต่ก็พอดึงกลิ่นหอมและความอยากอาหารได้
เมิ่องหย่งชวนทำปลาให้นางเสร็จก็เอามาส่งให้ เสิ่นเยี่ยนฟางนำสองตัวมาทอดจนเหลืองจากนั้นก็เติมน้ำเคี่ยวต่อสักพักก็ได้น้ำแกงปลาสีน้ำนม นางกรองเอากากออกตักใส่ชามยกไปให้สองพี่น้องที่กำลังนั่งสานตะกร้ากันอยู่
“ดื่มน้ำแกงก่อน ปลาสดดีน้ำแกงหวานมากรับรองไม่มีกลิ่นคาว ข้าจะไปหุงข้าอีกเตา อาเจินต่อไปนี้ต้องดื่มน้ำข้าวทุกวันนะ เสียดายไม่มีแพะไม่เช่นนั้นจะให้เจ้าดื่มนมพะทุกเช้าแทน”
พูดจบก็เข้าครัวไปหุงข้าว ปลาที่เหลืออีกสามตัวหมักด้วยเกลือเล็กน้อยจากนั้นก็นำมาทอด กลิ่นปลาทอดหอมไปไกลจนชาวบ้านที่กำลังอยู่ในนาต่างก็หาที่มาของกลิ่น
“นี่บ้านใครทำอาหารกันหรือ”
“คงเป็นบ้านเศรษฐีวั่นกระมัง จะมีกี่บ้านกันที่กินมื้อเที่ยง เฮ้อคนเหมือนกันแต่ความเป็นอยู่ช่างแตกต่างเหลือเกิน ทำงานเถอะเดี๋ยวฝนลงจะไถไม่ทัน”
ชาวบ้านปกติจะกินแค่สองมื้อ ใครไม่อยากกินอิ่มเล่า แต่ทำเช่นไรได้ความยากจนพวกเขาแค่มีกินก็ดีแล้ว
เสิ่นเยี่ยนฟางหุงข้าเรียบร้อย แบ่งน้ำข้าวใส่เกลือเล็กน้อยไว้ให้สองพี่น้อง เมิ่งหย่งชวนเดินมานางก่อนจะดุเบาๆ
“ได้เวลากินยาแล้ว อย่างอแงไม่งั้นข้าป้อนนะเสี่ยวฟาง”
“ไม่กินได้หรือไม่ มันขมมากนะเจ้ากินจนชินแต่ข้า”
“เสี่ยวฟาง ไม่อยากหายหรือ เห็นอาเจินบอกว่าเจ้าอยากปลูกผัก หากไม่หายห้ามทำงานเด็ดขาด ข้าไม่มีเงินจะเสียแล้วนะ”
“หึ ใครอยากให้เจ้ารักษากัน ทวงบุญคุณเช้ากลางวันเย็น กินข้าวเถอะข้าจะได้ดื่มยานอน ตอนเย็นพวกเจ้าแค่อุ่นเอาข้าอาจนอนยาวเลยก็ได้”
ทั้งสามคนนั่งลงกินมื้อเที่ยง อาเจินตักหมูตุ๋นคำแรกก็ร้องไห้ออกมา ตั้งแต่ท่านแม่จากไปเกือบห้าปีแล้วนี่เป็นมื้อแรกที่เขาได้กินเนื้อ ได้กินอาหารอร่อยถึงเพียงนี้
เมิ่งหย่งชวนเห็นน้องชายร้องไห้ก็ถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้น
"อาเจิน เจ้าจะร้องไห้อีกนานไหม พี่สะใภ้เจ้าป่วยก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมาทำอาหารให้เจ้ากิน นางอยากให้เจ้ามีร่างกายที่แข็งแรง แต่เจ้ากับไม่ถนอมน้ำใจนางเช่นนี้หรือ"
"พี่ใหญ่ข้าคือข้า ฮือๆๆๆพี่สะใภ้ใหญ่ข้าขอโทษนะขอรับข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านไม่พอใจข้าแค่คิดพถึงอาหารที่ท่านแมม่เคยทำเท่านั้นขอรับ"
เมิ่งลู่เจินร้องไห้ออกมากลางวงข้าว เสิ่นเยี่ยนฟางเองก็ได้แต่ถอนหายใจ เท่าที่รู้แม่ของเด็กสองคนนี้จากไปเกือบห้าปีแล้วตอนนั้นเมิ่งลู่เจินย่างห้าขวบแล้ว คงพอจำได้ลางๆว่ามารดาทิ้งไป
"อาเจิน พี่สะใภ้ไม่โกรธเจ้าหรอกอย่าร้องไห้เลย เป็นบุรุษต้องเข้มแข็งนะ อีกไม่นานพี่ชายเจ้าหายดีต้องไปร่ำเรียนเพื่อสอบขุนนาง เราต้องอยู่กันเองสองคนหากเจ้าอ่อนแอใครจะปกป้องพี่สะใภ้กันเล่า ข้ายิ่งบอบบางอยู่นะ"
"พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ข้าขออภัยขอรับ ข้าสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว ข้าจะเข้มแข็งเพื่อปกป้องท่านตอนที่พี่ใหญ่ไม่อยู่ขอรับ"
"ดีมาก งั้นบอกมาสิพี่สะใภ้ทำอาหารอร่อยหรือไม่"
"อร่อยมากขอรับ ท่านทำอาหารอร่อยที่สุด อร่อยกว่าที่ท่านพ่อกับท่าน.."
"อาเจินกินข้าวได้แล้ว จะได้ไปพักผ่อนนอนกลางวันสักหน่อย ใส่ยาที่มือด้วยหลาวตอกจนมือแตกหมดแล้ว"
เมิ่งหย่งชวนดุน้องชายเสียงเข้ม เสิ่นเยี่ยนฟางมีความรู้สึกว่าเขาไม่อยากเอ่ยถึงมารดา เกลียดแม่ตัวเองหรือ แต่ว่าคนบางคนก็ไม่ควรเกิดมาเป็นแม่คนจริงๆ ในโลกก่อนนางเห็นคนเช่นนี้เยอะมาก แม่ไม่พร้อม แม่วัยใส แม่ที่เห็นแก่ตัวเอาลูกมาเป็นเครื่องมือต่อรองกับสามี
โลกก่อนเธอคือแก้วตาดวงใจของตระกูลหลิว เป็นหลานสาวคนเดียวของตระกูล มีน้องชายสองคนตอนนี้ทำธุรกิจส่งออกและธุรกิจเกี่ยวกับไอทีเป็นส่วนใหญ่ แม่เสียตอนเธออยู่มหาลัยปีสุดท้าย จากนั้นพ่อก็ไม่ยอมแต่งงานใหม่เลี้ยงพวกเธอสามพี่น้องมาคนเดียว
เสิ่นเยี่ยนฟางมองสองพี่น้องตรงหน้าก็ได้แต่สงสาร ห้าปีที่แล้วหรือ เมิ่งหย่งชวนอายุย่างสิบห้าต้องเลี้ยงน้องชายวัยสี่ขวบกว่าอาหารที่ไม่เคยได้กินอิ่มสักมื้อ เขาต้องขึ้นเขาล่าสัตว์มาขายเพื่อหาเงินให้บ้านใหญ่ เด็กอายุขนาดนี้เพิ่งจะมัธยมต้นเองนะ กลับต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองกับน้องชาย
เมื่อทุกคนอิ่มเรียบร้อยเสิ่นเยี่ยนฟางก็เก็บสำรับ อาหารถูกตั้งไว้บนเตาที่ยังอุ่น เมิ่งลู่เจินถูกพี่ชายบังคับให้นอนกลางวันไปแล้ว อากาศที่ดีๆอยู่เมื่อเช้าตอนนี้ฝนเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา