ตอนที่ 15 หยดเทียนในงานประชุมผู้ปกครอง

2622 Words
หลังจากนั้นราวสองสัปดาห์ หยดเทียนก็ขอลางานครึ่งวันเป็นครั้งแรก เนื่องจากเขาต้องเข้าร่วมงานประชุมผู้ปกครองที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นในทุกๆ เทอม ซึ่งเป็นเวลากว่าสี่ปีมาแล้วที่เขาต้องเข้าร่วมงานของโรงเรียนในฐานะผู้ปกครองของหยดน้ำ แทนมารดาของตนที่ไม่ใคร่จะสนใจเรื่องความเป็นอยู่ของลูกตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่ามันไม่ได้ทำเงินให้เธอเสียหน่อยซ้ำยังเสียเวลาการสุขสำราญของเธออีก หยดเทียนเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ที่ถูกจัดเรียงไว้เป็นแถวยาวหลายแถวพร้อมกับผู้ปกครองคนอื่น ก่อนอาจารย์สาวจะเริ่มแนะนำตัวด้วยสีหน้าร่าเริงยิ้มแย้ม เมื่อเห็นว่าผู้ปกครองของนักเรียนที่ตนรับผิดชอบเข้ามานั่งกันครบแล้ว “สวัสดีคุณผู้ปกครองที่สละเวลามาในวันนี้นะคะ ดิฉันชื่อครูปอยเป็นอาจารย์ประจำชั้นมัธยม 6/2 ค่ะ” หลังจากที่ครูปอยกล่าวทักทายและแนะนำตัวเสร็จ เธอก็เริ่มพูดถึงหัวข้อเรื่องที่นำมาพูดคุยและปรึกษากัน เกี่ยวกับบุตรหลานที่อยู่ในความดูแล ร่วมกันเสนอแนวคิด หาวิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของนักเรียนบางคนที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนคนอื่นในห้องได้ การเลือกมหาลัยในอนาคตอันใกล้ หรือแม้กระทั่งอาชีพในอนาคตของเด็กนักเรียน แต่ในระหว่างที่คุณครูสาวและเหล่าผู้ปกครองกำลังนั่งประชุมกันจนจวนจะเสร็จอยู่แล้วนั้น ประตูบานหนาก็ถูกเปิดออก เพราะดูเหมือนว่าจะมีผู้ปกครองบางคนที่มางานสาย “ขอโทษครับคุณครู ยังทันอยู่ไหมครับ” อัลฟ่าวัยกลางคนท่าทางเป็นผู้ดีเปิดประตูเข้ามาพลางเอ่ยถามครูปอยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมปนเกรงใจ “ยังทันค่ะ ผู้ปกครองเชิญนั่งเลยค่ะ” เธอเอ่ยพร้อมผายมือเชิญให้ผู้ปกครองผู้มาสายหาที่นั่งที่ยังคงว่างอยู่ตามสบาย ชายคนนั้นยิ้มอย่างดีใจก่อนจะพยักหน้ารับ เขาเดินเข้ามานั่งเก้าอี้แถวสุดท้ายตัวที่ยังว่างอยู่ ก่อนที่เสียงเหล่าผู้ปกครองจะเริ่มซุบซิบกันถึงชายที่ไม่คุ้นหน้า นั่นเพราะธนาเพิ่งมาร่วมงานประชุมผู้ปกครองเป็นครั้งแรก จึงไม่เป็นที่คุ้นหน้าคร่าตาเหล่าผู้ปกครองที่มาให้เห็นหน้ากันอยู่ทุกเทอม แต่กระนั้นหัวข้อที่นำมาจับซุบซิบกัน ก็เห็นจะเป็นเพียงความหล่อเหลาและความอลังการของเครื่องแต่งกาย ที่ดูจากมุมไหนก็รู้ว่าเป็นผู้ดีมีชาติตระกูล หยดเทียนที่นั่งอยู่ข้างๆ คุณแม่ทั้งสองที่ตาเป็นกำลังกระซิบกระซาบกันแล้วร้องเฮอะ! ในลำคอ ผู้ดีมีชาติตระกูลที่ไหนกันเล่า จะพาลูกตัวเองมาเรียนในโรงเรียนรัฐบาลที่ความสะดวกสบายเป็นศูนย์เมื่อเทียบกับโรงเรียนเอกชน หากแต่เด็กคนนั้นคือลูกของเมียน้อยที่ไม่อยากให้ใครรู้จัก เวลาเกือบเที่ยงเศษงานประชุมผู้ปกครองก็จบลง เหล่าผู้ปกครองบางส่วนเริ่มทยอยกลับบ้าน และอีกส่วนก็แวะมาพบปะกับบุตรหลานที่ออกมาพักกลางวันพอดี ซึ่งหยดเทียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น “อยู่ไหนนะ” เบต้าชักสีหน้าสับสนเพราะกำลังอลหม่านอยู่กับการเดินตามหาน้องชาย เขาเดินแทบจะทั่วโรงอาหารอยู่แล้วแต่ก็ไม่พบเจอกันเสียที อาจเนื่องด้วยเด็กนักเรียนที่เริ่มหลั่งไหลกันเข้ามา และไหนจะชุดยูนิฟอร์มที่ใส่เหมือนกันทั่วโรงเรียน จึงทำให้ยากนักที่จะตามหาใครเพียงคนเดียว ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจเดินออกมาด้านนอกเพื่อหยิบโทรศัพท์โทรหาน้องชาย ทั้งที่ตั้งใจว่าจะมาเซอร์ไพรแท้ๆ แต่ในขณะที่กำลังยกโทรศัพท์แนบหู สายตาก็ดันสะดุดเข้ากับเด็กหนุ่มผิวขาวที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่กับเพื่อน ก่อนที่ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาจะมีชายวัยกลางคนเดินเข้ามานั่งด้วย และเด็กหนุ่มคนที่ว่าก็คงไปใครไปไม่ได้นอกจากหยดน้ำ น้องชายของเขาที่กำลังนั่งเสวนากับชายที่เคยเรียกว่าพ่อด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน ด้วยความเป็นพี่มีหน้าที่ดูแลน้อง มีหรือจะยอมปล่อยให้ตาเฒ่ามายุ่มย่ามกับหยดน้ำ ว่าแล้วเบต้าก็โยนโทรศัพท์ลงในกระเป๋าอย่างหุนหัน แล้วรีบสับขาเดินไปที่โต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่ด้านนอกสุดทันที “น้ำ!” เสียงเรียกน้องชายดังมาแต่ไกลทั้งที่ตัวยังเดินไปไม่ถึง โอเมก้าน้อยที่กำลังนั่งพูดคุยกับเพื่อสนิทและธนาผู้มีศักดิ์เป็นบิดา หันขวับมาตามเสียงเรียกที่ได้ยินโดยอัตโนมัติ “พี่เทียน! น้ำนึกว่าพี่จะไม่มาหาน้ำซะอีก” เด็กน้อยยิ้มร่าด้วยความดีใจปนกับความคิดถึงที่เห็นพี่ชายเดินเข้ามา หลังจากที่ไม่ได้อีกเจอนานกันนานนับตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่ทว่าดีใจได้ไม่นานก็มีอันต้องให้หุบยิ้ม เพราะรู้ดีว่าพี่ชายและพ่อนั้นไม่ถูกกัน พบเจอหน้ากันทีไรมีอันต้องปะทะฝีปากกันทุกเมื่อ ยิ่งกว่าขมิ้นกับปูนเสียอีก เบต้าหนุ่มจ้องแผ่นหลังกว้างของธนาด้วยสายตาขึงขังไม่สบอารมณ์ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ยาวฝั่งตรงข้ามกับเก้าอี้ที่หยดน้ำนั่ง ซึ่งคนที่นั่งข้างๆ ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากชายที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าที่นั่งนิ่งไม่ได้หันมาสนใจตนสักนิด “เรียนเป็นยังไงบ้าง” เบต้าเหลียวมองหน้าธนาด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง ก่อนจะหันหน้าไปพูดคุยกับน้องชายและเพื่อนสนิทด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ “ปกติดีครับ คุณครูก็สอนเข้าใจมากเลยครับ” โอเมก้าน้อยยิ้มตาหยีพร้อมกับตักอาหารเข้าปาก “แล้วเพื่อนที่โรงเรียนล่ะเป็นยังไง ไม่มีใครแกล้งใช่ไหม” “มีสิ-” ภัสที่นั่งทานข้าวอยู่ข้างๆ รีบเอ่ยฟ้องทันทีที่ได้ยินคำถาม เพราะเมื่อไม่นานมานี้หยดน้ำและเขาเพิ่งจะโดนพวกเกเรในห้องแกล้งจนเลือดตกยางออกไปหมาดๆ แต่ทว่าเพียงเปล่งเสียงได้สองสามคำ หยดน้ำก็รีบเอื้อมมือไปบีบข้อมืออีกข้างของเขาที่วางไว้บนหน้าตักเบาๆ แทนคำพูดที่จะสื่อว่า ห้ามบอกเรื่องนี้กับพี่ชายของตนเด็ดขาด โอเมก้าสาวเหลียวตามองเพื่อนที่กำลังแสร้งยิ้มให้พี่ชายในขณะที่ฝ่ามือยังคงจับข้อมือตนไม่วาง ทำให้ภัสฉุดคิดได้ว่า เพื่อนคงไม่อยากให้เขาบอกเรื่องนี้กับคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าแน่ๆ “ว่าไง” หยดเทียนทักท้วงหลังจากที่ไม่ได้รับคำตอบที่ถามไปก่อนหน้า เขามองหน้าเด็กโอเมก้าทั้งสองคนสลับกันไปมา แล้วเริ่มขมวดคิ้วไม่สบายใจ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูกับน้ำค่อนข้างสนิทกับครู เลยไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องเท่าไหร่ค่ะ” “จริงครับ” หยดน้ำเอ่ยเสริม “ไม่ค่อย? แสดงว่ามีใช่ไหม” คนพี่ซักถามด้วยความสงสัย ไอ้คำว่าไม่ค่อยมีนี่หมายความว่าอย่างไร หมายถึงมีคนเข้ามาหาเรื่องแต่ไม่บ่อยครั้ง แต่ก็ถือว่าโดนหาเรื่องเหมือนกันใช่หรือเปล่า โอเมก้าหญิงและชายต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กพยายามหาคำแก้ตัวที่ฟังขึ้น จนหยดน้ำที่หัวไวกว่าเอ่ยตอบ “ก็มีบ้างครับ ตอนที่น้ำกับภัสไปยกสมุดมาจากห้องพักครู แล้วมีเพื่อนคนหนึ่งหาสมุดตัวเองไม่เจอ เลยมาโทษน้ำกับภัสว่าทำสมุดของเขาหาย แต่พอหาดีๆ ก็พบว่ามีเพื่อนอีกคนเอาสมุดไปแจกคืนก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อนที่โวยวายก็เลยเข้ามาขอโทษแล้วก็จบกันไปแล้วเรียบร้อยแล้วครับ” เมื่อแต่งเรื่องจบหยดน้ำก็นั่งนิ่งหายใจไม่ทั่วท้องด้วยความกังวลว่า สิ่งที่เพิ่งพูดไปมีความน่าเชื่อถือหรือเปล่า และพี่ชายจะจับได้หรือไม่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนโกหกขึ้นมา หยดเทียนพยักหน้ารับด้วยความหายข้องใจ ทำให้เด็กน้อยสองคนลอบปาดเหงื่อด้วยความโล่ง “มีแค่นี้ใช่ไหมไม่ได้โดนแกล้งอีกแน่นะ” “ครับ ไม่มีแล้วครับ” “แต่ถ้ามีอีกบอกพี่-” “เอาเถอะ ถึงยังไงตอนนี้น้ำก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เธอก็อย่าเป็นห่วงน้ำมากนักไปเลย มันจะทำให้น้ำอึดอัดไปเสียเปล่าๆ” ยังไม่ทันที่หยดเทียนจะพูดจบธนาก็เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยความรำคาญ ที่คนข้างๆ เอาแต่ซักไซ้ถามซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่ลูกชายของเขาก็ตอบไปหมดแล้ว “ว่าไงนะ?” เบต้าขมวดคิ้วแล้วหันขวับจ้องใบหน้าเจ้าของเสียงทุ้มอย่างเอาเรื่อง แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ เพราะชายอัลฟ่ากลับถามคำถามอื่นกับลูกชายของตัวเอง แล้วนั่งเมินเสียงทุ้มหนุ่มราวกับเป็นธาตุอากาศที่แทรกเข้ามาไปโดยปริยาย ‘เย็นไว้ๆ ’ ถึงแม้หยดเทียนจะไม่พอใจตาเฒ่าอย่างไรก็ต้องข่มอารมณ์เอาไว้ให้มั่น เพราะไม่อยากมีปากมีเสียงกันให้น้องชายอับอายเพื่อนไปทั่วโรงเรียน หยดเทียนจึงได้แต่นั่งเงียบขมวดคิ้วแน่นเป็นปมไม่พูดไม่จาอะไรต่ออีก “ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องใช่ไหม” “ไม่มีครับ” “งั้นก็ดีแล้ว ถ้าอยากได้อะไรมาบอกพ่อนะ” หยดน้ำพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกหม่นในอก เด็กคนหนึ่งจะอยากได้อะไรไปมากกว่าการได้รับความรักจากพ่อแม่ อยากให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาไม่แยกแตกเช่นที่เป็นอยู่เช่นทุกวันนี้ แม้ธนาจะเข้ามารับผิดชอบเขาในฐานะพ่อ แต่หยดน้ำก็แยกไม่ออกอยู่ดีว่าสิ่งที่พ่อทำอยู่ตอนนี้มันคือความรัก หรือแค่ต้องการรับผิดชอบในสิ่งที่พ่อทำผิดพลาดในอดีตกันแน่ น้ำสับสนเหลือเกิน... เบต้าหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อเช็กดูเวลาทำให้รู้ว่าตอนนี้เขาควรกลับไปที่ทำงานได้แล้ว เพราะอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงข้างหน้าคนสวนต้องกลับไปทำงาน ปิดทิ้งโทรศัพท์ลงในกระเป๋าสะพายข้างก่อนจะกล่าวขึ้น “พี่ต้องกลับแล้วนะ บ่ายที่ต้องเข้างานแล้ว” “ครับ พี่เทียนกลับดีๆ นะ” แม้หยดน้ำจะเสียใจที่ได้เจอหน้าและพูดคุยกับพี่ชายเพียงไม่กี่สิบนาทีก็จะจากกันอีกแล้ว แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็เข้าใจดีว่า พี่ชายมีเหตุจำเป็นคือต้องไปทำงานเลยขัดไม่ได้ หยดเทียนพยักหน้ารับพร้อมกับชายตาแลท่าทีของธนาครู่หนึ่งพลางคิดในใจว่า เมื่อไหร่เขาจะกลับ หยดน้ำจะได้นั่งทานอาหารอย่างสบายใจเสียที แม้จะอยากอยู่ต่อเป็นไม้กันหมาให้น้องชายแทบตาย แต่สุดท้ายเขาก็ต้องจำใจต้องกลับไปเพราะตนเองก็มีหน้าที่ที่ต้องกลับไปทำเช่นกัน “พ่อก็ต้องกลับแล้วเหมือนกัน ไว้คราวหน้าพ่อจะมาหาใหม่นะ” “ครับ” หยดน้ำฉีกยิ้มให้ด้วยความฝืน ธนายิ้มตอบพร้อมเอื้อมมือลูบกลุ่มผมของลูกชายอย่างอ่อนโยน ก่อนจะผละมือออกแล้วเดินออกไปเช่นกัน หยดน้ำมองตามแผ่นหลังของคนทั้งสองที่เพิ่งเดินออกไปด้วยสีหน้ากังวล กลัวว่าเมื่อพ้นรั้วโรงเรียนไปแล้วพี่ชายและพ่อจะมีปากเสียงกันเช่นเดิมอีก แต่เศร้าใจยิ่งนักที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้ จึงทำเพียงนั่งถอนหายใจแล้วกินข้าวต่อด้วยความรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอก “พี่กับพ่อของน้ำดูไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่เลยเนอะ” ภัสที่นั่งสังเกตท่าทางของทั้งสองคนมาตั้งแต่ตอนต้นเอ่ยถามเพื่อสนิททันทีหลังจากที่ธนาและหยดเทียนกลับไปแล้ว “..ก็อย่างที่ภัสเห็นนั่นแหละ” โอเมก้าน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ใคร่ไม่อยากจะตอบคำถามนี้เท่าไหร่นัก ธนาเดินพ้นออกมาจากประตูหน้าโรงเรียน จึงเห็นว่าหยดเทียนยังคงยืนรอรถแท็กซี่อยู่ ชายอัลฟ่าระบายลมหายใจออกอย่างเยือกเย็นก่อนจะเก็บมือเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง เดินเข้ามายืนข้างๆ อีกฝ่าย “งานการช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง” “...” ไร้เสียงตอบกลับ หยดเทียนทำเพียงยืนนิ่งๆ ปล่อยเสียงที่เปล่งออกมาหายล่องไปในอากาศ ธนายิ้มนัยๆ พร้อมชายตามองสำรวจร่างที่เตี้ยกว่าตน จนสะดุดเข้ากับรอยแผลที่หลงเหลืออยู่บนมือของหยดเทียนขณะที่เขาจับสายกระเป๋าสะพายข้างอยู่พอดี เพียงเท่านี้ธนาก็ติ๊งต่างไปเองแล้วว่า งานที่เด็กคนนี้ทำอยู่คงหนีไม่พ้นการใช้แรงงานอย่างแน่นอน ยกของหนัก หามกระสอบตามประสาเด็กที่เรียนไม่จบ เห็นแล้วเขาก็ส่ายหัวอย่างเวทนา “ดูแล้วงานที่ทำอยู่มันคงหนักละสิ มือไม้ถึงได้มีแต่แผล” “...” “ฉันรู้ว่าที่เธอทำงานหนักก็เพื่อส่งลูกชายของฉันเรียน แต่ก็นะ..เงินที่ฉันส่งให้ในแต่ละเดือน แม่เธอก็เอาไปลงขวดลงบ่อนหมด อีกอย่างสภาพแวดล้อมรอบตัวก็มีแค่พวกนักเลงเมายา วันๆ หาแต่เรื่องทะเลาะ มีทั้งบ่อนมีทั้งเหล้าให้กินอยู่ครบจบที่ที่เดียว เป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้ดีพอได้” หยดเทียนรู้ดี ความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อคืออะไร เพราะแม้ไม่ได้บอกกันตรงๆ แต่ประโยคที่เปล่งออกมานั้นรู้ลึกไปถึงไส้ถึงพุง รู้ทั้งรู้ว่าแม่ของพวกเขาเอาเงินที่ส่งให้ไปเล่นการพนัน กินเหล้าเที่ยวผับแต่กลับส่งให้ไม่เคยขาด สภาพแวดล้อมที่ว่ามีแต่พวกน่ารังเกียจ แต่กลับไม่เคยออกปากหาที่อยู่ใหม่ให้ลูกชาย เพื่อหวังจะบีบบังคับพวกเขาทุกทาง หวังจะให้ใจอ่อนเพราะสงสารน้องชายแล้วส่งตัวหยดน้ำไปอยู่ในที่ที่สบายกว่านี้ ซึ่งก็หนีไม่พ้นต้องหอบเสื้อผ้าไปอยู่บ้านของธนา แล้วหากเขายอมส่งน้องชายไปอยู่ในที่อันแสนสบาย แต่ต้องคอยอดทนอดกลั้นกับการถูกครอบครัวเมียหลวงรังแกไม่เว้นวัน หากเป็นเช่นนั้นหยดเทียนก็ไม่เอาด้วยหรอก! ในขณะที่หยดเทียนยืนนิ่งเงียบอย่างเฉยชา เฝ้าภาวนาว่าเมื่อไหร่รถแท็กซี่จะผ่านมาเสียที เพราะเขาเริ่มทนฟังลุงอัลฟ่าคนนี้พูดต่อไม่ไหวอีกแล้ว เขาก้มลงมองนาฬิกาไม่พักจนในที่สุดรถแท็กซี่ที่สวรรค์ประทานมาให้ก็มาขับผ่านเสียที เบต้ายื่นมือโบกรถยนต์รับจ้าง ก่อนที่มันจะเคลื่อนเข้าจอดตรงหน้าเพื่อรับผู้โดยสาร “เก็บความหวังดีเอาไปใช้กับลูกเมียที่รออยู่บ้านเถอะครับ เพราะพวกผมไม่ต้องการ” ว่าแล้วเขาก็ก้าวขาขึ้นรถปิดประตูอัดใส่หน้า และไม่มีทีท่าว่าจะเปิดกระจกรถมาเหลียวแล รถแท็กซี่ขยับล้อเคลื่อนออกจากหน้าประตูโรงเรียนไปด้วยความเร็ว ปล่อยให้อัลฟ่าวัยกลางคนต้องยืนถอนหายใจ เพราะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายไม่สำเร็จ วันนี้เขาเลยต้องกลับบ้านมือเปล่าอีกเช่นเคย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD