ตอนที่ 13 หยดเทียนกับการทำความรู้จักครั้งใหม่

2999 Words
หลังจากที่ตีหน้าเศร้าเอารอยช้ำบนหัวไหล่ไปฟ้องพ่อบ้าน เจ้าเบต้าตัวแสบก็กลับมานอนหลับฝันดีผีมาตบก้นกล่อมนอนจนถึงเช้า วันต่อมาผู้ช่วยคนสวนอย่างเรย์ก็รีบสับเกียร์วิ่งเข้ามารายงานลูกพี่ด้วยใบหน้าตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ว่า เมื่อวานนี้หลังจากที่เขาเลิกงาน พวกอันธพาลก็โดนคุณริวกะผู้เป็นหัวหน้าทำโทษเสียหนัก เพราะหลังจากที่บอดี้การ์ดและคนงานคนอื่นในบ้านสกุลวัฒนารู้ถึงสาเหตุที่ทำให้อันธพาลกลุ่มนี้โดนลงโทษ ก็เริ่มมีความกล้าทยอยเข้ามาฟ้องร้องเอาผิดในสิ่งที่ตนโดนกระทำมาตลอด จากตอนแรกมีเพียงแค่คนสองคนก็เริ่มบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงหลักสิบคน ตกบ่ายมาหยดเทียนคนอารมณ์ดีนั่งแกว่งขาสบายใจเฉิบอยู่ที่ประจำ นั่นคือสวนหลังบ้าน เพราะพอใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเช้า เขานั่งฮัมเพลงตากลมธรรมชาติพลางแหงนหน้าชมนกชมไม้ด้วยความว่างไม่มีอะไรทำ “เป็นคนสวนบ้านนี้มันดีจริงๆ” ว่าจบแผ่นหลังบางก็เอนลงบนพื้นม้านั่งอย่างเชื่องช้า พร้อมใช้มือทั้งสองข้างเป็นหมอนรองศีรษะอย่างทุลักทุเลเพราะยังคงเจ็บบริเวณหัวไหล่อยู่ไม่หาย แต่กระนั้นก็ยังคงนอนกระดิกขาฮัมเพลงในคออย่างคนสำราญใจ กระทั่งเสียงแก้วกระทบกับจานรองกระเบื้องดังขึ้น หยดเทียนสะดุ้งโหยงรีบเด้งตัวลุกด้วยความเร็วแสงเมื่อได้ยินเสียง เขานั่งมุ่นคิ้วกวาดตามองดูอย่างฉงนคละหวาดระแวง ว่าใครกันที่มาทำเสียงดังรบกวนตน ใช่พวกอันธพาลที่จะตามมาเอาคืนหรือเปล่า? ‘ชิ! ก็นึกว่าใคร’ คนสวนชิชะในใจเมื่อรู้ว่าต้นตอของเสียงมาจากเจ้านายที่มานั่งจิบชายามบ่ายตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เบต้าชักสีหน้าบูดบึ้งก่อนจะยันตัวลุกขึ้นหวังจะเดินปลีกตัวไปนั่งที่อื่น “เดี๋ยว มานี่ก่อน” อัลฟ่าเอ่ยเสียงนุ่มรั้งร่างของลูกน้องไว้ ทำให้หยดเทียนมีท่าทียึกยักไม่กล้าเดินมา “มาชิมคุกกี้” ท้ายที่สุดก็ต้องเอ่ยต่อ เพราะคิดว่าสาเหตุที่คนสวนไม่ยอมเดินมาคือร่างเล็กกลัวว่าเจ้านายเช่นตนจะเรียกไปดุ ดวงตากลมเหลือบมองคุกกี้สีนวลเข้มที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างพิจารณา แต่เมื่อเผลอจ้องหน้ามันเข้าเพียงเล็กน้อย กลิ่นหอมชวนน้ำลายส่อก็ลอยแตะต้องจมูกชักชวนให้เกิดความอยาก ทั้งที่ระยะทางจากพื้นที่ที่เขายืนอยู่ไกลเกินกว่ากลิ่นจะส่งมาถึงแท้ๆ เอย์จิผู้เป็นนายอมยิ้มในท่าทีไร้เดียงสา ที่อยากลิ้มลองคุกกี้ตรงหน้าจนน้ำลายส่อปากแต่กลับถือตัว เทียวเหลียวเทียวมองขนมไม่วางตา ชายหนุ่มจึงวางแก้วน้ำชาลงบนจานรองแล้วเอ่ยขึ้น “มาเถอะ ฉันไม่สั่งให้เทียนทำอะไรหรอกแล้วฉันก็ไม่เก็บเงินเทียนด้วย” เอย์จินั่งมองตายิ้ม เพราะเท่าที่ให้ริวกะไปสืบมาจนรู้ว่า คนสวนผู้นี้มีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวพอตัว เพราะหวงแหนเงินทองคอยเก็บเล็กผสมน้อยไว้ส่งน้องชายเรียน เงินทุกบาททุกสตางค์จึงมีค่ามากแม้แต่จะเจียดไปซื้อสิ่งของมาปนเปรอตัวเองเขายังไม่ทำ หยดเทียนชั่งใจอยู่นานว่าจะปฏิเสธแล้วหาข้ออ้างปลีกตัวไปที่อื่น หรือทำตามคำสั่งของเจ้านายดี เขายืนคิดตัดสินใจอยู่สักพักก็เริ่มอดทนต่อสิ่งล่อตาล่อใจไม่ไหว เพราะลิ้นสากชักอยากลิ้มลองรสชาติของคนรวยดูสักครั้งแล้วสิ ซ้ำโอกาสเช่นนี้ก็ใช่จะมีมาง่ายๆ จะทำใจกล้าปล่อยมันผ่านหน้าไปโดยจะไม่ทำอะไรเลยหรือ.. ‘สักชิ้นคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง’ คิดไปคิดมาก็เริ่มเข้าข้างความอยากของตัวเอง ร่างเล็กเดินเยี่ยงคนใจเย็นมีชั้นเชิง ทำทีว่าตนไม่ได้เดินมาหาเจ้าคุกกี้เนื้อฟูแต่เดินมาเพราะคำสั่งของเจ้านายที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ร่างเล็กหยุดฝีเท้ายืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าของนายท่านด้วยท่าทีเกรงใจไม่กล้านั่งลงเทียบตนเสมอนาย แม้จะไม่ค่อยชอบหน้าเจ้านายเท่าไหร่ แต่เขาก็รู้ดีว่าชายผู้นี้คือใครส่วนตนคือใคร เอย์จิช้อนตามองมือเล็กที่ขยับขยุกขยิกอยู่ด้านหน้าไม่กล้าเอื้อมมือมาหยิบของที่ตัวเองอยาก จึงเป็นเขาที่ต้องผลักจานคุกกี้ออกไปให้ใกล้คนที่ยืนอยู่ ฝ่ายคนตัวเล็กกว่าเห็นดังนั้นก็ยกยิ้มให้เจ้านายอย่างดีใจ แล้วเอื้อมมือหยิบคุกกี้วานิลลาขึ้นสูดดมกลิ่นหอมละมุนก่อนจะเอาเข้าปาก แก้มตุ่ยนูนขยับไหวตามแรงเขี้ยวของริมฝีปากก่อนที่ดวงตากลมจะทอประกายระยิบระยับ เพราะรสชาติคุกกี้ช่างอร่อยเลิศรสถูกปากอย่างที่ไม่เคยลิ้มลอง “กะจะยืนค้ำหัวฉันหรือไง นั่งลงได้แล้ว” “เอ้า! ก็ไม่บอกตั้งแต่ตอนแรก” ริมฝีปากจิ้มลิ้มอมขนมจนเต็มกระพุ้งแก้มแล้วเอ่ยบ่นอุบอิบเสียงเบาไม่ให้อีกฝ่าย ได้ยินแล้วนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอย่างว่าง่าย แต่ทว่าเสียงแผ่วที่มั่นใจหนักหนาว่าเอ่ยออกมาเบาหวิวมากแล้วกลับลอยเข้าหูของชายผู้โดนนินทาเสียอย่างนั้น แต่แทนที่เขาจะโกรธที่โดนลูกน้องแอบต่อล้อคำกลับรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาในใจ เมื่อกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงท้องจนไม่เหลือแม้แต่เศษแล้ว หยดเทียนก็นั่งตาละห้อยกัดเล็บมือมองดูขนมในจานอย่างสนใจ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยขอทานชิ้นต่อไป เพราะคำสั่งที่ได้คือให้ชิมไม่ใช่ทาน แต่กระนั้นความอยากก็มีเกินไปมากในตอนนี้ จึงต้องรวบรวมความกล้าลองเอ่ยปากขอเจ้านายทานขนมดูบ้างสักครั้ง “คะ คือ..กินอีกได้ไหมครับ” หยดเทียนชี้นิ้วสั่นไปที่คุกกี้ในจานด้วยท่าทียึกยักกล้าๆ กลัวๆ “เอาสิ” “ขอบคุณครับ!” ทันทีที่คำขอได้รับการอนุมัติเสียงใสก็เอ่ยขอบคุณด้วยท่าทีกระดากเขิน ก่อนจะลงมือหยิบคุกกี้เข้าปากไม่หยุดแล้วนั่งพยักหน้ายิ้มด้วยความอร่อย ปล่อยให้อัลฟ่าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มไม่หุบจนต้องยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบปกปิดรอยยิ้มที่ประดับปาก บรรยากาศเย็นฉ่ำกายแต่เงียบงัน มีเพียงเสียงกรุบกรับของการบดเคี้ยวขนมดังคลอมาจากร่างเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ไร้การพูดคุยสนทนาใดๆ จนทำให้บางร่างรู้สึกอึดอัด จึงกวาดสายตามองไปรอบๆ ครุ่นคิดหาคำพูดชวนอีกฝ่ายคุย “เทียนแต่งสวนได้สวยเหมือนกันนะ” เอย์จิเกยคางไว้บนแขนที่ตั้งชันกับโต๊ะเอ่ยชมลูกน้องที่นั่งเขี้ยวขนมจนแก้มพอง หยดเทียนนั่งบดขนมอย่างใจจดใจจ่อก่อนจะช้อนตามองเจ้านายด้วยความสงสัย ว่าตอนนี้มาอารมณ์ไหนถึงชมตนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผิดกับนิสัยที่มักจะเป็นพวกกวนหน้านิ่ง “ก็แน่สิครับขนาดผมยังว่าสวยเลย” แต่ถึงกระนั้นก็ดีใจจนยิ้มออกมาที่มีคนมาชมผลงานที่ตนตั้งใจทำเป็นอย่างดี ร่างเล็กจึงเอ่ยตอบเจ้านายอย่างจริงใจและแฝงความหลงตัวเข้าไปเล็กน้อย ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมาให้เห็นความสาก หมายจะบอกคนตรงหน้าให้หยุดพูดก่อน แล้วจึงรีบกลืนขนมที่อยู่เต็มกระพุ้งแก้มลงกระเพาะ “ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ” แกรก.. แกรก.. ฝีเท้าหนักของขาหลายคู่ที่เสียดสีกับต้นหญ้า เดินดุ่มๆ มุ่งหน้าเข้ามาด้านหลังของคนสวนที่นั่งเสวนากับเจ้านายอยู่ หยดเทียนหูผึ่งได้ยินอย่างชัดเจน แต่เพราะคิดว่าสิ่งนั้นคือบอดี้การ์ดหรือไม่ก็คนงานคนอื่นจึงไม่ได้หันไปสนใจ กระทั่งลมหายใจร้อนเป่ารินรดแขนเบาๆ จึงเหลือบตามอง “มะ มีมี่!” เบต้าเอ่ยด้วยความตกใจจนทำคุกกี้ในมือร่วงหล่นลงพื้น เพราะลมเย็นที่รินรดแขนคือลมที่ออกมาจากจมูกของเจ้ามีมี่เสือตัวเมียที่เขากลัว “มูมู่มานี่เร็ว!” เอย์จิขานเรียกสัตว์เลี้ยงที่เดินตามหลังมีมี่ออกมาชมนกชมการาวกับว่าตัวเองเป็นแมว ทันทีที่มันได้ยินเสียงของเจ้านายก็รีบเดินเข้ามาคลอเคลียสายตาออดอ้อน ยอมให้จับยอมยอมให้ลูบได้เต็มที่โดยที่ไม่ส่งเสียงขู่ขามอย่างที่มันทำกับหยดเทียนที่เป็นผู้ให้อาหาร อุณหภูมิเย็นเฉียบแล่นเข้าร่างกายของคนสวนจนต้องนั่งเหยียดหลังตรงแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เพราะเจ้าเสือตัวอ้วนกำลังดมฟุดฟิดราวกับกำลังเช็กว่าอาหารตัวนี้กินได้หรือเปล่า “ยังไม่ชินอีกเหรอ เทียนมีหน้าที่ให้อาหารมันหนิ” ใบหน้าคมเงยขึ้นมองลูกน้องที่นั่งนิ่งเป็นตอก็พอเดาออกว่าคนตรงหน้ารู้สึกอย่างไร “จะชินได้ยังไงครับ มะ มันคือเสือนะครับ!” เขาตอบด้วยเสียงสั่นเครืออยู่ไม่หายยามได้มองสัตว์นักล่าที่เดี๋ยวเลียเดี๋ยวดมอยู่ข้างกาย ถึงแม้ว่าช่วงนี้มูมู่มีมี่จะเลิกขู่และดูเหมือนว่าจะเริ่มคุ้นเคยกลิ่นของเขาขึ้นมากกว่าเดิมบ้างแล้ว แต่กระนั้นหยดเทียนก็ยังคงหวาดระแวงอยู่ไม่หาย เขาทำใจให้ชินภาพที่มีเสือสองตัวเดินเพ่นพ่านไปมาทั่วทั้งสวนแบบนี้ไม่ได้ “ไม่ใช่เสือซะหน่อยเขาคือมูมู่กับมีมี่ต่างหาก เนอะ” เสียงเล็กเสียงน้อยดังขึ้นตอนท้ายพร้อมกับเกาคางมูมู่เบาๆ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับลูกน้องต่อ “เทียนลองลูบหัวมันดูสิ” “ห้ะ!? มะ ไม่เอาครับเดี๋ยวมันโมโห” หยดเทียนส่ายหน้าอย่างไวเมื่อได้ยินประโยคที่นายท่านพูด “มีมี่ไม่ทำอะไรเทียนหรอกน่า เขารู้ว่าเทียนเป็นคนให้อาหาร เร็วสิ!” "หื่อ ไม่เอาครับ.." ไม่ว่าเอย์จิจะเกลี้ยกล่อมร่างเล็กอย่างไร แต่อีกฝ่ายก็ตั้งการ์ดปฏิเสธทุกครั้งด้วยความหวั่นกลัว จึงเผลอสร้างกำแพงในใจเอาไว้หลายชั้น ทำให้ไม่กล้าลองสิ่งใหม่ๆ ที่อาจจะเป็นผลดีก็ได้ เอย์จิถอนหายใจก่อนจะยันกายลุกขึ้นยืน ร่างสูงสง่าเดินอ้อมเข้ามาซ้อนด้านหลังแคบโดยมีเจ้ามูมู่เดิมตามมาด้วย ฝ่ามืออุ่นเอื้อมสัมผัสหลังมือสีน้ำผึ้งที่แข็งทื่อแทบดึงไปไหนไม่ได้แล้วกอบกุมเอาไว้แน่น มือต่างขนาดประกบค้างอยู่เช่นนี้ไม่นานจึงค่อยๆ วางลงบนศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขนอันนุ่มนิ่มอย่างแผ่วเบา "!!!" เบต้ารีบชักมือกลับทันทีด้วยสัญชาตญาณของคนกลัว แต่ทว่ากลับขยับไปไหนไม่ได้เพราะโดนมือแกร่งกำกับไว้แน่น แววตาหม่นสีช้อนขึ้นมองเจ้านาย เว้าวอนให้รีบปล่อยมือพร้อมร่างอันสั่นไหว จนคนที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังยิ้มอ่อนพร้อมกระชับฝ่ามือกุมมือเย็นของอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น “ไม่เป็นไรไม่ต้องกลัว” สิ้นคำของผู้เป็นนาย มือของเอย์จิอีกข้างก็ทอดลงบนกลุ่มผมนิ่มพลางขยับฝ่ามือลูบปลอบขวัญอย่างอ่อนโยน พร้อมกับเจ้าเสือที่อยู่ใต้ฝ่ามือเล็กหลับตาพริ้มพลางขยับใบหน้าคลอเคลียฝ่ามือสากราวกับแมว นั้นยิ่งทำให้เขาเกร็งสั่นไปทั้งตัว ฝ่ายเอย์จิที่เห็นว่าคนใต้ร่างไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นก็มีสีหน้าอ่อนลงด้วยความสงสาร แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากกอบกุมมือเล็กไว้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไปราวสองนาทีร่างน้อยจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละข้างเพราะเพิ่งรับรู้ได้ว่าตนไม่ได้รับอันตราย และที่สำคัญเขาเริ่มชอบความนุ่มนิ่มที่สัมผัสเข้าให้แล้ว “เห็นไหมมีมี่ไม่กัดสักหน่อย” เสียงทุ้มว่าพลางค่อยๆ ปล่อยมือของตัวเองออกช้าๆ หลังจากที่อีกฝ่ายเริ่มคุ้นเคยและไม่กลัวเจ้ามีมี่แล้ว และจึงเดินกลับมานั่งที่ “..อย่ากัดกันนะ” ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาทีละน้อย จากมือขวาข้างเดียวที่ใช้สัมผัสศีรษะของมีมี่ก็เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งข้าง บัดนี้จึงเห็นว่าสองฝ่ามือหยาบทั้งสองข้างบรรจงลูบไล้ใบหน้าและแก้มที่เต็มไปด้วยขนนุ่มอย่างเพลินมือ “นุ่มจังเลยครับ” หยดเทียนยิ้มด้วยความตื่นตาพลางเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเจ้านายที่นั่งมองตนอยู่ก่อนแล้วทำให้ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจู่ๆ ร่างเล็กจะหันมาหาตนกะทันหันจนเอย์จิหันสายตาไปทางอื่นไม่ทัน นั้นจึงทำให้ร่างต่างขนาดสบตากันพอดี ดวงตากลมใสไม่มีท่าทีจะหลบหลีกหรือล่อกแล่กไปทางอื่น เขาเพียงนั่งนิ่งจ้องมองดวงตาอีกฝ่ายกลับด้วยความเคลือบแคลงใจว่าเหตุใดเจ้านายถึงมองตนเช่นนั้น ผิดกับอีกคนที่นัยน์ตาเริ่มเป็นประกายและหูเริ่มแดงขึ้นมา “มีอะไรหรือเปล่าครับ?” “ปะ เปล่าๆ” เสียงใสร้องทักขึ้นจนอัลฟ่าได้สติ เขาจึงรีบเอ่ยปฏิเสธอย่างเร็วจนเสียงติดๆ ขัดๆ แล้วยกน้ำชาที่เย็นชืดขึ้นจิบแก้สถานการณ์ “อ่อ...ครับ” หยดเทียนพยักหน้ารับรู้ด้วยความงุนงงไม่เข้าใจในท่าทีของเจ้านาย แต่ก็ไม่ได้สนใจนาน แล้วกลับไปเล่นกับมีมี่ต่อ ตะวันยามบ่ายเริ่มคล้อยลงลับขอบฟ้าเป็นสัญญาณบอกให้พนักงานกลับบ้านได้แล้ว หยดเทียนพร้อมทั้งพ่อบ้านจึงรีบต้อนเจ้าเสือทั้งสองตัวเข้าไปในบ้านของพวกมัน แล้วปิดประตูให้แน่นหนาแต่ก็ไม่ได้ล็อกกรเอาไว้ เมื่อเสร็จงานทุกอย่างร่างน้อยก็เดินเข้าไปร่ำลาและทำความเคารพเจ้านายทั้งสองคนแล้วโบกรถแท็กซี่กลับที่พัก ภาพวิวริมทางสะท้อนเข้าดวงตาคู่กลมที่หันมองนอกหน้าต่างกระจกรถแท็กซี่ ก่อนเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เพิ่งเกิดเมื่อตอนกลางวันจะผุดขึ้นมาในสมองให้ได้ทบทวน เริ่มแรกเขาเพิ่งมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสัตว์เลี้ยงของเจ้านายแบบเป็นจริงเป็นจังเสียทีหลังจากที่หวั่นกลัวมานาน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและมีมี่ดีขึ้นอยู่มาก และที่สำคัญหยดเทียนเพิ่งเคยเห็นอีกด้านหนึ่งของเจ้านายที่ไม่ชอบหน้า มองเห็นอีกมุมว่าจริงๆ แล้วนายท่านก็ไม่ได้มีดีแค่กวนฝ่าเท้าเขาไปวันๆ เพราะการกระทำของนายท่านในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยน เก่งเรื่องปลอบใจมากกว่าที่คิดไว้มากโข ทำให้หยดเทียนเริ่มเปลี่ยนความคิดและลดอคติลงค่อนข้างมาก แต่กระนั้นความกวนฝ่าเท้าของนายท่านก็ยังคงตราตรึงในดวงใจของหยดเทียนอยู่ไม่จางเช่นเดิม วันเวลาผ่านพ้นไปจนเงินเดือนก้อนแรกของการเป็นคนดูแลสวนออก ร่างเพรียวนั่งแกะซองสีขาวออกด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะตกตะลึงตาเบิกโพลง เมื่อเห็นจำนวนเงินที่อยู่ในซองนั้นมีมากเกินกว่าพนักงานใหม่อย่างเขาสมควรได้รับ หยดเทียนรีบกล่าวขอบคุณพ่อบ้านด้วยความดีใจจนน้ำตารื้น ในที่สุดเขาก็มีเงินย้ายที่อยู่แล้ว วันหยุดเสาร์อาทิตย์ หยดเทียนอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเสาะหาอพาร์ทเมนท์หรือห้องเช่า เบต้าเดินเข้าไปสอบถามอยู่หลายต่อหลายที่แต่ทุกที่ก็ล้วนตอบเหมือนว่าไม่ว่างเลยสักห้อง กระทั่งมาเจอห้องเช่าแห่งหนึ่งที่ได้รับคำแนะนำมาจากคุณลุงแท็กซี่ขาประจำ ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากที่อยู่เดิมของเขาอยู่มาก แต่ก็ถือว่าโชคดีมากเช่นกัน เพราะห้องเช่าแห่งนี้อยู่ไกลจากบ้านสกุลวัฒนาไปไม่กี่กิโล หยดเทียนสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินเข้าไปสอบถามกับเจ้าของห้องเช่าที่นั่งนับเงินอยู่หน้าเคาน์เตอร์ที่เขาเห็นผ่านกระจกใสด้วยความหวัง ก๊อก... ก๊อก... หยดเทียนเคาะหน้าต่างกระจกก่อนที่หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านในเลื่อนเปิดหน้าต่างออก “ขอโทษนะครับ พอดีที่นี่มีห้องว่างไหมครับ” “ตอนนี้ไม่ว่างหรอกจ้ะหนุ่ม แต่ถ้าเป็นสิ้นเดือนนี้จะว่างอยู่สองห้อง ถ้ารอได้จนถึงสิ้นเดือนก็ขนของเข้ามาอยู่ได้เลย” เบต้าหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ใจชื้นขึ้นมาแล้วรีบตอบกลับในทันที “พอดีผมอยากได้ห้องที่มีสองห้องนอนน่ะครับ พอจะหาให้ผมได้ไหมครับ” หญิงวัยกลางทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ไอ้มีมันก็มีอยู่หรอกแต่ราคามันก็แพงกว่า เอ็งรับได้ไหมล่ะ” “ผมรับได้ครับ งั้นผมจองห้องที่ว่างไว้นะครับป้า ต้องจ่ายค่ามัดจำด้วยไหมครับ” หยดเทียนเอ่ยปุบปับด้วยความรีบเพราะกลัวว่าป้าเจ้าของห้องเช่าจะเปลี่ยนใจก่อน “หกพันจ้ะหนุ่ม” “นี่ครับป้า” หยดเทียนยื่นเงินสดให้ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะรับไปและออกเอกสารหลักฐานการมัดจำห้องให้ด้วย หยดเทียนรับเอกสารดังกล่าวแล้วเอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจ แล้วรีบกดโทรศัพท์โทรหาน้องชายหวังจะบอกข่าวดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD