“เอางั้นเหรอ”
คล้ายเห็นการยกยิ้มจาง ๆ จากคนตรงหน้า รวมถึงแววตาลึกลับซับซ้อนที่ทำเอาช่องท้องฉันเกิดปั่นป่วนอย่างกะทันหัน
ไม่เพียงเท่านั้น ‘นายค่าตัวหนึ่งหมื่น’ ยังเอียงใบหน้าเล็กน้อย ปรับองศาให้สอดรับกับฝ่ามือด้านซ้ายของฉันแล้วใช้ปลายจมูกโด่ง ๆ คลอเคลียไปตามซอกนิ้วสลับกับสัมผัสเปียกชื้นจากปลายลิ้นที่ไล้เลีย...
ขนอ่อนทั้งร่างพลันลุกซู่ ก้อนเนื้อใต้ทรวงอกสั่นเทิ้มอย่างระริกระรี้ เป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติยามเจอของถูกใจ
แค่เลียนิ้วก็แซ่บแล้วอะ บ้าบอ
สัมผัสแปลกประหลาดดำเนินไปอย่างเนิบช้าอ้อยอิ่ง ทว่าทุกตารางนิ้วที่ปลายลิ้นเปียกลื่นลากผ่าน สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่ไม่มากนักพลันค่อย ๆ ถูกพรากไปทีละเล็กละน้อย
ในที่สุดเมื่อความต้องการที่มีต่อคนตรงหน้าอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เป็นตัวฉันเองที่ผลักเขานอนราบลงบนเตียง
ไม่รอแล้ว
ไม่อยากรอแล้ว
“แลกกับการได้อยู่กับนายทั้งคืน”
“...”
“ให้เราจ่ายเถอะ”
“...ได้” ตอบรับด้วยคำพูดแล้วจึงเลื่อนมือหนาขึ้นมาสัมผัสสายเดี่ยวบนชุดเดรสรัดรูป จัดการเกาะเกี่ยวด้วยปลายนิ้วเรียวยาวแล้วดึงรั้งให้มันร่นลงมากองบริเวณหัวไหล่ “จะ ‘เอา’ ให้คุ้มค่าตัวเลย”
เป็นประโยคที่ฟังแล้ว ‘รู้สึกมอดไหม้’ อย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ก็...ตามสบายเลย
ถ้ามันทำให้ฉันลืมความเจ็บปวดและเรื่องเฮงซวยทั้งหมดที่ผ่านมา ก็เอาสิ จะแผดเผาฉันด้วยไฟที่ร้อนและอันตรายแค่ไหนก็เอาเลย ฉันไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
Past Event (พาร์ตอดีตกาล)
Sie Describe.
‘สี่ สิรธีร์ ไพศาลธนาโชต’ คือชื่อเล่น ชื่อจริง และนามสกุลของผม
ผมเป็นพวกไม่เอาไหน วัน ๆ มีแต่เรื่องต่อยตี ขนาดจะจบมอ.ปลายอยู่แล้วยังโดดเรียนเป็นว่าเล่น ทั้งยังเข้าห้องปกครองบ่อยจนถูกแซวว่าเป็นบ้านหลังที่สอง มีประวัติด่างพร้อยเป็นปึกกระดาษชนิดว่านั่งอ่านสองวันยังไม่หมด
แม้ผลการเรียนจะอยู่ในระดับพอไปวัดไปวา แต่เพราะพฤติกรรมชวนปวดหัวนี่เอง...เลยทำให้อาจารย์ประจำชั้นซึ่งมีหน้าที่เซ็นประเมินต้องพิจารณาอย่างหนักหน่วงว่าควรให้ผมคนนี้เรียนจบดีหรือไม่
อาจเป็นโชคดีของผมนั่นแหละ เพราะหลังจากใช้เวลาพิจารณานานเป็นสัปดาห์ ผมซึ่งได้ฉายาว่าเป็น ‘ไอ้คนไม่เอาไหน’ ถึงได้รับการประเมินให้ผ่านด้านจิตพิสัยด้วยเหตุผลที่ว่าครอบครัวเป็นผู้สนับสนุนหลักแทบทุกกิจกรรมของโรงเรียน ได้เส้นสายจากพ่อและแม่ซึ่งเป็นใหญ่เป็นโตจนคนรอบข้างไม่พอใจ แต่ด้วยเป็นลูกคนรวย คนพวกนั้นจึงทำได้เพียงก่นด่าในเงามืด ไม่กล้ามีปากเสียงเพราะกลัวมีปัญหา
เอาจริง ๆ ตัวผมไม่ได้ภาคภูมิใจกับอภิสิทธิ์ที่ได้รับมาอย่างไม่เป็นธรรมนั่นหรอกนะ แต่อย่างที่บอกว่าพ่อกับแม่เป็นคนใหญ่คนโต เพื่อไม่ให้เป็นที่อับอายของคนในสังคมจึงต้องใช้อำนาจในมือกระชากผมออกจากหลุมดำเพียงหนึ่งเดียวนั่นอย่างไม่มีทางเลือก
หลังจากนั้นผมถูกพ่อฉะแหลก โดนทำโทษหนักกว่าพี่ชายอย่าง ‘ไอ้สิบ’ ที่แม้พฤติกรรมไม่ได้ต่างกันนักแต่ผลการเรียนกลับดีเลิศ ทั้งยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ตามที่ครอบครัวต้องการอีกต่างหาก
หากให้พูดตรง ๆ นอกจากหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน ผมไม่มีอะไรไปเทียบเคียงไอ้พี่ชายหน้าตายนั่นได้เลย
ไม่...แม้เพียงปลายก้อย
เมื่อฉุดผมขึ้นจากหลุมดำด้วยอำนาจอันไม่ชอบธรรมแล้ว ช่วงขึ้นมหาวิทยาลัย พ่อตัดสินใจดัดสันดานผมด้วยการหักค่าขนมออกครึ่งหนึ่ง ถีบตูดผมออกจากบ้านหลังโต ให้ลองใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยความสามารถอันต่ำต้อย ให้ผมตระหนักรู้ถึงชีวิตอันแสนธรรมดา ไม่มีใครคอยหนุนหลังหรือหยิบยื่นความช่วยเหลือเหมือนอย่างที่ผ่านมา
หนึ่งสัปดาห์หลังจากออกมาอยู่คนเดียว แม้ได้รับอิสรภาพในแง่ของการไม่ต้องเห็นหน้าพ่อกับแม่ที่ชอบบ่นปากยื่นปากยาว แต่ยอมรับว่าผมค่อนข้างเคว้งกับชีวิตใหม่ที่ได้รับมาพอสมควร
อย่างว่า ผมถูกตามอกตามใจมาตั้งแต่เด็ก มีเงินใช้เดือนเป็นล้าน แต่ตอนนี้กลับเหลือติดตัวเพียงไม่กี่แสน ล่าสุดไปมีเรื่องกับอริสมัยมอ.ปลายมา ทำฝ่ายนั้นฟันหักสองซี่ นอกจากค่าปรับตามกฎหมายแล้ว คู่กรณียังให้ผมจ่ายค่ารักษาอีกบานตะไท
ด้วยความเซ็งแบบสุดขีด ผมเลยขับรถมาจอดแถวสะพานแม่น้ำเจ้าพระยา ปีนขึ้นไปนั่งห้อยขา คาบบุหรี่และเหม่อมองผืนน้ำตอนกลางคืน...
แต่สารรูปผมคงเหมือนคนสิ้นหวังในชีวิตมากมั้ง อาจดูเหมือนคนที่พร้อมจะปลิดลมหายใจตัวเองด้วยการกระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยา...ถึงได้มีคนแปลกหน้าวิ่งมากอดจากด้านหลัง
ขณะอ้อมแขนเรียวเล็กกระชับรอบเอว เสียงที่เล็กไม่ต่างกันก็ดังขึ้นสำทับ “บ้าหรือเปล่าเนี่ย!”
ด้วยความฉงนสงสัย ผมซึ่งถูกรัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออกจึงเอี้ยวหน้ากลับไปหา พบว่าเป็นผู้หญิงในชุดนักศึกษาที่ติดเข็มกลัดของสถาบันเดียวกัน ผมที่รวบเป็นหางม้านั่นถูกย้อมเป็นสีเทาประกายบลอนด์ ใบหน้าค่อนข้างหวาน ทว่ากลับมีดวงตาคมเฉี่ยว
เพราะสับสนจนเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก สิ่งที่ผมกล่าวออกไปได้จึงมีแค่คำว่า “ฮะ? ยังไงนะ?”
“ก็นายจะฆ่าตัวตายไม่ใช่เหรอ!” อยู่ใกล้กันแค่นี้แท้ ๆ แต่จะแหกปากทำไมไม่รู้
“ไม่...” กำลังจะปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่าตัวตายแค่ขึ้นมานั่งตากลมเฉย ๆ ทว่าอีกฝ่ายเร็วกว่ามาก
“ไม่อะไรคะ เห็นเต็มตาว่านายอยากกระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยาอะ!”
“...”
นาทีนั้นผมอยากยกมือเกาหัวแกรก ๆ ในสาสมกับความงง
“ไม่เข้าใจหรอกว่านายกำลังเครียดเรื่องอะไร แต่การจบชีวิตตัวเองแบบนี้ไม่ทางออกที่ดีหรอกนะ” กำลังจะซึ้งแล้วเชียว กระทั่ง... “อีกอย่าง ถ้านายกระโดดลงไปข้างล่าง ก็เดือดร้อนเจ้าหน้าที่กู้ภัยอีก รู้ไหมว่าแม่น้ำนี่มันกว้างมาก จะตายทั้งทีอย่าทำตัวเป็นภาระให้เจ้าหน้าที่เขาเลย”
“...”
สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงการกะพริบตาปริบ ๆ พลางครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบในใจว่าคนแปลกหน้าหน้าตาสะสวยคนนี้...เป็นคนประเภทไหนกันวะ?
“มาเร็ว ลงมา อยากหาเพื่อนปรับทุกข์ก็มากับเราค่ะ ใกล้ ๆ นี่มีร้านเหล้า สนใจไปกินด้วยกันเปล่า เดี๋ยวเลี้ยงเลย”
เธอกระชากผมลงจากขอบสะพานได้สำเร็จ ก่อนจะเดินไปที่รถเก๋งคันหนึ่งซึ่งจอดเทียบอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตรงนี้ หญิงแปลกหน้าจึงหันกลับมา ตะโกนเสียงแหลมแสบหูว่า “นายคนตัวสูง ๆ คนนั้นน่ะ รีบตามมาสิ!”
สุดท้ายแล้วก็เป็นตัวเธอเองที่เดินกลับมา คว้ามือผมแล้วจับจูงให้ตามไปที่รถคันดังกล่าว
ผมใช้เวลานานหลายชั่วโมงกับคนแปลกหน้า แต่ส่วนใหญ่มักเป็นเธอเองเสียมากกว่าที่เปิดปากคุย
ตั้งแต่เรื่องปัญหาชีวิต เรื่องเรียน เรื่องราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เรื่องเครื่องประดับ เสื้อผ้า เล็บเจล และความสวยความงามที่ผมเข้าถึงบ้างเข้าไม่ถึงบ้าง
ทว่าแม้จะพูดไปเรื่อยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันน่าอึดอัด แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งสิ่งนั้นทำให้ผมผ่อนคลายจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปชั่วขณะ
รู้อีกที...สิ่งที่ผมโฟกัสก็มีเพียงใบหน้าสวย ๆ ของเธอ สีผมอันโดดเด่นของเธอ ดวงตาคมเฉี่ยวอันน่าดึงดูดของเธอ จมูกโด่งรั้นของเธอ ริมฝีปากจิ้มลิ้มของเธอ ผิวขาว ๆ ของเธอ เสียงหวาน ๆ ของเธอ
และเสน่ห์แบบแปลก ๆ ที่ยากจะต้านทานของเธอ
วินาทีนั้น....ผมบอกกับตัวเองว่า ‘ไอ้เหี้ย นี่แหละสเปกกูเลย’