“เข้าใจว่าเสียดายเวลา แต่มันเป็นคนทำเหี้ยกับแกอะ คนอย่างมันไม่มีค่าพอให้แกต้องมาเสียน้ำตาแบบนี้หรอก”
“...”
“ส้มเพื่อนอีมิ้นซะอย่าง เชื่อว่าแป๊บเดียวก็ลืมไอ้เวรตะไลนั่นแล้วหาผู้คนใหม่ที่หล่อและแซ่บกว่ามันได้”
“...”
“นี่ พอเห็นคนที่เคยสดใสสุด ๆ อย่างแกซึมลงแบบนี้ ใจเรามันก็เจ็บนะ”
“...”
“อย่าเศร้านานได้เปล่า”
“...”
“ลองออกไปเที่ยว ปล่อยใจ หาอะไรสนุก ๆ ทำดีไหม?”
คำพูดของ ‘มิ้น’ หนึ่งในเพื่อนสนิท จนถึงตอนนี้แล้วยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
จริงอย่างที่นางว่าแหละ ต่อให้เสียดายเวลาที่เคยใช้ร่วมกับอดีตแฟนสักแค่ไหน แต่คนเลว ๆ อย่างมันไม่มีค่าพอให้ต้องมานั่งร้องไห้ฟูมฟายแบบนี้
อีกอย่างนะ คนที่ทั้งสวย ทั้งแซ่บ และเซ็กซี่สุด ๆ อย่างฉัน หากจะหาให้ดีกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว คนที่ควรเสียน้ำตาต้องเป็นไอ้ชั่วนั่นมากกว่า!
ดังนั้นหนึ่งวันหลังได้รับการปลอบประโลมจากเพื่อนสนิท ฉันจึงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้ากระจก ตั้งใจจะร้องไห้ให้สาแก่ใจอีกสักครั้งแล้วมูฟออน...
แต่ด้วยใช้เวลาไปกับการฟูมฟายไม่เป็นอันทำอะไรนานหลายชั่วโมง พอมีโอกาสได้เห็นสารรูปของตัวเองเต็มสองตา แทนที่จะรับบทดรามาก็เปลี่ยนเป็นกรี๊ดแตกลั่นคอนโดฯ
คนที่รักสวยรักงามอย่างฉัน ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองมีสภาพอิดโรย ขนาดตอนป่วยเข้าโรงพยาบาล ก่อนถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดยังต้องขอหมอหยิบลิปสติกขึ้นมาเติม ไม่คิดเลยว่าแค่ไอ้ผู้ชายบัดซบเพียงคนเดียวจะทำให้ฉันกลายสภาพเป็นผีตายซากได้!
เพราะรับไม่ได้อย่างแรง ฉันจึงอาบน้ำอาบท่า หยิบเดรสสั้นแบบผ่าหลังขึ้นมาสวม แต่งหน้าแต่งตา จัดการกับผมเผ้าให้กลับมาสวยปังดังเดิม จากนั้นก็ขุดเอเนอร์จี้ที่มีเหลืออยู่ไม่มากนักพาตัวเองมานั่งดื่มที่ผับแห่งหนึ่งไม่ไกลจากคอนโดฯ
ตอนแรกกะตั้งใจดื่ม ๆ ไป หวังใช้น้ำเมาชะล้างเรื่องเฮงซวยทั้งหมดออกจากหัว แต่อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ พอทำปฏิกิริยากับบาดแผลทางใจ น้ำตาที่หยุดไหลไปได้ไม่นานจึงกลับมาเอ่อล้น
ฉันใช้เวลากับตัวเองนานหลายนาที กระทั่งมีชายแปลกหน้าคนหนึ่งมานั่งข้าง ๆ
แบบว่า...มาได้ถูกจังหวะจนน่าตกใจเลย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาคนนั้นหล่อมาก หรือเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ อันน่าหลงใหลที่ทำให้รู้สึกมึนเมาไปชั่วขณะ ฉันจึงกลายเป็นคนใจกล้า ถึงขั้นปริปากชวนเขาเข้าโรงแรม เจตนาพาขึ้นเตียงแล้วสนุกสุดเหวี่ยงกันอย่างเต็มที่ไปตลอดทั้งคืน
ผู้ชายยังขอมีวันไนต์สแตนด์กับผู้หญิงได้ แล้วทำไม ‘สาวโสด’ อย่างฉันจะเป็นฝ่ายขอเองบ้างไม่ได้ล่ะ จริงไหม?
อันที่จริง ฉันจำไม่ค่อยได้ว่าผู้ชายคนนั้นมีปฏิกิริยายังไงหลังถูกชวน
กระทั่งสองนาทีให้หลัง...เสียงทุ้มต่ำถึงดังขึ้นข้าง ๆ หูว่า “ไปห้องฉันดีกว่า มันเก็บเสียง” ก่อนที่ตัวฉันจะลอยหวือเพราะถูกอุ้ม
รู้อีกทีตอนแผ่นหลังสัมผัสกับความนุ่มหยุ่นของฟูก ตามด้วยแรงยุบตัวของเตียงนอนซึ่งตามกันมาติด ๆ
ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์มันรุนแรงเกินไป หรือเป็นเพราะตัวฉันที่ไม่สนใจอะไรตั้งแต่แรก เรียวแขนทั้งสองข้างจึงยังโอบรอบคอหนาอยู่แบบนั้น ทั้งยังเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ส่งผลให้ปลายจมูกเราสัมผัสกัน ไม่เหลือช่องว่างให้สิ่งใดลอดผ่าน แม้แต่ฝุ่นละอองเองก็ตาม
“รออะไร เริ่มเลยสิ” ด้วยรู้สึกได้ว่าเขาลังเล ตัวฉันที่เป็นฝ่ายเชื้อเชิญจึงกระชับรอบคอ ออกแรงให้อีกฝ่ายโน้มหน้าเข้ามา
ทว่าก่อนริมฝีปากเราสองคนจะแนบชิดสนิทกันอย่างที่ควรเป็น เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้น “ส้ม ตอนนี้เธอเมามาก ตื่นมาอาจจะจำอะไรไม่ได้นะ แน่ใจแล้ว?”
หืม?...รู้ชื่อฉันด้วยแฮะ
คงเผลอแนะนำตัวไปมั้ง
เพราะลีลาไม่ทันใจ ฉันจึงเปลี่ยนมาคว้าคอเสื้อเจ้าของเสียงน่าฟัง ออกแรงกระชากจนกระดุมขาดคามือ แน่นอนว่าจากการกระทำเหล่านั้นส่งผลให้ริมฝีปากร้อนผะผ่าวขยับมาประกบทับกลีบปากที่เปิดเผยอขึ้นอย่างจงใจของฉันทันที
เขาส่งเสียง “อื้อ” ออกมา
ส่วนฉัน...อยู่ดี ๆ พลันเกิดความคิดว่าคนตรงหน้าอาจมีเหตุผลให้ลังเล จึงค่อย ๆ ผละออก ก่อนจะกระซิบชิดริมฝีปากเปียกชื้น “จะเป็นไรไหมถ้าเราอยากซื้อนายในคืนนี้”
“...?”
คล้ายเห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นจาง ๆ
“หนึ่งหมื่นพอไหวหรือเปล่า?”
จริง ๆ แล้วฉันไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องการซื้อขายกับเขาด้วยซ้ำ ในเมื่อจุดเริ่มต้นมันมาจากการชักชวนเพียงครั้งเดียว ซ้ำยังเป็นตัวเขาเองที่ตอบรับคำขอด้วยการอุ้มฉันขึ้นเตียง ซึ่งนั่นก็ชัดเจนพอแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราทั้งคู่ยินยอมกับความสัมพันธ์ฉาบฉวยในครั้งนี้
แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องลังเลอีก ยั่วยวนให้ท่าขนาดนี้แล้วไอ้หน้าหล่อคนนั้นก็ยังชักช้าไม่ทันใจ
บางทีเขาอาจมองว่ายัยผู้หญิงท่าทางกร้านโลกคนนี้กะมาตักตวงความสุขอยู่ฝ่ายเดียวละมั้ง ดีไม่ดีอาจเกิดเหนียมอายขึ้นมากะทันหัน ตัวฉันที่ ‘เตรียมใจมาแก้ผ้า’ มีเหรอจะยอม ถึงได้เอาเรื่องเงินขึ้นมาพูดยังไงล่ะ
ถึงขนาดนี้แล้ว จะให้นอนจ้องตากันอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะคะ!
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้” ทำเสียงหล่นหายไปนานหลายนาที ในที่สุด ‘ชายผู้ถูกเลือก’ ก็ยอมปริปาก คล้ายได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาเจือในประโยคนั้นด้วย แต่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเขาขบขันในตัวฉันจริง ๆ หรือเป็นฉันเองที่เมาแล้วเกิดหูฝาดขึ้นมา
ยังไงก็เถอะ...
“พูดเหมือนจะให้ฟรี” ฉันตีความประโยคล่าสุดไปในทิศทางนั้น “หล่อ ๆ อย่างนายน่ะ...”
จงใจเว้นช่วงสักเล็กน้อย พลางเคลื่อนสองมือขึ้นกุมใบหน้าหล่อเหลาที่ร้อนราวผ่าวพอ ๆ กับเปลวไฟ ครั้นสังเกตเห็นอีกฝ่ายกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบเชียบ ความพึงพอใจเล็ก ๆ จึงทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมา “...เราคงไม่กล้ากินฟรีหรอก”