บทที่1.1

1158 Words
“เข้าใจว่าเสียดายเวลา แต่มันเป็นคนทำเหี้ยกับแกอะ คนอย่างมันไม่มีค่าพอให้แกต้องมาเสียน้ำตาแบบนี้หรอก” “...” “ส้มเพื่อนอีมิ้นซะอย่าง เชื่อว่าแป๊บเดียวก็ลืมไอ้เวรตะไลนั่นแล้วหาผู้คนใหม่ที่หล่อและแซ่บกว่ามันได้” “...” “นี่ พอเห็นคนที่เคยสดใสสุด ๆ อย่างแกซึมลงแบบนี้ ใจเรามันก็เจ็บนะ” “...” “อย่าเศร้านานได้เปล่า” “...” “ลองออกไปเที่ยว ปล่อยใจ หาอะไรสนุก ๆ ทำดีไหม?” คำพูดของ ‘มิ้น’ หนึ่งในเพื่อนสนิท จนถึงตอนนี้แล้วยังคงวนเวียนอยู่ในหัว จริงอย่างที่นางว่าแหละ ต่อให้เสียดายเวลาที่เคยใช้ร่วมกับอดีตแฟนสักแค่ไหน แต่คนเลว ๆ อย่างมันไม่มีค่าพอให้ต้องมานั่งร้องไห้ฟูมฟายแบบนี้ อีกอย่างนะ คนที่ทั้งสวย ทั้งแซ่บ และเซ็กซี่สุด ๆ อย่างฉัน หากจะหาให้ดีกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว คนที่ควรเสียน้ำตาต้องเป็นไอ้ชั่วนั่นมากกว่า! ดังนั้นหนึ่งวันหลังได้รับการปลอบประโลมจากเพื่อนสนิท ฉันจึงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้ากระจก ตั้งใจจะร้องไห้ให้สาแก่ใจอีกสักครั้งแล้วมูฟออน... แต่ด้วยใช้เวลาไปกับการฟูมฟายไม่เป็นอันทำอะไรนานหลายชั่วโมง พอมีโอกาสได้เห็นสารรูปของตัวเองเต็มสองตา แทนที่จะรับบทดรามาก็เปลี่ยนเป็นกรี๊ดแตกลั่นคอนโดฯ คนที่รักสวยรักงามอย่างฉัน ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองมีสภาพอิดโรย ขนาดตอนป่วยเข้าโรงพยาบาล ก่อนถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดยังต้องขอหมอหยิบลิปสติกขึ้นมาเติม ไม่คิดเลยว่าแค่ไอ้ผู้ชายบัดซบเพียงคนเดียวจะทำให้ฉันกลายสภาพเป็นผีตายซากได้! เพราะรับไม่ได้อย่างแรง ฉันจึงอาบน้ำอาบท่า หยิบเดรสสั้นแบบผ่าหลังขึ้นมาสวม แต่งหน้าแต่งตา จัดการกับผมเผ้าให้กลับมาสวยปังดังเดิม จากนั้นก็ขุดเอเนอร์จี้ที่มีเหลืออยู่ไม่มากนักพาตัวเองมานั่งดื่มที่ผับแห่งหนึ่งไม่ไกลจากคอนโดฯ ตอนแรกกะตั้งใจดื่ม ๆ ไป หวังใช้น้ำเมาชะล้างเรื่องเฮงซวยทั้งหมดออกจากหัว แต่อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ พอทำปฏิกิริยากับบาดแผลทางใจ น้ำตาที่หยุดไหลไปได้ไม่นานจึงกลับมาเอ่อล้น ฉันใช้เวลากับตัวเองนานหลายนาที กระทั่งมีชายแปลกหน้าคนหนึ่งมานั่งข้าง ๆ แบบว่า...มาได้ถูกจังหวะจนน่าตกใจเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาคนนั้นหล่อมาก หรือเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ อันน่าหลงใหลที่ทำให้รู้สึกมึนเมาไปชั่วขณะ ฉันจึงกลายเป็นคนใจกล้า ถึงขั้นปริปากชวนเขาเข้าโรงแรม เจตนาพาขึ้นเตียงแล้วสนุกสุดเหวี่ยงกันอย่างเต็มที่ไปตลอดทั้งคืน ผู้ชายยังขอมีวันไนต์สแตนด์กับผู้หญิงได้ แล้วทำไม ‘สาวโสด’ อย่างฉันจะเป็นฝ่ายขอเองบ้างไม่ได้ล่ะ จริงไหม? อันที่จริง ฉันจำไม่ค่อยได้ว่าผู้ชายคนนั้นมีปฏิกิริยายังไงหลังถูกชวน กระทั่งสองนาทีให้หลัง...เสียงทุ้มต่ำถึงดังขึ้นข้าง ๆ หูว่า “ไปห้องฉันดีกว่า มันเก็บเสียง” ก่อนที่ตัวฉันจะลอยหวือเพราะถูกอุ้ม รู้อีกทีตอนแผ่นหลังสัมผัสกับความนุ่มหยุ่นของฟูก ตามด้วยแรงยุบตัวของเตียงนอนซึ่งตามกันมาติด ๆ ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์มันรุนแรงเกินไป หรือเป็นเพราะตัวฉันที่ไม่สนใจอะไรตั้งแต่แรก เรียวแขนทั้งสองข้างจึงยังโอบรอบคอหนาอยู่แบบนั้น ทั้งยังเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ส่งผลให้ปลายจมูกเราสัมผัสกัน ไม่เหลือช่องว่างให้สิ่งใดลอดผ่าน แม้แต่ฝุ่นละอองเองก็ตาม “รออะไร เริ่มเลยสิ” ด้วยรู้สึกได้ว่าเขาลังเล ตัวฉันที่เป็นฝ่ายเชื้อเชิญจึงกระชับรอบคอ ออกแรงให้อีกฝ่ายโน้มหน้าเข้ามา ทว่าก่อนริมฝีปากเราสองคนจะแนบชิดสนิทกันอย่างที่ควรเป็น เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้น “ส้ม ตอนนี้เธอเมามาก ตื่นมาอาจจะจำอะไรไม่ได้นะ แน่ใจแล้ว?” หืม?...รู้ชื่อฉันด้วยแฮะ คงเผลอแนะนำตัวไปมั้ง เพราะลีลาไม่ทันใจ ฉันจึงเปลี่ยนมาคว้าคอเสื้อเจ้าของเสียงน่าฟัง ออกแรงกระชากจนกระดุมขาดคามือ แน่นอนว่าจากการกระทำเหล่านั้นส่งผลให้ริมฝีปากร้อนผะผ่าวขยับมาประกบทับกลีบปากที่เปิดเผยอขึ้นอย่างจงใจของฉันทันที เขาส่งเสียง “อื้อ” ออกมา ส่วนฉัน...อยู่ดี ๆ พลันเกิดความคิดว่าคนตรงหน้าอาจมีเหตุผลให้ลังเล จึงค่อย ๆ ผละออก ก่อนจะกระซิบชิดริมฝีปากเปียกชื้น “จะเป็นไรไหมถ้าเราอยากซื้อนายในคืนนี้” “...?” คล้ายเห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นจาง ๆ “หนึ่งหมื่นพอไหวหรือเปล่า?” จริง ๆ แล้วฉันไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องการซื้อขายกับเขาด้วยซ้ำ ในเมื่อจุดเริ่มต้นมันมาจากการชักชวนเพียงครั้งเดียว ซ้ำยังเป็นตัวเขาเองที่ตอบรับคำขอด้วยการอุ้มฉันขึ้นเตียง ซึ่งนั่นก็ชัดเจนพอแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราทั้งคู่ยินยอมกับความสัมพันธ์ฉาบฉวยในครั้งนี้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องลังเลอีก ยั่วยวนให้ท่าขนาดนี้แล้วไอ้หน้าหล่อคนนั้นก็ยังชักช้าไม่ทันใจ บางทีเขาอาจมองว่ายัยผู้หญิงท่าทางกร้านโลกคนนี้กะมาตักตวงความสุขอยู่ฝ่ายเดียวละมั้ง ดีไม่ดีอาจเกิดเหนียมอายขึ้นมากะทันหัน ตัวฉันที่ ‘เตรียมใจมาแก้ผ้า’ มีเหรอจะยอม ถึงได้เอาเรื่องเงินขึ้นมาพูดยังไงล่ะ ถึงขนาดนี้แล้ว จะให้นอนจ้องตากันอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะคะ! “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้” ทำเสียงหล่นหายไปนานหลายนาที ในที่สุด ‘ชายผู้ถูกเลือก’ ก็ยอมปริปาก คล้ายได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาเจือในประโยคนั้นด้วย แต่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเขาขบขันในตัวฉันจริง ๆ หรือเป็นฉันเองที่เมาแล้วเกิดหูฝาดขึ้นมา ยังไงก็เถอะ... “พูดเหมือนจะให้ฟรี” ฉันตีความประโยคล่าสุดไปในทิศทางนั้น “หล่อ ๆ อย่างนายน่ะ...” จงใจเว้นช่วงสักเล็กน้อย พลางเคลื่อนสองมือขึ้นกุมใบหน้าหล่อเหลาที่ร้อนราวผ่าวพอ ๆ กับเปลวไฟ ครั้นสังเกตเห็นอีกฝ่ายกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบเชียบ ความพึงพอใจเล็ก ๆ จึงทำให้ฉันหลุดยิ้มออกมา “...เราคงไม่กล้ากินฟรีหรอก”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD