บทที่2.3

1245 Words
“ปล่อยกู โอ๊ย!!” ไม่รอให้ไอ้โรคจิตปริปากจนจบประโยค ชายคนนั้นก็ทวีแรงบีบจนหลังมือของเขาปรากฏเส้นเลือดปูดโปน “ปล่อยเหี้ยไร” ริมฝีปากสีแดงสด ทว่าติดคล้ำตามประสาคนสูบบุหรี่เคลื่อนไหวเป็นเส้นเสียงเย็นเฉียบ “มึงลวนลามเธอ” “กูเปล่า...อั่ก” เป็นอีกครั้งที่เจ้าของภาพลักษณ์แบดบอยไม่รอให้ผู้เสียเปรียบได้เค้นคำตอบโต้ เพียงแต่คราวนี้วิธีการสั่งสอนที่เขาเลือกใช้ไม่ใช่การบีบข้อมือ แต่เปลี่ยนมากระชากให้ไอ้โรคจิตนั่งคุกเข่า ก่อนยกเท้าที่สวมด้วยคอนเวิร์สหุ้มข้อสีดำยันผิวแก้มสาก ดุนดันให้เจ้าของการกระทำหยาบโลนเมื่อครู่หันมาทางฉัน... ...ฉันที่ยังยืนงงเป็นไก่ตาแตก “กราบขอโทษเธอซะ” เดี๋ยวสินาย... จากที่ดู พอเดาได้อยู่หรอกว่าอยากช่วย แต่มาปรากฏตัวด้วยมาดพระเอกนิยาย ทั้งยังมาได้ทันท่วงทีจนน่าสงสัย คนที่มีชนักติดหลังอย่างเราจะซาบซึ้งใจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ยังไงกัน คงไม่ได้มาทวงค่าตัวหรอกใช่ไหม เหลืออีกตั้งเก้าพัน...ตอนนี้ไม่มีจ่ายหรอกนะ “เฮ้ย ทำอะไรกันน่ะ!” สามวินาทีให้หลัง ป้ากระเป๋ารถเมล์เดินแหวกฝูงชนมายังจุดเกิดเหตุพร้อมกับเสียงถามอันดังกึกก้อง “ไอ้นั่นมันลวนลามแม่หนูคนนั้นอะดิป้า” มีใครคนหนึ่งอธิบาย น้ำเสียงบ่งบอกว่าเห็นด้วยกับวิธีลงทัณฑ์ที่ผู้ชายคนนั้นเลือกใช้ “ก็ลากมันไปที่สถานีตำรวจสิ ทำไมต้องมาตีกันบนรถ! โน่น! อีกสองป้ายก็ถึงแล้ว” ป้าผู้ไม่สนต้นสายปลายเหตุตะเบ็งเสียงแสบหู พร้อมชี้นิ้วไปยังทิศทางที่รถคันนี้กำลังมุ่งหน้า “...” ได้ยินดังนั้น พ่อหนุ่มกล้ามแน่นจึงกระชากหลังคอไอ้โรคจิตให้ลุกขึ้นยืน ออกแรงเพียงนิดเดียวฝ่ายเสียเปรียบก็แทบลอยลิ่วไปตามการนำพา ต่อให้เขามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นประหนึ่งดารา ผมดำขลับเป็นธรรมชาติ ผิวพรรณขาวผ่อง แต่รังสีอันตรายจากทุกอิริยาบถ สไตล์การแต่งตัวซึ่งมีเพียงเฉดสีเดียว รอยสักกราฟิกมากมายบนท่อนแขน ทำให้ตัวเขาแทบไม่ต้องปริปากขอทางจากใครแม้แต่คำเดียว ทุกคนในที่นี้ยอมหลบหลีกให้โดยง่ายแม้จะต้องเบียดเสียดกันมากกว่าเดิมก็ตาม ส่วนฉันตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วเช่นกันว่าจะลงไปพร้อมเขา เจตนาเดียวกับที่ป้ากระเป๋ารถเมล์บอกนั่นแหละ คงต้องลากไอ้โรคจิตเข้าคุกสถานเดียว “เนี่ย ก็เพราะแต่งตัวแบบนี้ไงถึงได้โดนลวนลาม” ทว่าเคลื่อนไหวได้เพียงนิดเดียวเท่านั้นสองเท้าจำต้องชะงัก ฉันหันกลับไปมองป้าซึ่งกำลังยืนกอดอกพลางใช้สายตาพิจารณาการแต่งกายของฉัน...ประหนึ่งว่าต้นตอของปัญหามาจากเสื้อผ้าที่ฉันใส่ ไม่ใช่ไอ้เวรนั่นที่ไม่รู้จักระงับตัวเอง “ทำไมคะ การแต่งตัวของหนูมันมีปัญหายังไง?” เพราะไม่อาจปิดซ่อนความคาใจ รู้อีกทีปากเจ้ากรรมก็ขยับเป็นประโยคคำถาม น้ำเสียงที่ใช้ห่างไกลจากความถือดี ทว่าก็หาความนอบน้อมอ่อนหวานไม่เจอเช่นกัน “ก็ไม่ยังไงหรอกหนู แต่จากที่ป้าเห็น ๆ มานะ ที่โดนลวนลามก็เพราะแต่งตัวไม่เรียบร้อยทั้งนั้น หนูก็รู้ว่าทุกวันนี้สังคมบ้านเราเป็นยังไง แล้วทำไมยัง...” “ตรงไหนที่ไม่เรียบร้อยเหรอคะ?” “...” เจอคำถามนี้เข้าไปถึงกับอ้ำอึ้งตอบไม่ได้ ชุดที่ฉันใส่อยู่ค่อนข้างธรรมดา กระโปรงทรงเอสูงเหนือเข่าเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งเดิมทีเป็นแขนยาวถูกพับขึ้นระดับข้อศอก มีเพียงกระดุมเสื้อเม็ดบนสุดเท่านั้นที่ถูกปลดคลายความร้อน ครั้นลองพิจารณาส่วนอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นตำหนิจากเหตุแอ็กซิเดนต์ เช่น พวกรอยขาด รอยปริของตะเข็บ ก็ไม่พบเลยแม้แต่จุดเดียว ภาพรวมจัดว่ามิดชิดเลยนะ เอ๊ะ...ลองสังเกตวิถีการมองของป้าอีกครั้ง หรือปัญหาที่แท้จริงมันคือหน้าอกกับสะโพกของฉันกันนะ? มันคงจะดุนดันเนื้อผ้าจนเห็นทรวดทรงชัดเจนนั่นแหละ ถ้าหากใช่แล้วจะให้ทำยังไง เกิดมามีนมมีตูด จะขมิบให้ฟีบแบนเพื่ออำพรางสายตาคนอื่น ๆ ก็เห็นจะยากเกินความสามารถ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะ ใครมีปัญหากับรูปร่างของฉันก็หัดจัดการตัวเองบ้าง ไม่ต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนั้นก็ได้ ไม่ได้ร้องขอสักนิด แต่ถ้าใครคนไหนมันเห็นผู้หญิงแล้วเกิดไข่สั่นระริกระรี้ ก็มา ทั้งมีด กรรไกร สเปรย์พริกไทย และอื่น ๆ อีกมากมายพร้อมต้อนรับเสมอ ฉันไม่กลัวอยู่แล้วหากต้องมือเปื้อนเลือด ในเมื่อสิ่งที่ฉันทำมันคือการป้องกันตัวเอง “เอาเถอะ” เพราะไม่อยากเอดูเขตป้าที่เกิดกันคนละยุคและคงมีชุดความคิดที่ยังล้าหลัง ฉันจึงพรูลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “ไม่รู้ว่าป้าพูดเพราะเป็นห่วงหรืออะไร แต่ก็ขอบคุณนะคะ” ตัดบทเพียงเท่านั้นก็เดินแหวกฝูงชนไปยังประตูทางออกแรก เป็นเวลาเดียวกันที่รถเมล์จอดเทียบป้าย ‘สุดหล่อ’ กระชากไอ้โรคจิตลงจากรถ ส่วนฉันที่ลงเป็นคนสุดท้ายก็เดินตามสองคนนั้นไป จุดมุ่งหมายคือสถานีตำรวจซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้ไม่กี่สิบเมตร ต่อมา “ขอบคุณนะ” ...เป็นประโยคแรกที่ฉันกล่าว หลังจากลากไอ้โรคจิตซึ่งในภายหลังได้รู้ว่ามีประวัติอาชญากรรมยาวเป็นหางว่าวส่งถึงมือตำรวจ แม้โทษที่ได้รับจะน้อยนิดจนน่าโมโหไปบ้าง แต่เพราะอย่างน้อย...มีเขาคนนี้คอยช่วยอีกแรง ไอ้เวรตะไลนั่นจึงถูกลากกลับมาเพื่อรับโทษอย่างที่ควรเป็น ถ้าสงสัยว่าทำไม คือก่อนหน้านี้น่ะ ไอ้โรคจิตเกิดดิ้นหลุดแล้วพยายามหนี โชคดีที่สุดหล่อคนนี้เป็นต่อทางสรีระ เขาใช้ขายาว ๆ นั่นวิ่งตามแป๊บเดียวก็ลากคอมันกลับมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น... “สักหน่อยไหม?” “คะ? อะไรเหรอ?” “ก่อนส่งตำรวจ เธอลองตบมันสักทีดิ” “...” “อย่ายอมให้มันทำเธออยู่ฝ่ายเดียว” แน่นอน ฉันทำ... ทำเพราะความต้องการลึก ๆ ด้วยส่วนหนึ่ง พอถูกเขาบิลด์ก็ยิ่งฮึกเหิม ตบไอ้โรคจิตไปสามรอบถ้วน โดยไม่ลืมฝากรอยเล็บไว้บนหน้ามันเพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงผลของการกระทำต่ำ ๆ นี่ ถ้าหากเขาไม่ตามไปลากคอมันกลับมา ดีไม่ดีไอ้เลวนั่นคงลอยนวลถึงไหนต่อไหน ไม่ได้รับทั้งโทษทางกฎหมาย และฉันคงพลาดที่จะได้สั่งสอนมันด้วยเช่นกัน อ้อ ขออธิบายสักหน่อยก็แล้วกัน เห็นแบบนี้ แต่ฉันไม่ได้คลั่งไคล้ความรุนแรงหรอกนะคะ ทั้งหมดนี้ก็แค่ตอบโต้ ทำในสิ่งที่ควรทำ เพราะบางครั้งและกับคนบางประเภท การเจรจาด้วยคำพูดอันสวยหรูมันไม่เพียงพอยังไงล่ะ “ไม่เป็นไร เต็มใจอยู่แล้ว” เสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วสัมผัสได้ถึงเสน่ห์แปลกประหลาดดังขึ้น เรียกให้ฉันหันกลับไปมองเขาซึ่งยืนอยู่เคียงข้างกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD