ตอนนี้เราสองคนยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรีซึ่งตั้งติดกับสถานีตำรวจ ด้านหน้ามีป้ายหยุดทำการสามวัน ดังนั้นการยืนหลบฝนตรงนี้จึงไม่ได้บดบังหรือรบกวนการค้าขายของใคร
“...”
ปกติฉันเป็นคนพูดเก่งและเฟรนด์ลีมาก ไม่มีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมเลย แต่พอมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้กลับนึกไม่ออกซะงั้นว่าจะสานต่อบทสนทนายังไง
เดาว่าส่วนหนึ่งคงมาจากเรื่องในคืนนั้น...ที่ยังทำให้รู้สึกหวั่น ๆ อยู่ในอกว่าการปรากฏตัวของเขาอาจแอบแฝงจุดประสงค์บางอย่าง
ซึ่งถ้าเป็นเรื่องเงินจริง ๆ ละก็...ตายอย่างเขียดแน่อีส้มเอ๊ย
“สี่” ไม่ปล่อยให้เกิดความเงียบนาน คนข้าง ๆ ที่เพิ่งล้วงเอาบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเองก็ปริปาก “ชื่อของฉันน่ะ”
กล่าวสำทับพร้อมทั้งคาบมวนบุหรี่ด้วยริมฝีปากหยักลึก ตามด้วยจุดไฟแช็กตรงส่วนปลาย เมื่อมวนกระดาษถูกเผาไหม้ด้วยความร้อน เขาก็ดูดสารอันตรายนั้นเข้าปอดเฮือกใหญ่...จนเห็นกล้ามเนื้อบริเวณสันกรามและลำคอชัดเจน แม้แต่ลูกกระเดือกที่เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาตินั่นก็ด้วย
ฮอตจัง...
“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ส่วนเราชื่อน้ำส้ม เรียกสั้น ๆ ว่าส้มก็ได้” ฉันแนะนำตัวกลับอย่างงง ๆ
“เรื่องนั้นรู้แล้ว” สี่ใช้นิ้วเรียวยาวซึ่งปรากฏรอยถลอกจาง ๆ คีบบุหรี่มวนออกจากปาก ค่อย ๆ พรูควันสีอ่อนอย่างผ่อนคลาย เพียงสองวินาทีให้หลังถึงเปลี่ยนจุดโฟกัสจากสายฝนเป็นฉัน...จับจ้องกันด้วยสายตาที่แสนธรรมดา ทว่าทำเอาร้อน ๆ หนาว ๆ อย่างบอกไม่ถูก “ฉันรู้จักเธอ...เป็นอย่างดีเลย”
เดี๋ยว...รู้จักเป็นอย่างดีเหรอ?
อย่าบอกนะว่าสี่เป็นมาเฟีย? เขาอาจจะให้ลูกน้องตามสืบประวัติของฉันที่บังอาจไปดูถูกเหยียดหยามด้วยเงินเพียงพันเดียว และที่มาปรากฏตัวให้เห็นแบบนี้...ก็เพราะอยากมาทวงค่าตัวอีกเก้าพันที่ฉันติดค้างไว้
กรี๊ด...ตายแน่อีส้มเน่า!
“รู้จัก...จากคืนนั้นหรือเปล่า” ฉันอาจเมาจนเผลอแนะนำตัวกับเขาไปแล้วครั้งหนึ่งก็ได้ “พอดีคืนนั้นเราเมามากอะ”
“ใช่ เมามาก”
สี่ยกมุมปากเล็กน้อย ดูไม่ออกเลยว่ากำลังซุกซ่อนความรู้สึกแบบไหนไว้ภายใต้การแสดงออกอันน่าหวาดหวั่นนั่น
จริงที่เขาหล่อมาก จนถึงตอนนี้ยังไม่อยากเชื่อว่านอกจากพี่สิบผัวไอ้มิ้นแล้ว...ยังมีคนหน้าตาน่าดึงดูดหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้อีก โครงหน้าเอย จมูกเอย ริมฝีปากเอย เหมือนผลิตออกมาจากโรงงานเกรดเดียวกัน จะต่างก็ตรงคนคนนี้ดูร้ายกาจและอันตรายกว่ามาก
อันตรายจน...รู้สึกว่าตัวเองควรหนี มากกว่าจะมายืนพูดคุยอย่างที่เป็นในตอนนี้
เอาตรง ๆ ก็ไม่ควรมายืนคุยกับเขาสองต่อสองตั้งแต่แรกแล้วแหละ
“เพราะเมานั่นแหละ ก็เลย...” โอ๊ยอีส้ม คิดสิคิด มาสมองตันอะไรตอนนี้ว้า
“ซื้อฉัน” เป็นอีกครั้งที่สี่ไม่รอให้คู่สนทนากล่าวจบ
“...” ฉันกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ประหม่าจนไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายเลยขยุ้มปลายนิ้วลงบนกระเป๋าสะพาย
“เพราะงั้น ฉันถึงได้กลับมาไง” ประโยคนั้นดังขึ้นก่อนที่กลุ่มควันสีจางจะถูกพ่นเป็นครั้งสุดท้าย สี่บี้มันกับแหวนที่ตัวเองสวม เมื่อเปลวไฟสีส้มอ่อนมอดดับก็โยนลงถังขยะหน้าร้าน ก่อนเปลี่ยนตำแหน่งการยืนจากขวามือเป็นด้านหน้า ส่งผลให้ส่วนสูงของเขาบดบังแสงไฟจากข้างถนนทันที
ใจเย็น ท่านี้คืออะไรก่อน...
“กลับมาเพื่อทวงค่าตัวที่เราเบี้ยวไม่ยอมจ่ายอะเหรอ” ฉันรู้จักความกลัว แต่ไม่ใช่คนขี้ขลาด ดังนั้นแม้จะสั่น แต่ก็สั่นสู้ “งั้นก็เป็นนายจริง ๆ สินะที่ตามเราขึ้นรถเมล์มา”
เอาล่ะ ขอพูดเรื่องนี้หน่อยเถอะ
“...”
“เผื่อไม่รู้ การกระทำของนายเข้าข่ายสตอล์กเกอร์นะ ถึงนายจะมาทวงค่าตัวที่เหลือจากเรา แต่สิ่งที่นายทำก็ไม่ถูกเหมือนกัน เราแจ้งตำรวจได้นะ”
เอาเลยอีหญิง จัดไปเต็มที่ ข้าง ๆ นี้เป็นสถานีตำรวจ ถ้าเกิดพูดไม่เข้าหูแล้วถูกทำอะไรไม่เหมาะสมก็แหกปากกรี๊ดไปเลย
“เปล่า” สี่ส่ายหน้าเบา ๆ เห็นแววขบขันจากนัยน์ตาสีสวย “คนที่ตามเธอคือไอ้เวรนั่นต่างหาก”
“แล้วนายขึ้นรถเมล์คันเดียวกันกับเราได้ไง” จะบอกว่าบังเอิญคงเป็นไปไม่ได้
“สิ่งที่ฉันทำมีแค่มอง...แค่แอบมอง” สี่สารภาพก่อนจะเว้นไปพักหนึ่งแล้วอธิบาย “แต่มันมองแล้วเดินตามเธอด้วย ฉันเลยตามมันอีกทีหนึ่ง”
ไอ้โรคจิตนั่นอยู่ในมือตำรวจแล้ว ได้รับโทษอย่างที่ควรเป็นแล้ว แต่เขานี่สิ...
“ถึงจะแค่มอง แต่การแอบมองของนายก็เป็นหนึ่งในพฤติกรรมของสตอล์กเกอร์เหมือนกัน ไม่รู้เหรอ”
“งั้นขอโทษได้ไหม” เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันไม่ถูกต้อง เขาก็ไม่ลังเลเลยสักนิดเดียวที่จะเอ่ยคำขอโทษ “ฉันเพิ่งมาทำวันนี้”
จะวันนี้หรือวันไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละนาย
“แล้วที่ทำมีจุดประสงค์อะไรอะ ถึงนายจะช่วยเราจากไอ้โรคจิตนั่นไว้ได้ แต่การมาของนายมันไม่น่าไว้ใจจริง ๆ นะ”
“...” เขาจ้องหน้าฉัน เหมือนมีเป็นล้านสิ่งที่อยากพูดแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
“อยากมาทวงเงินก็บอกเลย” เงียบแบบนี้ งั้นฟันธงเลยแล้วกันว่ามาเพราะต้องการค่าตัว
“เธอนี่ตลกชะมัด” อยู่ดี ๆ คนตรงหน้าก็อมยิ้ม เล่นเอาฉันสับสนไปหมดว่ากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ประเภทไหน “เรื่องเงิน เธอจ่ายฉันแค่หนึ่งพันก็จริง แต่นั่นก็คือเงินเหมือนกัน”
“...” อ้าว แล้วยังไงอะ คนสวยงงไปหมด
“อยู่กับส้มตลอดไปไม่ได้เหรอ” จากที่งงอยู่แล้ว ก็ต้องงงกว่าเดิมสิบเท่า “...คืนนั้น ตอนที่เรากอดกัน เธอพูดกับฉันแบบนี้”
“หา?” ฉันร้องเสียงหลง “เราพูดแบบนั้นกับนายเหรอ ไม่จริงมั้ง”
“จริงดิ พูดตอนมีเซ็กซ์” ตรงไปตรงมาดี ไม่อ้อมค้อมเลยสักประโยคเดียว
แต่ก็ถูกแล้ว เพราะคืนนั้นเรามีเซ็กซ์กัน ถ้าไม่พูดตอนอยู่บนเตียงแล้วจะให้พูดตอนไหน
หลังจากสิ้นคำยืนกราน ฉันค่อย ๆ นึกย้อนกลับไปถึงคืนวันเกิดเหตุ ทบทวนโดยละเอียดว่าตัวเองละทิ้งสติสัมปชัญญะแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไปตั้งแต่ช่วงไหน ถึงจำไม่ได้เลยว่าเคยพูดอะไรแบบนี้ออกไปด้วย
“เราไม่น่าพูดอะไรแบบนั้นกับคนแปลกหน้านะ”
ผลสุดท้ายเมื่อไม่มีภาพเหตุการณ์นั้นอยู่ในหัว ฉันจึงกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
“พูด เธอแค่จำไม่ได้”
“เอาอะไรมายืนยันล่ะ นายอาจจะโกหกเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงก็ได้นี่”
เริ่มปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาบ้างแล้ว ในเมื่อเจ้าตัวพูดเองว่าเงินพันเดียวก็นับเป็นเงินเหมือนกัน ฉันจะถือว่าประเด็นระหว่างเราจบลงที่ตรงนี้
อ้อ ไม่นับรวมเรื่องในวันนี้ที่สี่ช่วยฉันไว้นะ แม้ว่าความช่วยเหลือที่ฉันได้รับจะมาจากการแอบมองของเขาก็ตาม
“ห้องฉันมีกล้องวงจรปิด” สี่ยังคงพูด และนัยน์ตาคมกริบที่จับจ้องกันอย่างเปิดเผยนั่นก็ไม่ละห่างไปจากฉันแม้เพียงวินาทีเดียว “กลับไปกับฉันไหม จะได้เปิดให้ดูว่าพูดจริง ๆ”
มีกล้องวงจรปิดในห้อง...งั้นกิจกรรมเข้าจังหวะก็คงถูกบันทึกไว้ด้วยสินะ
ได้ฟังแบบนั้นหัวใจก็สั่นระส่ำ
เป็นอย่างที่เซนส์ในร่างกายย้ำเตือนว่าผู้ชายคนนี้ค่อนข้างที่จะ...
ใช้เวลาทบทวนบางอย่างประมาณครึ่งนาที ในที่สุดฉันก็พอเดาได้ว่าอะไรคือสาเหตุ จึงปริปากโดยไม่รอช้า “นายอาจจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ เราเพิ่งเลิกกับแฟน แล้วที่เราซื้อบริการนายก็เพราะอยากใช้เซ็กซ์ลบหน้าแฟนเก่าเฉย ๆ ไม่ได้หวังจะสานสัมพันธ์ในระยะยาวอยู่แล้ว เพราะงั้นไอ้ประโยคที่บอกว่า ‘อยู่ด้วยตลอดไปไม่ได้เหรอ?’ เนี่ย...เราอาจจะเผลอเพ้อถึงมันโดยไม่รู้ตัวก็ได้ไง ไม่ได้หมายถึงนายหรอกหรอกนะคะ”
“คิดว่าฉันสนเหรอ” กล่าวมายืดยาวขนาดนี้คิดว่าสี่จะเข้าใจ แต่ไม่เลย “ไม่สนอยู่แล้วว่าเธอหมายถึงใคร เพราะตอนพูด...คนที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอมันคือฉัน”
“...”
“คนที่ได้ยินคำพูดนั้นมันคือฉัน ไม่ใช่แฟนเก่าของเธอ"
“...”
แม่เจ้า ผู้ชายประเภทนี้ เกิดมาหนูไม่เคยพบเคยเจอ
“แล้วเงินหนึ่งพันที่ฉันรับมา ก็ถือซะว่าเป็นการตอบตกลง”
จบคำนั้นฉันถึงกับร้อง 'อิหยังวะ?’ อยู่ในใจ