ตัดสินใจได้ดังนั้นก็ก้าวเท้าขึ้นรถเมล์คันดังกล่าวตามประสาคนไม่มีทางเลือก
ตึก...
มั่นใจว่าก่อนหน้านี้มีเพียงฉันคนเดียวตรงป้ายรถเมล์ และคงมีแค่ฉันเท่านั้นที่เป็นลูกค้าของป้ายนี้ ทว่าทันทีที่สองเท้าย่ำบนพื้นรถ ปลายจมูกคล้ายได้กลิ่นบุหรี่ รวมถึงเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่ดังขึ้นจากเบื้องหลัง
แม้จะประหลาดใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้เหลียวกลับไปมอง
ฉันควักเหรียญที่ตระเตรียมไว้ตั้งแต่แรกยื่นให้ป้ากระเป๋ารถเมล์ซึ่งยืนอยู่ข้างเบาะคนขับ เรียบร้อยแล้วก็อาศัยความตัวเล็กตัวน้อยของตัวเองแทรกผู้คนมากหน้าหลายตาไปยืนอยู่ตรงจุดที่มั่นใจว่าปลอดภัย
ถ้าถามว่าเอาอะไรมามั่นใจเรื่องความปลอดภัย อันที่จริงก็ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอก ฉันแค่ใช้เซนส์พิจารณาเอาจากการที่บริเวณนี้มีผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่น่ะ
ด้วยรู้ว่าระยะทางจากบริษัทถึงคอนโดฯ ใช้เวลาค่อนข้างนาน ระหว่างที่รถเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ เพราะสภาพการจราจรติดขัด บวกกับต้องระมัดระวังพื้นถนนอันเปียกลื่น ฉันจึงล้วงเอามือถือขึ้นมา กะจะไถทวิตส่องเทรนด์วันนี้ดูเพื่อฆ่าเวลาไปพลาง ๆ
แต่ยังไม่ทันกดเข้าแอปฯ ทวิตเตอร์ ฉันพลันเห็นการแจ้งเตือนจากแชตไลน์ เมื่อได้คำตอบว่าเพื่อนสนิทอย่างไอ้มิ้นเป็นคนส่งมาจึงไม่รีรอที่จะกดอ่าน
Mint : ไอ้ส้ม เป็นไงบ้าง?
เป็นคำถามเรียบง่าย แต่กลับทำให้มุมปากฉันยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ไม่รอช้า ปลายนิ้วจรดลงบนแป้น จิ้มรัว ๆ ไม่กี่ครั้งก็กดส่ง
Namzom (น้ำส้มสวยซ่าท้าปฐพี) : ยังสวยเหมือนเดิมเพิ่มเติมความแซ่บสะท้านโลกีย์ข่ะ
Namzom (น้ำส้มสวยซ่าท้าปฐพี) : //แนบสติกเกอร์ *รู้สึกเซ็กซี่*
เป็นการโต้ตอบแบบติดตลก เพราะนับตั้งแต่เลิกกับไอ้แฟนสุดเฮงซวย หัวข้อที่เราคุยกันมักไม่ค่อยจรรโลงใจ จริงอยู่ว่ามางส่งคลิปตลก ๆ มาให้ดู ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อสภาพจิตใจของฉัน
แต่อย่างว่าแหละ...เพราะหนีไม่พ้นเรื่องนี้ สุดท้ายแล้วความรวดร้าวที่ยังไม่หายดีจึงยังตามเล่นงานฉันเป็นระยะ
เพิ่งเลิกกับแฟนได้กี่วันเอง ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ด้วยซ้ำ ใครมันจะมูฟออนได้เร็วขนาดนั้นล่ะจริงไหม?
เพราะงั้นวันนี้ขอทำตัวตลก ๆ สักหน่อยดีกว่า อีเพื่อนตัวแสบจะได้ไม่ต้องคิดมาก
Mint : อารมณ์ดีขึ้นแล้วสินะ ดีเลย ๆ
Mint : แต่ถ้าไม่โอตรงไหนคอลมาได้ตลอดเลยรู้เปล่า อาจจะรับช้าบ้างแต่เราเต็มใจให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม เลย
Namzom (น้ำส้มสวยซ่าท้าปฐพี) : อุ๊ย เหตุผลที่รับช้าคือไรวะ จู๋จี๋กับพี่สิบเหรอ โหย แล้วแบบนี้ใครจะกล้าโทรไปกวนจ๊ะ -..-
เมื่อเห็นช่องโหว่ฉันจึงแซวไปหนึ่งกรุบ แอบอมยิ้มอย่างพออกพอใจที่เห็นเพื่อนกดอ่านแล้วเงียบไปนานนับนาทีคล้ายสตัน
รอไม่นานก็มีข้อความเด้งกลับมา
Mint : จู๋จี๋ไร ลืมไปแล้วเหรอว่าเรามีลูก นอนให้มันครบแปดชั่วโมงก่อนเหอะ
Namzom (น้ำส้มสวยซ่าท้าปฐพี) : ไม่ลืมจ้า ก็แหม ได้ข่าวว่าแม่ผัวแกอยากได้หลานอีกคนไม่ใช่อ่อ
Namzom (น้ำส้มสวยซ่าท้าปฐพี) : แล้วงี้ใครจะกล้าโทรไปรบกวนอะ ไว้แกสะดวกจริง ๆ ค่อยหยอดมาก็ได้ ทางนี้โอเคมาก สบายใจหายห่วง อีส้มมันเป็นนักสู้ข่ะ!
ทั้งที่ช่วงนี้ตัวเองก็ไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น แต่เพราะไอ้มิ้นมีลูกน้อยที่ต้องดูแล ทั้งยังอยู่ในช่วงที่ต้องให้นม ประคบประหงมเป็นพิเศษ ใครมันจะกล้ารบกวนเวลาอันแสนมีค่านั้นกันล่ะ
อีกอย่างนะ...
Namzom (น้ำส้มสวยซ่าท้าปฐพี) : ไม่ใช่แค่เรื่องน้องแสน แต่แกยังต้องเตรียมตัวเรื่องงานแต่งด้วยไม่ใช่เหรอ แค่ชีวิตแกเองก็วุ่นวายพอละ
วันที่ความสัมพันธ์ของฉันกับแฟนจบลง เป็นวันเดียวกันที่มิ้นกับพี่สิบตกลงปลงใจว่าจะเข้าพิธีวิวาห์ ฉันรู้เรื่องนี้ผ่านข้อความที่เพื่อนรักส่งมาหนึ่งวันหลังจากนั้น
Mint : แล้วทำไมเราจะต้องลดความสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะมีหลายอย่างให้รับผิดชอบอะ แกก็สำคัญไง
Namzom (น้ำส้มสวยซ่าท้าปฐพี) : วรั๊ย เขินเลอ -///-
เป็นอีกครั้งที่ฉันยิ้มแย้ม ความสุขผุดขึ้นกลางอกและค่อย ๆ โอบอุ้มหัวใจอันบอบช้ำ
Namzom (น้ำส้มสวยซ่าท้าปฐพี) : ยินดีด้วยอีกครั้งนะแก เนี่ย เราดีใจมากเลยนะที่แกมีวันนี้
Namzom (น้ำส้มสวยซ่าท้าปฐพี) : รักกันนาน ๆ นะรู้เปล่า อย่าเหมือนคู่เรา
พิมพ์มาถึงตรงนี้กระบอกตาพลันร้อนผ่าว โชคดีที่สมองออกคำสั่งให้เงยหน้าขึ้นอย่างทันท่วงที หยุดยั้งการมาเยือนของหยาดน้ำใส ให้มันไหลย้อนกลับไปในที่ที่จากมา อย่าได้ปรากฏตัวให้เห็นเพียงเพราะผู้ชายสารเลวพรรค์นั้นอีก
น้ำตาของฉันมีค่าเกินกว่าจะมาสังเวยโดยเปล่าประโยชน์ให้คนอย่างมัน...
ที่ผ่านมา ถือซะว่าเป็นพิธี ‘กรวดน้ำเพื่ออำลา’ ก็แล้วกัน
สวบ...
เมื่อยับยั้งความอ่อนแอไว้ได้สำเร็จ เสียงแจ้งเตือนจากแชตไลน์ดังขึ้นอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันได้กดอ่านอย่างที่ใจต้องการ พลันเกิดอาการเย็นยะเยือกทั่วแผ่นหลัง ตามด้วยการแนบชิดอย่างจาบจ้วงจากบุคคลปริศนาซึ่งคงอาศัยช่องโหว่ตอนที่ฉันมัวแต่จดจ่อกับการคุยแชต รู้อีกทีความร้อนผ่าวจากผิวกายและกลิ่นบุหรี่จัดจ้านชวนเวียนหัวก็รุกล้ำเข้ามาในอนาเขตส่วนตัว ตามด้วยสุ้มเสียงแหบเหี้ยมที่ดังขึ้นข้าง ๆ หู...
“ถ้าไม่อยากตาย อย่าส่งเสียง”
เป็นคำขู่ที่ทำเอาขนอ่อนทั่วร่างลุกซู่
ชั่วอึดใจเดียวหลังจากหยิบยื่นคำขู่ ฉันรับรู้ได้ถึงสัมผัสบริเวณสะโพก คล้ายมันกำลังใช้มือถลกกระโปรงฉันขึ้นเล็กน้อยหวังนำปลายนิ้วโสโครก ๆ นั่นเข้ามาในเขตสงวน
“...”
ฉันเม้มริมฝีปาก จิกปลายนิ้วแน่นกับสมาร์ตโฟน หัวใจที่เต้นอย่างเป็นปกติสั่นระทึกด้วยความโกรธและขยะแขยงในคราวเดียวกัน
แน่นอนว่าความกลัวยังพอมี แต่น้อยนิดมากเมื่อเทียบกับสองอย่างแรก
คนประเภทนี้มันเป็นอะไรกับผู้หญิงนัก ทำตัวระยำตำบอนได้แม้กระทั่งพื้นที่สาธารณะ อยากจนตัวสั่นแล้วไม่รู้จักระงับ ถ้าจะปล่อยให้สัญชาตญาณอยู่เหนือจิตสำนึกขนาดนี้น่าจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานตั้งแต่แรกนะ เหมาะดี
แล้วไอ้บ้านี่ก็ดันประเมินสถานการณ์ได้ตื้นเขิน...คิดว่าฉันต้องพรั่นพรึงเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ไม่กล้ามีปากเสียงแล้วปล่อยให้มันทำตามอำเภอใจไปตลอดทาง
เล่นผิดคนแล้ว
นิ่งเงียบครุ่นคิดบางอย่างไม่นานฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าจะหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า กะใช้เล็บยาว ๆ ที่จงใจตัดแต่งให้แหลมคมนี่จิกหัวมันแล้วกระแทกกับราวเหล็ก อยากสั่งสอนให้รู้ซึ้งว่าต่อให้เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ก็สู้ได้เหมือนกัน ทว่า...
หมับ!
“โอ๊ยยย!”
ยังไม่ทันได้ลงมือ ตัวไอ้โรคจิตก็ถลาออกตามแรงกระชากของใครบางคน
เป็นจังหวะเดียวกันที่ฉันหันไปพอดี จึงได้คำตอบว่าต้นตอเสียงร้องโอดโอยจะเป็นจะตายของไอ้โรคจิตนั่น...มาจากการกระทำของใครอีกคนหนึ่งซึ่งปรากฏตัวราวกับเจ้าชายขี่ม้าขาว ทว่าเส้นผม ดวงตา ชุดที่สวมใส่ ปลายเล็บ หรือแม้แต่รอยสักมากมายบริเวณหลังมือและท่อนแขนทั้งสองข้างล้วนแล้วแต่เป็นสีดำสนิท...เฉกเช่นเดียวกับรังสีอำมหิตที่ส่งไปให้ไอ้โรคจิตคนนั้นอย่างหมายมาด
“ใช่มือข้างนี้ไหม?” ในขณะที่ฉันเผยอปากพะงาบ ๆ เพราะได้คำตอบแล้วว่าคนตรงหน้าคือใคร สุ้มเสียงทุ้มต่ำแฝงความคุกรุ่นก็เล็ดลอดผ่านริมฝีปากหยักลึก พร้อมกับนัยน์ตาคมกริบที่ลดต่ำ จับจ้องข้อมือข้างซ้ายของไอ้โรคจิตซึ่งถูกเขาบีบแน่นจนแดงเถือก “ที่มึง ‘กล้า’เอาไปแตะเธอ?”