บทที่4.2

1271 Words
“พูดเหมือนตัวเองเป็นคนดีนักหนา” ผมแค่นหัวเราะใส่คำครหาของพี่ชาย ซึ่งจริง ๆ แล้วนิสัยก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมสักเท่าไหร่ ก่อนจะยัดมาการองที่พร่องไปเสี้ยวหนึ่งเข้าปากทีเดียว เคี้ยวอยู่ไม่กี่ครั้งก็กลืนลงคอ “อย่าให้กูร่าย สิบหน้ากระดาษยังไม่พอเลยมั้ง” “เหรอ” ‘คนดี’ ครางถาม สีหน้ายังไร้คลื่นอารมณ์เช่นเคย “ของมึงคงร้อยหน้ากระดาษ” “แต่อย่างน้อยกูก็รู้ใจตัวเองนะพี่ ไม่โง่ดักดานนานเหมือนมึง” ประโยคนี้ ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำและหนักแน่นเป็นพิเศษ จงใจแดกดันคนตรงหน้าอย่างชัดเจนและเถรตรง ผมกับไอ้สิบมีช่องว่างระหว่างวัยสี่ปี ทว่าด้วยความสนิทสนมและความสัมพันธ์แบบ 'ทั้งรักทั้งเกลียด' ทำให้ไม่มายด์เรื่องสรรพนามหรือการวางตัวตามลำดับอายุ ด้วยเหตุนั้นเวลาสนทนากันจึงมีทั้งคำหยาบคาย การด่าทอ คุยแบบธรรมดาแทบนับครั้งได้ แต่สบายใจได้เลย สำหรับเราสองคนนี่นับเป็นเรื่องปกติ เอาไว้ควักปืนออกมาจ่อหน้ากันเมื่อไหร่ค่อยกังวล “...” พอโดนโจมตีด้วยความจริง ไอ้สิบก็นิ่งค้างเป็นปูนปั้นเหมือนไม่อาจหาข้อแก้ตัวมาโต้แย้ง มันรักมิ้นมาตั้งนาน แต่ดันโง่เง่าไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง กว่าจะยอมรับได้ว่านั่นคือความรักก็เสียเวลาไปมาก คนที่เชื่องช้าและเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งเต่าล้านปีอย่างมัน...ไปฝึกพูดให้ทันเมียตัวเองก่อนเถอะ ก่อนจะมายุ่มย่ามเรื่องของคนอื่น “เอาน่าไอ้พี่ชาย” เพราะเอาชนะพี่ชายได้แบบไม่เปลืองแรงผมจึงอารมณ์ดี “เดี๋ยวมึงก็รู้เองว่าเธอคนนั้นเป็นใคร” ผมไม่คิดปิดบังครอบครัวอยู่แล้ว แต่อยากขอเวลาอีกสักหน่อย “เฮ้อ...” จบคำนั้นคุณนายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็พรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งคล้ายเหนื่อยหน่ายเกินจะทานทน “เป็นไรแม่” เป็นผมที่เปิดปากถาม ไอ้สิบเองก็ดูจะฉงนสงสัยไม่ต่างกัน แต่ถ้ารอให้มันง้างปากพูดคงเป็นพรุ่งนี้เช้าแน่ “ปวดหัวกับพวกแกสองคนน่ะสิ” แม่ให้คำตอบแล้วยกมือคลึงขมับ “โตจนป่านนี้แล้วยังเถียงกันอยู่ได้” “ก็มันด่าผมว่าเหี้ยก่อน” “ความจริง” ไอ้สิบสวนเสียงห้วน หากเป็นเมื่อก่อน...สมัยที่ยังเด็กกว่านี้ เชื่อเถอะว่าคงหนีไม่พ้นการวางมวย “มึงเหี้ยกว่ากูอีก” แล้วเรื่องอะไรที่ผมจะยอม “พอ!” ท้ายที่สุดแล้วคุณนายแม่ก็ห้ามทัพด้วยเสียงกัมปนาททรงพลัง เราสองคนจึงเปลี่ยนมาฟาดฟันกันด้วยสายตาแทน “พวกแกนี่...” “โอเคครับคุณนาย ไม่ทะเลาะแล้วก็ได้” เพราะกลัวทำให้แม่ปวดหัวจนไมเกรนขึ้นจึงสำทับด้วยคำพูด “แล้วสรุปแม่เรียกผมมาที่นี่ทำไม ขอความจริง” ก่อนจะทำเป็นลืมเรื่องเมื่อครู่นี้ด้วยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา บางทีท่านอาจแค่อยากบ่น ไม่มีเหตุผลมากไปกว่านั้น “แค่อยากเห็นหน้าเฉย ๆ ไม่ได้หรือยังไง” คำตอบนั้นมาพร้อมกับใบหน้าอันยับยุ่ง “เล่นกลับบ้านสองเดือนครั้ง คนงานที่นี่จะลืมหน้าแกหมดแล้ว” “คิดว่าผมแคร์เหรอ” จริง ๆ แล้วผมมีคนงานที่สนิทด้วยอยู่สองสามคน นอกเหนือจากนั้นไม่รู้แม้กระทั่งชื่อแซ่ “อย่าเอาเรื่องคนงานมาอ้าง คิดถึงก็บอก” ผมพูดอย่างรู้ทัน สำทับด้วยการระบายยิ้มจาง ๆ ในแบบที่คุณนายไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ “ก็ใช่น่ะสิ” แล้วท่านก็ยอมรับ “แม่เป็นห่วงแกด้วย กลัวแกจะโดนรุมกระทืบจนตาย” “ไม่ขนาดนั้นมั้ง” ตัวต้นเรื่องอย่างผมทำได้เพียงกลั้วหัวเราะ “ผมห่าง ๆ จากเรื่องพวกนั้นแล้ว” “เหรอ ได้ข่าวว่าเดือนก่อนยังไปมีเรื่องกับแก๊งฮาร์เลย์อยู่เลย” “เคลียร์กับพวกมันแล้ว” ผมยืนกราน “ไม่ต้องห่วงน่า” “...” แม่ไม่พูดอะไร ทว่าผมอ่านสีหน้าท่านออก แม้แววตาจะยังคงริ้วดุกร้าวตามประสา แต่ความห่วงหายังแฝงเร้นอยู่ในนั้นทุกวินาที ผมเป็นลูกชายคนเล็ก เป็นคนเดียวในบรรดาพี่น้องทั้งหมดที่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งเรื่องการงาน ทั้งด้านความรัก มันไม่แปลกหรอกที่ท่านจะมีภาพจำว่าผมยังเป็นแค่เด็กน้อย ไม่แปลกเลยสักนิดที่ความห่วงใยนั้นจะล้นทะลักออกมาให้เห็น “ทำหน้าเป็นตูดแบบนั้นระวังริ้วรอยนะคุณสิระสา” ผมเย้าแหย่หวังเรียกเสียงหัวเราะ “ตีนกาขึ้นแน่” “ตาสี่” เพราะซีเรียสเรื่องนี้มากแม่จึงเตรียมหยิกผมอีกรอบ ทว่าผมยุติมันด้วยการยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ฝังปลายจมูกลงบนผิวแก้มด้านซ้ายซึ่งมีแม้จะมีร่องรอยและความสากเล็ก ๆ ตามช่วงวัย แต่ยังนุ่มนิ่มสุด ๆ สำหรับลูกชายคนนี้ โดนขโมยหอมแก้มไปหนึ่งฟอดแบบเน้น ๆ ความเกรี้ยวกราดของคุณนายก็คล้ายจะทุเลา นี่เป็นสิ่งที่ผมทำกับท่านประจำยามเจอหน้า ถ้าเทียบกับพ่อแล้ว ระดับความสนิทสนมนั้นอยู่ต่ำกว่าแม่ถึงสองเท่า เป็นเหตุผลที่ผมมักไม่ค่อยเขินอายหากจะแสดงความรักด้วยการกอดหรือหอมแก้มแม่ หวังว่าการกระทำนี้จะกระชากความตึงเครียดให้ลดต่ำลง แต่แล้วไอ้ปากไม่รักดีกลับปล่อยหมาออกไปถึงสองตัว “ไม่ค่อยตึงแล้ว ฉีดโบท็อกซ์หน่อยไหมแม่?” “สิรธีร์!” “โอ๊ย! อย่าตีผม” หนึ่งชั่วโมงต่อมา...หลังร่ำลากับทุกคนแล้วผมก็เตรียมกลับคอนโดฯ ทว่าหลังจากที่คนงานขับรถมาจอดเทียบลานกว้างหน้าประตูบ้าน ผมซึ่งกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถกลับต้องชะงัก... “ไอ้สี่” เหตุเพราะถูกฉุดรั้งด้วยเสียงทุ้มต่ำของพี่ชาย ครั้นหันกลับไปถึงพบว่ามันกำลังเยื้องย่างอย่างสุขุมมาทางนี้ ใช้เวลาครู่เดียวก็หยุดฝีเท้าลงตรงหน้า โดยไม่ลืมรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้หนึ่งเอื้อมแขน รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าไอ้พี่ชายหน้าตายมีสิ่งที่อยากพูด “มีไร” ผมถาม “ถ้ายาวมากมึงพิมพ์มานะ กูรอมึงพูดไม่ไหวหรอก” “เรื่องผู้หญิงคนนั้น” เมื่ออีกฝ่ายเปรย ก็รู้ได้ทันทีว่ามันหมายถึงผู้หญิงที่ผมกำลังตามจีบ “อือ ทำไม” ผมเอนหลังพิงรถ ยกสองแขนขึ้นกอดอก “กูจริงจัง” น้ำเสียงที่พี่ชายใช้กดต่ำกว่าปกติหลายระดับ “ช่วยทำตัวดี ๆ กับเธอหน่อย” “แหงดิ” ผมยืนกราน “ก็กูชอบเธอ ไม่ให้ทำตัวดี ๆ แล้วจะให้ทำตัวระยำหรือไง?” “มึงแปลก” นั่นเหรอคือเหตุผลที่มันเป็นกังวล? ตลกฉิบ... “กูกลัวมึงจะไปคุกคามเขา” “นี่สิปปกร” ถึงกับต้องพรูลมหายใจยาวเหยียด “สารรูปภายนอกกูเป็นงี้ แต่กูไม่เหยียบย่ำคนที่กูชอบแน่” เพราะรอยสัก รอยแผลเป็น กอปรกับภาพลักษณ์ที่ดูเลวเกินคนปกติเล็กน้อย จึงทำให้ใคร ๆ ต่างตัดสินว่าผมต้องมีนิสัยสอดคล้องกับลักษณะภายนอกทุกกระเบียดนิ้ว ผมเลวในยามที่จำเป็น เป็นไอ้สี่เวอร์ชันดาร์กไซด์เฉพาะตอนโดน ‘ล้ำเส้น’ เท่านั้น ไอ้สิบรู้จักผมดียิ่งกว่าใคร เป็นเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นด้านมืดมิดที่สุดของผม ก็พอเข้าใจที่มันจะพะวักพะวนจนออกอาการ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD