เมืองหนานอัน ยามโหยว่(1)
ภายในเรือนหลังขนาดกลางของอนุจินหรง เสียงเอะอะโวยวายปะปนกับเสียงร้องไห้ของหญิงต่างวัยดังขึ้น ณ ยามนี้ผู้เป็นใหญ่ของจวนแห่งนี้กำลังสั่งให้บ่าวรับใช้ลงโทษบุตรีที่เกิดจากอนุจินหรงรวมไปถึงสองสาวใช้ที่ติดตามนาง สาเหตุของการลงโทษในครั้งนี้นั้น เป็นเพราะหลินเยว่หรูหรือคุณหนูรองของฮูหยินใหญ่ ได้รายงานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานกับน้องห้าของเธอให้บิดาฟัง ทำให้เย็นนี้เขาต้องมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง เมื่อไตร่สวนแล้วพบว่าเรื่องที่หลินเยว่หรูเล่ามานั้นคือเรื่องจริง
“นังลูกไม่รักดี!!! เหตุใดเจ้าถึงต้องกระทำการรุนแรงกับบ่าวของน้องสาวเจ้าด้วย พ่อเคยสั่งสอนเจ้าแล้วมิใช่หรือว่ามิให้ใช้กำลังไม่ว่าจะกับใครก็ตาม"
“ท่านพ่อลูกขอโทษเจ้าค่ะ ลูกขอโทษฮือๆๆๆ” คุณหนูสี่ร้องไห้คร่ำครวญกล่าวคำขอโทษออกมา
"แล้วเจ้า… ไปยุ่งอันใดกับน้องสาวของเจ้าหรือไม่ น้องห้าของเจ้าร่างกายอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร เจ้าต้องรักและเอ็นดูนาง มิใช่ไปรังแกนาง”
“ท่านพี่… อภัยให้ลูกสี่เถอะนะเจ้าคะ ลูกสี่ไม่ได้ตั้งใจ อีกอย่างนางยังเด็กนัก ยังไม่รู้ความ” อนุจินหรงคุกเข่าอ้อนวอนผู้เป็นสามี
“หุบปาก!!! อนุจิน หากเจ้าดูแลนางไม่ได้ข้าจะให้ส่งนางให้กับฮูหยินสั่งสอนแทน เจ้าว่าดีไหมล่ะ”
นั่นเป็นเรื่องที่นางกลัวมากที่สุด คือการที่บุตรสาวต้องไปอยู่ในการดูแลของผู้อื่นโดยเฉพาะฮูหยินใหญ่ที่เกลียดชังนางเช่นกัน ดีที่ว่าบุตรชายของนั้นเพิ่งสอบผ่านได้เป็นจิ้นซื่อ(2) ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาจะได้เป็นขุนนางในวังหลวง นางจึงไม่ห่วงหรือกังวลอันใดอีก คงจะมีแต่บุตรสาวผู้ดื้อรั้นผู้นี้เท่านั้นที่นางยังคงต้องดูแลเอาใจใส่
“ฮือๆๆๆ ไม่นะท่านพ่อ ลูกผิดไปแล้ว ให้อภัยลูกเถิด ลูกเพียงอยากให้น้องห้าได้พักผ่อน ออกมาตากแดดตากลมเช่นนั้นข้าก็กังวลว่าน้องห้าจะป่วยหนักไปกว่าเดิม” หลินจินหรูร้องไห้คร่ำครวญออกมาราวกับว่ากำลังสำนึกผิดแต่ทว่าภายในใจนางนั้นกลับมีจิตใจที่เคียดแค้น
“นังบ่าวสองคน!!! เจ้าสองคนทำความผิดคือไม่ห้ามปรามคุณหนูสี่ กลับให้ท้ายและเป็นฝ่ายทำตามคำสั่งนาง เจ้าตบเด็กรับใช้ของคุณหนูสี่ใช่ไหม พวกเจ้า!!! ตบหน้านังสองคนนี้คนละยี่สิบที!!”
เจ้ากรมการกลาโหมผู้ที่ยึดในความถูกต้องเสมอมาเอ่ยถามบ่าวรับใช้สองคนของหลินจินหรู ก่อนที่จะหันไปสั่งบ่าวไพร่ที่เป็นสตรีให้จัดการกับบ่าวสองคนของบุตรีที่ไม่ยอมห้ามปราม กลับกระทำตามคำสั่งทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง
“นายท่านเจ้าคะ พวกข้าผิดไปแล้ว อภัยให้พวกข้าเถิดนะเจ้าคะ” สาวใช้ข้างกายของหลินจินหรูเอ่ยออกมาทั้งน้ำหูน้ำตา
“หึ!! ตบพวกมันเพื่อให้เป็นตัวอย่าง ว่าจวนของข้าไม่ใช่ที่ใครจะมารังแกใครก็ได้”
หลินหยางไม่อยากจะฟังคำแก้ตัว หากวันนี้เขาไม่ลงโทษพวกนาง วันหน้าอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่าเมื่อวานนี้ก็เป็นได้ บ่าวที่เป็นสตรีร่างกายอวบอ้วนสี่คนจัดการจับตัวเด็กรับใช้ทั้งสองให้ยืนขึ้นแล้วตบลงไปที่ใบหน้าของพวกนางคนละยี่สิบทีตามคำสั่งของนายท่าน
“โอ๊ย!!! ฮือๆๆๆ ข้าผิดไปแล้ว นายหญิง… คุณหนูสี่ช่วยพวกเราด้วยเจ้าค่ะฮือๆๆ”
สาวใช้ทั้งสองต่างพากันร่ำร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ฝ่ามืออวบอ้วนของสาวใช้รุ่นป้าที่ตกลงมากระทบเนื้อนั้นช่างทำให้เนื้อพวกนางนั้นเจ็บแสบนัก
“ตบพวกนางต่อไป จนกว่าจะครบตามคำสั่งของข้า”
หลิวหยางออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด เขาไม่สนใจคำอ้อนวอนของผู้กระทำผิด ความเด็ดเดี่ยวของเขาทำให้บ่าวในจวนเคารพนับถือ รวมไปถึงเกรงกลัวเขาอยู่ไม่น้อย เสียงฝ่ามือที่ฟาดลงบนเนื้อแก้มของสองสาวรับใช้ดังขึ้นมาไม่ขาดสายพร้อมกับเสียงครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวดของพวกนาง
“ส่วนนาง….. ให้คุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่นี่จนกว่าจะยามซวี่(3) อ้อ….แล้วห้ามพวกเจ้าให้นางลุกขึ้นก่อนถึงชั่วยามที่ข้าสั่งเด็ดขาด" หลิวหยางออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้ที่เป็นสตรี
"เจ้าจงจำเอาไว้ลูกสี่ ถึงเจ้าจะเป็นบุตรีของข้า แต่ถ้าเจ้ากระทำผิดข้าก็ไม่มีวันอ่อนข้อให้ และทีหลังจะออกคำสั่งให้พวกเด็กรับใช้กระทำการสิ่งใด หากมันผิดแล้วข้าจับได้ เจ้าจะถูกส่งตัวให้ฮูหยินใหญ่ไปอบรม เข้าใจไหม”
เสี่ยวเอ๋อที่แอบมองอยู่ไม่ไกลนั้นฉีกยิ้มออกมา ถึงคุณหนูห้าของเธอจะเป็นบุตรีที่เกิดจากอนุ แต่ทว่าบิดาอย่างเจ้ากรมการกลาโหมกลับรักและเอ็นดูไม่แพ้บุตรชายและบุตรีคนอื่นๆ ติดเพียงแต่ว่า ร่างกายของคุณหนูของเธอนั้นอ่อนแอไม่แข็งแรง จึงถูกคุณหนูสี่กลั่นแกล้งรังแกเสมอมา ร่างบางรีบเดินหลบไปทางเรือนของอนุซูฉีที่ซึ่งเป็นที่พักของคุณหนูของนาง
หลังจากสำเร็จโทษบุตรีและบ่าวทั้งสองคนของนางแล้ว เจ้ากรมการกลาโหมหลิวหยางจึงเดินกลับเรือนใหญ่ไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่ไม่ลดลงเลยแม้แต่นิด แม้แต่หน้าของอนุจินเขาก็ไม่หันมอง น้ำตาของนางไหลลงเมื่อหันกลับไปมองภาพบุตรสาวยังคงนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน แม้จะอยากขัดคำสั่งแต่ในเมื่อผู้เป็นสามีสั่งเช่นนั้นเธอก็จำเป็นต้องทำตาม ผ่านไปนานเท่าใดมิอาจรู้ได้ หลินจินหรูหลั่งน้ำตาลงมาพร้อมกับความเคียดแค้นที่ฝังอยู่ภายในใจ การที่นางโดนลงโทษในวันนี้นางหาได้สำนึกผิดไม่ แต่ทว่านางกลับโทษที่มีน้องสาวที่อ่อนแอ และเด็กรับใช้ที่บังอาจขึ้นเสียงใส่คุณหนูสี่อย่างนาง
“คุณหนูสี่เจ้าคะ ลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ นายท่านอนุญาตให้คุณหนูสี่กลับเข้าเรือนได้แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ของเรือนใหญ่เดินมาบอกคุณหนูของเรือนสาม
“เร็วเข้า… ช่วยพยุงคุณหนูสี่ขึ้นมาแล้วพาเข้าไปพักในห้องของนาง” อนุจินรีบบอกให้สาวรับใช้ในเรือนของนาง
สตรีร่างเล็กถูกสตรีร่างใหญ่ช่วยโอบประคองแขนทั้งสองข้างก่อนที่จะพยุงเดินเข้าไปภายในเรือนหลังขนาดกลางซึ่งเป็นที่พักของนาง อนุจินมองบุตรสาวของตนด้วยแววตาสงสาร จากนั้นจึงรีบสาวเท้าก้าวตามไป
“ท่านแม่… ข้าเจ็บ” หลินจินหรูร้องบอกมารดา
นางไม่โทษมารดาที่ช่วยเหลือนางไม่ได้ แต่ทว่านางโทษคนที่ทำให้นางต้องถูกลงโทษมากกว่า แต่สำหรับพี่รองแล้ว นางมิอาจจะแตะต้อง รังแกหรือทำร้ายนางได้ แต่คนที่นางเคียดแค้นมากกว่าใครคือน้องต่างมารดาอย่าง หลินซูเหมยมากกว่า
“นอนลงเถอะลูก เดี๋ยวแม่จะให้ท่านหมอมาดูเข่าให้เจ้า”
อนุจินบอกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทว่าภายในใจของนางนั้นกลับรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน
“ท่านแม่ ข้าจะทำให้คนที่ทำให้ข้าเป็นแบบนี้เจ็บปวดกว่าข้าหลายเท่า” หลินจินหรงตกใจกับความคิดของบุตรสาว แต่นางเองก็ยอมจบเรื่องนี้ไม่ได้เช่นเดียวกัน ด้วยความเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น นางจึงไม่ยอมปล่อยวาง
“แม่มีแผน แม่รู้ว่าเจ้าคงไม่อยากจะเห็นนังเด็กนั่นอีกแล้วใช่ไหม แม่เองก็เบื่อท่านพ่อของเจ้าเต็มทน ที่ไปคอยประคบประหงมมัน เห็นทีแม่คงต้องถอนฟืนใต้หม้อ(4)มิเช่นนั้นเรื่องราวคงจะต้องวุ่นวายมิจบสิ้น” ทันทีที่มารดาบอกว่ามีแผนการ หลินจินหรูก็เงยหน้าขึ้นมองหน้ามารดาของนางอย่างมีความหวังทันที
หลินจินหรงกระซิบบอกบุตรสาวเกี่ยวกับแผนการที่ตนคิดได้ในยามนี้ ถึงแม้จะร้ายแรงถึงขั้นเอาชีวิต แต่ทว่าอีกฝ่ายนั้นหาได้จะมีชีวิตอยู่นานขนาดนั้น หากเด็กนั่นยังคงมีชีวิตอยู่ก็คงจะเป็นหนามทิ่มแทงใจของบุตรสาวของนางและถูกผู้เป็นบิดาทำโทษไม่รู้อีกกี่ครั้งกี่หน นางทนไม่ได้ที่ต้องเห็นบุตรสาวต้องมาเจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ
หลินจินหรูตาโต แต่ทว่านางกลับเห็นด้วยกับแผนการของมารดา และคอยนับวันเวลาที่จะได้เอาคืน นางไม่มีวันยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ ในเมื่อมีนางอยู่ ณ จวนแห่งนี้ จะต้องไม่มีเด็กนั่น มารดาก็ต่ำต้อยถึงเพียงนั้นมีอะไรมาสู้มารดาของนางได้กัน มารดาของนางเป็นถึงบุตรีของขุนนางระดับกลาง ถึงจะมียศไม่ใหญ่โตเฉกเช่นบิดาแต่ญาติของนางก็เป็นที่นับหน้าถือตาของเมืองหนานอัน
สามวันต่อมา
ขณะที่หลินซูเหมยกำลังเดินออกกำลังตามคำสั่งของบิดา นางเดินลัดเลาะไปตามสวนดอกไม้ที่งดงาม ดอกไม้กำลังเบ่งบานเต็มไปด้วยภู่ภมรที่คอยดอมดม เสี่ยวเอ๋อเด็กสาวรับใช้คนสนิทเดินตามคุณหนูห้าของนางไม่ห่าง ก่อนที่ทั้งคู่จะหยุดเดินเพราะลมหนาว หลินซูเหมยหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจรับอากาศที่บริสุทธิ์เข้าไปภายในปอด
“คุณหนู เสี่ยวเอ๋อว่าวันนี้น่าจะเป็นวันลี่ตง(5)แล้วนะเจ้าคะ คุณหนูรอข้าอยู่ที่นี่สักครู่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปหยิบผ้ามาห่มให้คุณหนูนะเจ้าคะ” เสี่ยวเอ๋อบอกคุณหนูห้าของนาง
“เจ้าไปเถอะ ข้าอยู่ที่นี่ผู้เดียวได้” หลินซูเหมยบอกเด็กรับใช้คนสนิทของเธอทั้งที่เปลือกตายังคงปิดอยู่
“คุณหนูห้าอย่าเดินไปแถวริมน้ำนะเจ้าคะ รอข้าอยู่ที่นี่นะเจ้าคะ” เสี่ยวเอ๋อไม่ลืมที่จะกำชับด้วยความเป็นห่วง
“อืม… เจ้าไปเถอะ อย่างกังวลไปเลย ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้แหละ”
ร่างบางที่ยืนโงนเงนบอกเด็กรับใช้ของเธอ เสี่ยวเอ๋อเดินกลับไปทางเรือนของนาง
ในระหว่างที่ยืนรอเสี่ยวเอ๋อให้นำผ้ามาให้เธอห่ม หูของเธอกลับได้ยินเสียงร้องของลูกแมวที่ริมสระน้ำ สองขาเรียวเยื้องย่างไปตามเสียงทันที ดวงตากลมมองไปเห็นลูกแมวน้อยอยู่ที่ริมขอบสระที่มีน้ำอยู่จนเต็ม แม้ใจจะกล้าๆ กลัวๆ แต่ทว่าความเป็นคนที่มีจิตใจเมตตากรุณาต่อสัตว์ หลินซูเหมยจึงเดินตรงไปหาลูกแมวน้อยที่เหมือนจะนอนบาดเจ็บอยู่ แต่แล้วร่างบางของนางกลับถูกมือที่นางมองไม่เห็นผลักตกลงไปในสระน้ำเบื้องหน้าทั้งคนและแมว
ไร้เรี่ยวแรง นางจมลงไปใต้น้ำทันที คนร้ายที่ผลักนางยืนมองดูนางจมน้ำไปอย่างเลือดเย็น ก่อนที่จะรีบหลบไปจากสถานที่แห่งนี้ เสี่ยวเอ๋อที่เดินกลับมาไม่เจอคุณหนูห้าก็ตกใจ นางรีบวิ่งไปดูรอบๆ สวนดอกไม้และริมน้ำ ก่อนที่จะร้องเรียกบ่าวในเรือนให้มาช่วยกันหาคุณหนูห้า บ่าวในเรือนทุกคนต่างร้องเรียกหาหลินซูเหมยจนอนุซูฉีได้ยินแล้วรีบวิ่งออกมาจากเรือน ตรงตามเสียงมาจนถึงต้นเสียงจึงได้รับรู้ว่าบุตรสาวของนางนั้นหายไป เสี่ยวเอ๋อเดินไปพบรองเท้าของคุณหนูห้าที่ริมสระจึงร้องเรียกให้บ่าวที่เป็นชายลงไปดูในสระน้ำ เพียงไม่นานบ่าวชายที่กระโดดลงน้ำไปก็พาร่างของคุณหนูห้าขึ้นมาจากใต้น้ำด้วยร่างกายที่เปียกปอน
“ฮือๆๆๆ ลูกแม่ เจ้าอย่าเป็นอันใดนะ เร็วเข้า!!! ช่วยลูกสาวข้าเร็ว”
อนุซูฉีตกใจจนไม่เป็นตัวของตนเอง นางร้องไห้ฟูมฟายจนเป็นลมไป หลินหยางและหลินฮูหยินที่กำลังพักผ่อนอยู่ได้ยินเข้าจึงรีบมาดูด้วยความร้อนใจ
“ลูกห้า!!! ลูกห้า!!! เสี่ยวเหมย เจ้าเป็นอันใดกัน ฟื้นขึ้นมาสิลูก" ร่างหนาของหลินหยางพุ่งเข้าหาร่างบางที่เปียกปอนไม่ได้สติของบุตรีทันที
"เหตุใดลูกห้าของข้าถึงตกน้ำไปได้ เสี่ยวเอ๋อ!!! เกิดอะไรขึ้น" หลินหยางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“ฮือๆๆๆ นายท่าน ข้าผิดเอง ข้าเห็นว่าอากาศหนาวเลยเข้าไปหยิบผ้ามาให้คุณหนูห่ม แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดนางถึงตกลงไปในสระน้ำได้ ก่อนที่ข้าจะเข้าไปนางยังยืนอยู่ที่สวนดอกไม้อยู่เลย” เสี่ยวเอ๋อเล่าออกมาตามความจริง
"แล้วเหตุใดเจ้าไม่อยู่กับคุณหนูของเจ้า จะทิ้งนางไปทำไม”
น้ำเสียงเกรี้ยวโกรธดังขึ้นอีกครั้งจนทำให้เสี่ยวเอ๋อนั่งคุกเข่าลงร้องไห้ฟูมฟายออกมา
“นายท่านข้าพบลูกแมวที่จมน้ำไปกับคุณหนูห้าด้วยขอรับ” บ่าวชายรายงานขัดจังหวะขึ้นมา
“ไปตามท่านหมอหวงมา เร็วเข้า!!!”
หลินหยางออกคำสั่งกับบ่าวก่อนที่จะช้อนอุ้มหลินซูเหมยเดินแกมวิ่งกลับไปยังเรือนสี่ซึ่งเป็นเรือนของอนุซูฉี
เสี่ยวเอ๋อรีบประคองนายหญิงของนางตามไปเช่นกัน หลินฮูหยินมิได้ว่าอันใด นางหันไปสั่งให้คนรับใช้ตรวจตราดูรอบๆ หากว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุแล้ว นางก็ไม่คิดจะเก็บคนร้ายเอาไว้ในจวนเช่นกัน
เพียงหนึ่งเค่อ(6)ท่านหมอหวงก็เดินทางมาถึงที่เรือนสี่และได้ตรวจอาการของคุณหนูห้าทันที นางยังไม่ตายแต่ทว่ากลับยังไม่ได้สติ นางเหมือนคนนอนหลับแต่ไร้ซึ่งการตอบสนอง เขาจึงให้เจ้ากรมการกลาโหมคอยดูอาการของนางภายในสามวันหากนางไม่ฟื้นแล้ว นางคงจะไม่มีโอกาสฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว ซูอี๋เหนียงและเสี่ยวเอ๋อร้องไห้ออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
หลินหยางสั่งลงโทษโบยเสี่ยวเอ๋อยี่สิบที โทษฐานที่ไม่ดูแลคุณหนูของนางให้ดีทำให้หลินซูเหมยต้องตกอยู่ในอันตราย เสี่ยวเอ๋อยอมรับผิด นางถูกโบยจนจับไข้ แต่นางก็มิได้ละเลยที่ปรนบัติดูแลคุณหนูห้าของนาง หลินจินหรูกับสาวใช้สองคนที่แอบมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นถึงกับพากันยิ้มออกมา นางมั่นใจว่าน้องสาวนอกไส้ของนางคนนี้จะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกแล้วอย่างแน่นอน
1. ยามโหย่ว เวลา17.00-18.59น.
2. จิ้นซื่อ คือ บัณฑิตขั้นสูง เทียบเท่าปริญญาเอกในปัจจุบัน
3. ยามซวี่ เวลา 19.00-20.59น.
4. ถอนฟืนใต้หม้อ เป็นสำนวนเหมือนตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
5. วันลี่ตง คือวันเริ่มต้นของฤดูหนาว
6. 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที 8 เค่อ เท่ากับหนึ่งชั่วยาม หนึ่งชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง