ร่างของหญิงวัยหกสิบกว่าปีในชุดเก่าๆ ขาดๆ เดินเป๋ไปเป๋มาราวกับคนไม่มีแรง ผมหงอกขาวโพลนทั้งศีรษะเหมือนคนอายุประมาณแปดสิบกว่า ริ้วรอยเหี่ยวย่นผ่านร้อนผ่านหนาวไม่เหลือร่องรอยเลยว่าเมื่อตอนสมัยสาวๆ เคยเป็นคนสวยแค่ไหน นางเดินหัวเราะเสียงดัง ไม่รู้ว่ามีความสุขจริงๆ หรือกำลังเย้ยหยันในโชคชะตาของตน ต่อมาก็ร้องไห้ทรุดตัวนั่งสะอื้นจนตัวโยนสลับไปมาอย่างนี้อยู่ตลอด แววตาระทมทุกข์เผยความเจ็บปวดราวกับจิตวิญญาณของชีวิตไม่มีเหลือ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาทั้งขยะแขยงรังเกียจและสมเพชเวทนา แต่นางไม่สนใจสายตาใครต่อใครที่มองมาเพราะนั่นไม่มีผลกับนางเหมือนสายตาของคนทั้งสามคนที่อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
ภาพลูกชายคนโตที่ถูกตำรวจจับกุมและมีชาวบ้านโดยรอบชี้หน้าก่นด่าถลาเข้าไปจะทุบตีรุมประชาทัณฑ์ราวกับมือที่คอยกระชากวิญญาณนางออกมาทั้งเป็น นางวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปหาบุตรชายที่ถูกเหล่าตำรวจกักตัวไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่หญิงชราคนหนึ่งจะทำได้ นางทั้งถูกผลักถูกกระแทกจนฟกช้ำดำเขียวล้มลุกคลุกคลาน ปากก็เอ่ยเรียกแต่ชื่อบุตรชายตะโกนแข่งกับเสียงสาปแช่งด่าทอ
"ซอ ซอ ลูกแม่ อย่าเพิ่งพาลูกฉันไป ซอ" หญิงบ้ากรีดร้องอยู่ข้างถนนไขว่คว้าผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจนวุ่นวายไปหมด สติเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หัวใจอ่อนแรงลงช้าๆ ราวกับจะหยุดเต้นเสียดื้อๆ ในที่สุดเธอก็กอดเสาไฟฟ้าลูบไล้มันไปมาอย่างทะนุถนอมราวกับแม่กล่อมลูก ปากก็พร่ำเพ้อไม่หยุด
"แม่อยู่นี่ลูก เห็นแม่ไหม มองแม่สิ อย่าเพิ่งไป"
บางคนหยุดมองราวกับกำลังดูตลกล้อเลียนอย่างสนุกสนาน บางคนเมื่อเห็นก็เมินหน้าหนีราวกับไม่อยากเห็นภาพชวนสังเวชใจ
แต่สายตาใครจะทำให้เธอเจ็บปวดได้มากเท่ากับคนที่อยู่ในความทรงจำ สายตากลมโตที่ได้มาจากเธอนั้นเย็นชาราบเรียบท่ามกลางฝูงชน เหมือนเขาจะมองมาที่นางแวบหนึ่งก่อนจะหันหนีแล้วก็เดินขึ้นรถเรือนจำราวกับไม่ได้ยินหรือไม่ได้เห็นว่าคนเป็นแม่ถูกคนอื่นผลักเบียดด่าว่าอีแก่แต่อย่างใด นั่นเป็นสายตาของลูกชายคนโตที่นางเจอครั้งสุดท้าย ทั้งเย็นชาและหมางเมิน
ต่อมาภาพของลูกชายคนเล็กที่นางไม่ค่อยได้พบก็ลอยเข้ามาแทนที่ ครั้งล่าสุดเขามาหาเธอที่บ้านแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ดีใจ เขาก็บอกว่าเขากำลังหนีเจ้าหนี้อยู่ เหมือนถูกค้อนปอนด์ทุบลงซ้ำสองตรงแผลเก่าที่ยังไม่หาย เขาเป็นถึงลูกชายนักธุรกิจหลานชายคนโปรดของเจ้าพ่อวงการธุรกิจโรงแรม แต่สภาพที่พยายามหนีเอาตัวรอดจากเจ้าหนี้มันดูเหมือนโจรขโมยข้างถนนเหลือเกิน เขามาหานางที่บ้านบอกว่าต้องการเงินไปใช้หนี้ แต่คนแก่อย่างนางจะเอาเงินที่ไหนมาให้ลูกชายได้เป็นสิบล้าน ลำพังแค่เงินเก็บทั้งชีวิตยังไม่ถึงครึ่งแสน พอนางไม่มีให้ เขาก็ชี้หน้าด่าว่านางอย่างหยาบคาย
"เงินจะให้กูเอาไปใช้หนี้ มึงยังไม่มีปัญญาเลย แล้วมาเรียกตัวเองว่าแม่ ถุย กระจอก รู้งี้กูไม่เสียเวลามาหามึงหรอก"
นางไม่รู้ว่าตอนนั้นรู้สึกอย่างไร รู้แค่ว่าเหมือนถูกใครเอามีดแหลมมาแทงหัวใจนางโดยไม่ยอมปล่อยให้ได้ตายง่ายๆ
คราวนี้จากเสียงร้องไห้กลายเป็นเสียงหัวเราะ จากที่กอดเสาไฟฟ้าก็เปลี่ยนมาเป็นชี้ต้นเสานั้นราวกับมันคือคู่แค้น
"หนีไปลูก นี่คือโฉนดที่ดินบ้านนี้ เงินเก็บนี่เอาไป แม่จะรับหน้าพวกมันให้" นางยื่นเงินเก็บประมาณสี่หมื่นกับโฉนดบ้านที่นางอาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเล็กๆ ส่งให้ลูกชาย ให้เขาหนีไปทางหลังบ้าน ก่อนจะหันไปรับหน้าพวกนักเลงที่ถืออาวุธในมือเข้ามา
"ออกไปนะ ออกไปจากบ้านกู ไม่งั้นกูจะแจ้งตำรวจ" ไอ้พวกนั้นหัวเราะร่า คนที่ดูเหมือนหัวหน้าผลักนางจนหงายหลังล้มกระแทกพื้น
"อีแก่ ลูกมึงอยู่ไหน เรียกมันมา ไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่เกรงใจหนังเหี่ยวๆ อย่างมึง" พวกที่มาด้วยกันพยายามจะเข้าไปค้นในบ้าน
นางยื้อขามันได้คนหนึ่ง มันก็ทั้งสะบัดขาทั้งเตะถีบนางจนหงายหลังไปหลายตลบ นางเจ็บระบมแต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้น ปากก็ได้แต่เอ่ยด่าพวกมันไม่หยุด
"มึงหยุดนะ กูจะฟ้องตำรวจให้ลากคอพวกมึงเข้าคุกให้หมด ออกไป ออกไปจากบ้านกู" เสียงกรีดร้องด่าทอเสาไฟฟ้าดังอย่างต่อเนื่องด้วยแรงอารมณ์ ในที่สุดนางหลับตานิ่งเงียบไปพักใหญ่เสียงร้องไห้ด่าทอหัวเราะหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สายตาเหม่อลอยเคว้งคว้างไร้ที่พึ่งมองไปมาไร้จุดหมาย ในที่สุดร่างหญิงแก่บ้าก็สั่นสะท้านที่ไม่ได้มาจากความหนาวของอากาศแต่มาจากความหนาวเหน็บในก้นบึ้งหัวใจ นางนั่งตัวสั่นสะท้านเหนื่อยหอบหายใจติดขัด
ใบหน้าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มของใครบางคนผุดขึ้นมา รอยยิ้มที่เหมือนกับมนต์สะกดให้หลงใหลค่อยๆ กลายเป็นใบหน้าเฉยชา ถ้อยคำสุดท้ายที่ได้ยินยังดังก้องไปมาราวกับกำลังประชดประชันให้นางต้องปวดร้าวกับมันไปตลอดชีวิต
"เรียบร้อยแล้วก็ไสหัวไปซะ ถ้าคิดจะไปก็อย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก" ราวกับฟ้าผ่า สีหน้ายายแก่เริ่มเขียวคล้ำดิ้นทุรนทุรายอยู่กลางถนน ผู้คนต่างพากันเมียงมองอย่างตกใจแต่ไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือ บางคนยังพอใจดีอยู่บ้างก็โทรเรียกกู้ภัยแต่ไม่ขอเข้าไปใกล้
ร่างที่ดิ้นพราดกุมหน้าอก น้ำตาที่แห้งเหือดไปเมื่อครู่ก็ไหลออกมาช้าๆ คราวนี้เหมือนนางมีสติรู้ตัว ไม่ใช่เพราะร้องไห้กับภาพทรงจำอันเลวร้าย แต่ร้องเพราะสมเพชเวทนาตนที่ต้องมาตายกลางถนนไร้ซึ่งคนที่รักข้างกาย ตายอย่างโดดเดี่ยว ใกล้จบแล้ว ชีวิตที่ทุกข์ยากแสนเข็ญของนางใกล้จะหลุดพ้นจากบ่วงกรรม ไม่รู้ว่านางทำผิดทำพลาดตรงไหน ไม่รู้เพราะไปก่อกรรมทำเวรกับใคร ชีวิตนี้ถึงได้บัดซบจนไม่มีชิ้นดี นางค่อยๆ หลับตาลงยอมรับในชะตากรรมว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านางไม่ต้องแบกรับอะไรบนโลกนี้อีกแล้ว ดูเหมือนความตายช่างง่ายดายนัก ใบหน้าของคนทั้งสามที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็ลอยเข้าในห้วงสุดท้าย 'ถ้าชาติหน้ามีจริง นางก็อยากจะพบพวกเขาอีกครั้ง จะชดเชยให้หมดทั้งชีวิตทั้งหัวใจที่มี' ร่างของหญิงชรากระตุกเฮือกสุดท้ายก่อนทุกอย่างดำมืดไป
แรงเขย่าเบาๆ อีกทั้งเสียงเอ่ยเรียกทำให้หญิงสาวที่นอนร้องสะอึกสะอื้นอยู่บนเตียงรู้สึกตัว เปลือกตาบางค่อยๆ เปิดออกช้าๆ มองเห็นหญิงสาวร่างท้วมวัยยี่สิบกว่ามองเธออย่างว้าวุ่นใจ
"โธ่ คุณบัวทำหนูใจหายใจคว่ำหมด ดูซิ ป่วยจนเพ้อ นอนร้องไห้จนหมอนเปียกไปหมดแล้ว" หญิงสาวเอ่ยพลางโล่งอกเมื่อเห็นเจ้านายได้สติกลับมาสักสักที เมื่อครู่เธอเกือบจะแหกปากเรียกคนทั้งบ้านแล้ว เพราะเจ้านายที่นอนป่วยเอาแต่นอนร้องไห้ดิ้นไปมา ปลุกยังไงก็ไม่ยอมตื่น
"แสง แสงจริงๆ ด้วย นี่ฉันอยู่ที่ไหน" หญิงสาวตื่นตะลึงเมื่อได้พบคนที่รู้จักในอดีต ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่บ้านของบ้านสามี มักจะมาดูแลที่บ้านสวนคูนที่เธออาศัยอยู่กับสามีและลูกสมัยยังไม่หย่ากัน
"คุณบัวพูดอะไรคะ ที่นี่ก็บ้านสวนคูนไงคะ หนูว่าให้หนูไปบอกคนที่ตึกใหญ่ให้โทรตามหมอดีไหมคะ ดูท่าอาการไข้น่าจะหนัก"
ธัญญ์นลินพูดไม่ออกเมื่อเห็นท่าทางกลัดกลุ้มกังวลของคนตรงหน้า
"เดี๋ยว เมื่อกี้เธอว่าบ้านสวนคูนเหรอ" หญิงสาวเอ่ยอย่างตกใจ ถลาตัวลงจากเตียงไปหน้ากระจกที่สะท้อนหญิงสาววัยยี่สิบเก้าที่แม้จะซีดเซียวจากพิษไข้แต่หน้าตายังคงสะสวย ดวงตากลมโต จมูกโด่งเรียวสวยรับกับริมฝีปากบางที่ยิ้มทีก็หวานหยดราวกับน้ำผึ้ง เธอมองตัวเองในกระจกราวกับเห็นผี นิ้วมือทั้งสิบลูบคลำใบหน้าตัวเองหาร่องรอยตีนกาหลายตลบ ฉีกปากเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหุบในกระจกจนแสงที่ยืนมองข้างหลังตาโตจนจะหลุดออกจากเบ้า กลัวเจ้านายเป็นบ้า
"แสง แสง" เอ่ยเรียกคนข้างๆ อย่างตื่นเต้น
"ช่วยตบฉันหน่อย ตบแรงๆ เลย เอาสิ เร็วๆ " เธอเร่งเร้าบอกแม่บ้านของตน แสงได้ยินก็ยิ่งหวาดผวาร้องลั่น
"คุณบัวอยากให้แสงโดนไล่ออกหรอคะ ไม่เอาค่ะแสงไม่ตบ" กว่าเหตุการณ์จะสงบลงได้แสงก็น้ำหูน้ำตาไหลร้องไห้ออกมาลั่นบ้าน เพราะถูกเจ้านายที่เพิ่งฟื้นไข้บังคับให้ตบตีตัวเอง