บ้านเหลียนซานมิอนุญาตให้บ่าวชายเข้าไปยุ่มย่ามพื้นที่ด้านในยามค่ำคืนเพื่อความปลอดภัยของคุณหนูเถียนเถียน จึงมีเพียงจางฉวนและบ่าวหญิงช่วยกันประคับประคองร่างที่ยังมิได้สติกลับเข้าบ้านไป ส่วนหยางซือถงเร่งออกไปนำม้าที่ถูกทิ้งไว้ด้านนอกเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน ก่อนจะก่นด่าลูกชายคนเดียวไปตามเรื่อง
“อา” จางฉวนเสนอตัวคอยเฝ้าคนเมา ทว่ากลับถูกปฏิเสธ
“จางฉวนพาท่านพ่อไปพักผ่อนก่อนเถอะ แล้วก็อย่าลืมดูท่านแม่ด้วยว่าดื่มยาแล้วหรือยัง” เถียนเถียนอธิบายต่อไปคุณชายบาดเจ็บศีรษะแตก เพราะหกล้มเมื่อครู่ที่ผ่านมา คงกระทำการหักหาญน้ำใจใครมิได้ บ่าวของนางจึงยอมจากไป
“เจ้าลูกคนนี้ไม่ไหว กลับบ้านทั้งก็เมาแอ๋ไม่เป็นผู้เป็นคน นอกจากเรื่องรบราฆ่าฟันสู้ศึกเก่งกาจแล้ว หามีเรื่องอันใดทำให้ข้าชื่นใจได้ไม่ แล้วนี่เถียนเถียนมั่นใจแล้วหรือว่าจะมิให้มันนอนในห้องรับแขก” ท่านพ่อสามีเอ่ยถามสาวงาม
“ห้องนี้เดิมทีก็เป็นห้องของท่านพี่ เถียนเถียนต่างหากที่สมควรย้ายไปนอนห้องอื่น”
“แต่เจ้าก็นอนอยู่ในห้องนี้มาตั้งห้าปีแล้ว ให้เปลี่ยนที่กะทันหันก็คงนอนมิหลับ” ผู้อาวุโสของบ้านถอนหายใจ
หลังจากพูดจาเกลี้ยกล่อมกันอยู่นาน พ่อสามีก็ยอมกลับไปพักผ่อน บ่าวใบ้ใช้ภาษามือถามซ้ำว่าต้องการให้อยู่ด้วยหรือไม่ ทว่านายสาวกลับยืนยันว่ามิต้อง เจ้าของร่างกำยำจึงจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก เถียนเถียนทราบดีว่าจางฉวนมิค่อยถูกชะตากับสามีของนาง ทว่าถามหาเหตุผลอย่างไรเขาก็มิยอมตอบ
หากให้เดาก็คงเป็นเรื่องที่ท่านพี่ทอดทิ้งนานห้าปีนั่นกระมัง
ร่างของบุรุษที่อยู่บนเตียงส่งกลิ่นสุราคละคลุ้งทั่วห้องนอน เถียนเถียนจำต้องขยับตัวเข้าไปใกล้ ก่อนจะถอดรองเท้าของเขาออกอย่างระมัดระวัง บริเวณศีรษะแตกเล็กน้อยเท่านั้น นางจึงค่อย ๆ ทำแผล กลัวเหลือเกินว่าเขาจะตื่น กลัวเหลือเกินว่าเขาจะตกใจ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะขับไล่ภรรยาหน้าตาอัปลักษณ์ไปให้พ้นหน้า
มือเรียวขยับทำความสะอาดใบหน้าของหยางเหวินเย่ ทว่ายังมิทันจะได้ทายา ก็พบว่าดวงตาเรียวยาวกำลังจ้องมองดวงหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาว เขาคว้าข้อมือนางไว้เสียเต็มแรง ทำเอาเรือนร่างบอบบางพลิ้วไหวตามแรงกระชาก ทว่ากลับนางทำเพียงขมวดคิ้วน้อย ๆ เท่านั้น
“ข้ากำลังทำแผล ท่านพี่อย่าเพิ่งขยับตัวเลยนะเจ้าคะ” เสียงหวานออดอ้อนทำให้มือหนาคลายตัวลง ก่อนจะกวาดตามองโดยรอบ
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาอยู่ในห้องนอนของข้า”
“เถียนเถียนคือภรรยาของท่านพี่” ดวงตาของนางสุกสกาวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า แสงตะเกียงริบหรี่และฤทธิ์สุราทำให้คนมองไร้ซึ่งเรี่ยวแรงตอบโต้ ปล่อยให้นางทำแผลและเช็ดหน้าเช็ดตาตามใจชอบ
หยางเหวินเย่กลับมาถึงเทียนโจวได้สักสองชั่วยามแล้ว ทว่ากลับนั่งดื่มอยู่ที่โรงสุรา พลางทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน เขานึกขำตัวเองที่รู้สึกเจ็บปวดกับความรักในอดีตน้อยกว่าที่คิดเอาไว้มาก ยามนั้นจำได้ว่าเสียใจจนแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน ถึงขั้นอาละวาดทำลายข้าวของพังยับเยิน หากองค์ชายรัชทายาทมิร้องห้าม อาการของเขาคงจะหนักหนามากกว่าการทำลายข้าวของ
อาจถึงขั้นเอาชีวิตบุรุษที่บังอาจแย่งชิงนางอันเป็นที่รักไป
หยางเหวินเย่ออกจากเมืองเทียนโจวนานถึงห้าปี เหล่าคุณชายในเมืองที่มานั่งร่ำสุรา ต่างก็พากันแวะเข้ามาทักทายตามประสาบุรุษมนุษยสัมพันธ์ดี ทีแรกเขาก็ตั้งใจว่าจะย้ายโต๊ะหนี ทว่าคำของคุณชายที่เปียกปอนไปทั้งตัวกลับรั้งเอาไว้
‘คุณหนูเถียนเถียนงามมาก ข้าเคยใช้บันไดพาดกำแพงรั้วบ้านเหลียนซาน เกือบจะได้เห็นหน้านางใกล้ ๆ อยู่แล้ว แต่ไอ้ใบ้นั้นกลับผลักบันไดของข้าล้ม หน้าของข้าเกือบจะเสียโฉม’
‘น้องสาวข้าเป็นลูกค้าของนาง กล่าวว่าดวงหน้างามประหลาดยิ่งนัก โดยเฉพาะดวงตา มองแล้วราวกับถูกสะกด คิดจะเอ่ยปากสอบถามหรือทำอันใด กลับลืมเลือนไปเพราะดวงตาคู่นั้น’
‘ข้าไม่เชื่อ ทั่วทั้งเมืองเทียนโจว ไม่น่ามีสตรีใดงามเท่าแม่นางซูหนี่ว์’
ผู้ลอบฟังบทสนทนารีบเรียกเสี่ยวเอ้อมาคิดเงิน เพราะมิต้องการได้ยินชื่อของอดีตคนรักให้ระคายหู และนั่นก็สมควรแก่เวลาพอดี เพราะหากช้ากว่านี้ เขาก็คงจะขี่ม้ากลับบ้านสกุลหยางมิได้แล้ว หยางเหวินเย่ตระหนักดีว่าตนนั้นเมามายและมีกลิ่นสุราตลอดร่าง จึงมิกล้าร้องเรียกคนในบ้าน เขาตัดสินใจปีนข้ามรั้วเข้าสวนเพื่อมิต้องฟังคำก่นด่าของบิดา
หยางเหวินเย่ได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กไพเราะน่าฟัง เนื้อหาค่อนข้างธรรมดา ทว่าก็กินใจคนจากบ้านไปนานอย่างมาก
ลูกสาวของแม่ อย่างอแงทำหน้าเศร้า
บ้านหลังนี้ มิใช่บ้านของเจ้าแล้ว
ลูกสาวของแม่ อย่างอแงทำหน้าเศร้า
เกี้ยวเจ้าสาว จะพาเจ้าไปแล้ว
เสียงหวานใสจากในสวนเรียกสติของคนเมาให้ฟื้นคืนมาสักหกส่วน คืนเดือนมืดทำให้หยางเหวินเย่มองเห็นอันใดมิค่อยชัด ทว่าก็ชัดมากพอที่จะมั่นใจได้ว่า นางสวรรค์ที่เขาเคยฝันหาได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว ความงามของนางล่อหลอกทำให้เขาขาดสติ เหวี่ยงตัวลงจากกำแพงสูง โดยมิกลัวว่าต้องเจ็บตัวเพราะพื้นที่มองไม่เห็น
หยางเหวินเย่รอดจากการกระโดด ทว่ามิรอดจากก้อนหินประดับสวน เขาชนมันและล้มหัวฟาดพื้นเสียเต็มแรง พอได้สติและเริ่มจะขยับตัวไหว นางสวรรค์ก็หายไปเสียแล้ว
เรื่องนี้จะโทษใครมิได้ นอกจากความประมาทของตนเองและสุราเกาเหลียงราคาถูก
คลับคล้ายคลับคลาว่าบ่าวสามคนช่วยประคองกลับเข้าห้องนอน เสียงก่นด่าของท่านพ่อทำให้เขามิอยากจะได้สติ พอเหลือเพียงความเงียบกับกลิ่นหอมที่ทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน หยางเหวินเย่จึงทราบทันทีว่ามิได้อยู่ตามลำพัง เขารู้สึกเสียวแปลบยามรองเท้าถูกถอดออกไป ชัดแล้วว่ามิได้บาดเจ็บเพียงแค่บริเวณศีรษะ
พอเจ้าของกลิ่นหอมเคลื่อนตัวมาสัมผัสกับใบหน้า หยางเหวินเย่จึงรีบขัดขวางตามสัญชาตญาณ
‘เถียนเถียนคือภรรยาของท่านพี่’
ที่แท้ก็คือสาวน้อยที่เขามิยอมร่วมหอด้วยเมื่อห้าปีก่อน
นางสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า นางคือภรรยาอัปลักษณ์ของเขามิผิดแน่!
“ทำแผลเรียบร้อยแล้ว ท่านพี่อยากจะอาบน้ำไหมเจ้าคะ”
แสงตะเกียงบอกชัดว่านางกำลังยิ้มกว้าง แม้มิได้เห็นหน้า ทว่าดวงตากลมโตของเถียนเถียนสื่อออกมาเช่นนั้น
“ค่อยอาบพรุ่งนี้ นี่เจ้านอนห้องนี้มาตลอดเลยหรือ”
“พรุ่งนี้เถียนเถียนจะย้ายห้อง วันนี้คงต้องรบกวนท่านพี่อีกสักคืน” กล่าวจบนางก็จัดการปูผ้าห่มสำหรับหน้าหนาวลงบนพื้น ลักษณะท่าทางคล่องแคล่วมากกว่าห้าปีก่อนอยู่หลายส่วน
ภาพความทรงจำในวันเข้าหอกระจ่างชัดจนทำให้หยางเหวินเย่ตื่นเต็มตา คราวนั้นเขาเสียใจจนกระทำตัวไร้มารยาท โยนข้าวของบังคับให้สาวน้อยวัยเพียงสิบสี่ปีต้องนอนกับพื้น ทั้งยังกล่าวหาว่านางอัปลักษณ์ด้วยอีกข้อ
ต่อให้มันเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ควรมีมารยาทมากพอที่จะไม่ตอกย้ำนางมิใช่หรือ
ระหว่างเดินทางกลับสู่เมืองเทียนโจว หยางเหวินเย่ภาวนามิให้ภรรยาจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนเข้าหอได้ ทว่าเถียนเถียนกลับยังสวมผ้าคลุมตามที่เขาออกคำสั่งไว้เมื่อห้าปีก่อน
‘เถียนเถียน จากนี้ไปจงปิดบังใบหน้าอัปลักษณ์ทุกครั้งที่ข้าอยู่ด้วย เข้าใจหรือไม่’
นั่นก็แน่ชัดแล้วว่านางมิได้ลืม...