SET : To be 4’
Secret to be เล่นกับเพื่อน
[ซัน x แป้งร่ำ]
ฉันเกลียดคำว่า ‘เพื่อน’ มากที่สุดในชีวิต
เพราะคำว่าเพื่อน มันทำให้ฉันตกหลุมรักเพื่อนสนิททั้งที่มันไม่ควรเกิดขึ้น
ทำไมเราสองคนต้องเป็นเพื่อนกันตั้งแต่แรก? ทำไมเราถึงไม่กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
ถ้าหากมันเป็นแบบนั้น... ฉันคงไม่นึกเสียใจตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงตอนนี้
‘หนูแอบชอบเพื่อนสนิทค่ะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.3 จนตอนนี้อยู่ม.6 แล้ว’
‘แล้วหนูทำยังไงครับ ได้บอกชอบเพื่อนคนนั้นไหม?’
‘หนูไม่กล้าค่ะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราสองคนเป็นเพื่อนกัน เขาแทบจะไม่เคยมองหนูต่างออกไป’
‘เหตุผลอะไรถึงทำให้หนูชอบเพื่อนสนิทครับ?’
‘สำหรับหนูการชอบใครสักคนหนึ่งมันต้องเกิดจากความรู้สึก ใช่ค่ะ หนูดันรู้สึกชอบเพื่อนตัวเองทั้งที่ไม่ควร’
‘แล้วหนูจะบอกเขาไหม’
‘หนูไม่กล้าค่ะ เพราะหนูกลัวว่าสุดท้ายถ้าเขาไม่ได้คิดแบบเดียวกับหนู คำว่าเพื่อนของเราอาจจะไม่หลงเหลือ หนูอยากรักษาความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ในสถานะเพื่อน แต่ทำยังไงได้คะพี่ ความรู้สึกของหนูมันเปลี่ยนไปแล้วนี่นา หนูถึงต้องโทรมาระบายมันกับพี่ไงคะ’
‘พี่เข้าใจนะครับ เพราะคำว่าเพื่อนมันมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างกัน ถึงแบบนั้นถ้าเรากล้าที่จะเสี่ยงยุติความสัมพันธ์ของเพื่อนไปมันอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ เพราะฉะนั้นใครที่หลงรักเพื่อนสนิทของตัวเองก็ลองชั่งใจให้ดีนะครับ ถ้าหากกลายเป็นคนรักกันจริงๆ ขึ้นมาสักวัน แล้วถ้าหากไปกันไม่ได้ แม้แต่คำว่าเพื่อนก็คงไม่หลงเหลือให้เก็บเป็นความทรงจำดีๆ แน่’
‘แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส บางคนอาจจะได้คบกับเพื่อนสนิทตัวเองก็ได้นะครับ ถ้าหากเขาใจตรงกันกับคุณ จากเพื่อนเลื่อนขั้นไปเป็นคนรักได้ มันก็อยู่ที่ตัวของคุณว่ากล้าพอที่จะก้าวข้ามคำว่า Friend Zone ไปได้ไหม เอาใจช่วยคนแอบรักเพื่อนทุกคนและขอบคุณน้อง xx ที่โทรมาระบายความรู้สึกให้ฟังนะครับ’
ใช่ ความรู้สึกของฉันที่รู้สึกกับ ‘เพื่อน’ ของตัวเองเกินขอบเขตของคำว่าเพื่อนที่มันขีดเส้นกั้นระหว่างเราเอาไว้นับหลายสิบปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่ไม่เข้าใจตัวเองและคิดทบทวนว่ามันเป็นจริงใช่ไหมกับความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจของตัวเอง มันจริงใช่ไหมที่ฉันชอบเพื่อนตัวเองถึงขั้นที่ว่าอยากทำให้เขารู้ว่าฉันรู้สึกยังไง
หากแต่ว่าเพื่อนของฉันก็ดันโง่เรื่องนี้สุดๆ โง่แม้กระทั่งไม่เคยรับรู้ว่าฉันคิดยังไงกับเขา แต่อีกใจก็ดันไม่อยากให้เขารู้เหมือนกันเพราะฉันเองก็กลัวที่จะเสียเขาไป เสียไปในทีนี้หมายถึงว่าไม่ได้ครอบครองและไม่ได้เป็นทั้งเพื่อนยังไงล่ะ
ตุ้บ
แก้วกาแฟวางกระแทกตรงหน้า แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นของโปรดของฉันคือฉันเป็นพวกรักสุขภาพมากๆ จึงเลือกกินของบางอย่างให้เหมาะสม เช่นการดื่มน้ำผลไม้ปั่นจำพวกตระกูลเบอร์รี่ ยิ่งชอบมากที่สุดก็เป็นสมูทตี้ที่คล้ายกับไอศรีมปั่น สีของมันเป็นสีม่วงที่เกิดจากพวกบลูเบอร์รี่และแบล็กเบอร์รี่ที่ฉันโปรดปราน
ก่อนจะละสายตาจากแก้วสมูทตี้มองร่างหนาที่สูง 187 ซม. ใบหน้าหล่อเหลาทำหน้าหงุดหงิด ผมสีดำตัดเข้าทรงมัลเล็ตรากไทรที่ยาวปิดท้ายทอยและเปิดด้านข้างให้เห็นใบหูทั้งสองที่ติดต่างหูนับสิบ รอยสักลำคอแกร่งเป็นรูปนกสีดำให้ความรู้สึกมีควันสีดำอยู่รอบตัวนกตัวนี้ ไม่เว้นแม้แต่ท่อนแขนทั้งสองที่เต็มไปด้วยรอยสักที่เห็นเด่นชัดก็เพราะเขาพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวถึงข้อศอกและแน่นอนว่าสักแล้วดูหล่อมาก ไม่ต่างจากฉันเช่นเดียวกันที่ชื่นชอบรอยสักจนแขนทั้งสองก็เต็มไปด้วยรอยสักสีจะต่างจากเขาที่เน้นสีดำทั้งหมด รอยสักฉันจะเน้นมินิมอลเหมาะกับผู้หญิงสวยแซ่บอย่างฉันยังไงล่ะ
และที่สำคัญคนๆ นี้ก็คือ... เพื่อนสนิทของฉัน
“ฟังอะไร เอามาฟังหน่อยดิ”
“ไม่ต้องยุ่ง” ย่นจมูกใส่เขาและถอดหูฟังออกเก็บมือถือลงกระเป๋าแบรนด์ดังสีดำ จะให้ฟังในสิ่งที่ฉันกำลังฟังเนี่ยนะ
“เมื่อไหร่รถจะซ่อมเสร็จ”
“ไม่อยากมารับฉันแล้วสินะถึงได้ถาม” ทำหน้าบูดใส่คนตรงหน้าพลางเอาหลอดคนสมูทตี้ “กลัวจะไม่ได้ไปรับสาวที่โปรยเสน่ห์ไว้หรือไง?”
“คือเข้าใจกูด้วยนะ กูเรียนปีสี่แล้ว สถาปัตย์นะเว้ยต้องเตรียมหาที่ฝึกงานปีห้าอีก” อารมณ์ฉุนเฉียวของเขาทำให้ฉันเบ้ปากใส่อย่างไม่สบอารมณ์ เขาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้พลางยกแขนทั้งสองพาดอก “เพนนีกับลูกกวาดก็มีรถ ทำไมไม่ให้เพื่อนเธอไปรับไปส่งวะ ทำไมต้องเป็นกู?”
“ก็นายเป็นเพื่อนสนิทฉันไง” กระดากปากสุดๆ ที่ต้องใช้คำนี้กับเขา ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาฉันใช้คำนี้กับเขาบ่อย มันก็ยังไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนขนาดนี้ จนความรู้สึกของฉันมันเปลี่ยนไปนั่นแหละ “สองก็มีเมียแล้วนะ”
“หาผัวดิ”
“หาได้ง่ายก็ดีน่ะสิ” ก็ไม่ได้อยากมีผัวเป็นคนอื่นไง นายไม่เข้าใจหรือไงไอ้โง่! ได้แต่ด่าเขาในใจ
“ผู้ชายก็มาจีบเยอะ ไม่เลือกสักคน” เขาส่ายหน้าไปมาพลางหยิบแก้วกาแฟลาเต้ขึ้นดื่ม จากนั้นสายตาของเขาก็เหลือบมองหญิงสาวคนหนึ่งพลางฉีกยิ้มให้จนฉันหงุดหงิด ลุกขึ้นจากเก้าอี้โน้มตัวไปด้านหน้าเอื้อมมือบีบปลายคางเขาให้หันมาสบตากับฉัน ใช่ ต้องมองแค่ฉันปะไอ้บ้านี่! “อะไร?”
“คุยกันอยู่ มองคนอื่นเพื่อ”
“กูมองไม่ได้?” เขายักไหล่ไหวพลางปัดมือฉันออกเบาๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้วราวกับไม่พอใจ “ไปนั่งดีๆ ดิ นมทะลักจนเห็นไปถึงไส้ติ่งละ”
“เหอะ”
“นมใหญ่ฉิบหาย”
“ทำยังกับไม่เคยเห็น” ถึงจะเป็นเพื่อนกันใช่ว่าเขาจะเคยเห็นมันบ่อยนะ หมอนี่เป็นพวกที่แบบพอเห็นฉันแต่งตัวโป๊ๆ ทีไรก็ไม่ชอบใจทุกทีนั่นแหละ รู้ว่าเป็นห่วงในฐานะเพื่อน ก็แอบอยากให้หึงหวงกันบ้างไง แต่ฉันไม่คาดหวังเท่ากับไม่ผิดหวัง
“ก็ไม่เคยเห็นไง”
“มีแต่ฉันปะที่เห็นของนาย”
“อย่ามามั่วนะเว้ย ฉันไม่เคยแก้ผ้าให้เธอเห็น อย่ามานะแป้ง” ไม่เคยเห็นตรงๆ แต่เคยเห็นมันชี้โด่ตอนที่หมอนี่ไปนอนค้างที่บ้านฉันไง ตอนนั้นก็คือ... ไม่เอาไม่พูดดีกว่า “ตกลงคือชวนกูมาทำอะไร”
“มานั่งเล่น” จริงๆ อยากเจอหน้ามากกว่า เพราะช่วงนี้เขาแทบจะไม่ค่อยได้มาหาฉันเลย เลยต้องโกหกไปว่ารถเสียแต่ที่จริงแล้วรถฉันจอดอยู่ที่บ้านในโรงจอดรถนั่นแหละ
“ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ ทีหลังเหงาก็โทรหาเพนนีกับลูกกวาดมาดิวะ” ถึงปากจะบ่นแต่ต้องบอกก่อนนะ สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาใส่ใจในฐานะเพื่อนก็คือเขาไม่เคยปฏิเสธฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะโทรไปว่าอยากให้มารับหรือให้พาไปไหน ตอนแรกก็จะบ่นๆ บ่นเป็นตาแก่ บ่นเป็นหมีกินผึ้ง สุดท้ายก็ไม่เคยปฏิเสธเลย แบบนี้ฉันถึงได้รู้สึกกับเขามากกว่าที่มันควรจะเป็นไง “เดินห้างจนพอใจยัง ฉันมีธุระต่อ”
“ธุระที่ว่าคือนัดกับสาวคนไหนไว้ล่ะ?”
“ไม่บอก”
ทำหน้าทำตาล้อเลียนจนฉันเบ้ปากและลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพายข้าง ยืนอยู่บนส้นสูงสีดำขนาดสี่นิ้ว สวมเสื้อนักศึกษารัดรูปสีขาวตัวเล็กรัดหน้าอกหน้าใจใหญ่โตคัพอี มันเป็นไซส์ที่ใหญ่จนฉันแอบรู้สึกหนักอกหนักใจเหมือนกันนะ ยิ่งรูปร่างของฉันผอมเพรียว รับกับสะโพกที่หุ่นฉันเป็นทรงนาฬิกาทราย จะมีขนาดช่วงไหล่กับสะโพกที่เท่ากันเอวจะเล็กและคอดกิ่ว เป็นหุ่นในฝันที่ปลุกปั้นมาอย่างดี ยิ่งสวมกระโปรงทรงเอสั้นแหวกข้างอวดเรียวขายาว ผิวขาวดุจน้ำนมทำให้มีสายตาของผู้ชายมองไม่วางตาเลย บวกกับรอยสักด้วยแล้วนะฉันรู้สึกมั่นใจในตัวเองสุดๆ ไปเลยล่ะ
ปึก
“ว้าย!”
หมับ
“แม่ง เป็นไรปะเนี่ย”
“ส้นสูงมันหักอะ” ทันทีที่เดินออกจากร้านกาแฟไม่ทันไร จู่ๆ ส้นสูงที่สวมใส่มันก็หักลงจนข้อเท้าของฉันพลิกเล็กน้อย ส่งผลให้เซล้มไปด้านหน้า จังหวะจะคว้าไหล่ของเขาเอาไว้ ร่างสูงก็หันมารับฉันทันจนใบหน้าแนบลงตำแหน่งแผงอกซ้าย กลิ่นหอมจากน้ำหอมที่เขาฉีดมันทำให้ฉันรู้สึกหน้าร้อนผะผ่าว
“กูบอกแล้วว่าอย่าสวมส้นสูงบ่อย”
“คนมันชอบนี่นา” ชอบบ่นฉันทุกอย่างจริงๆ เลยหมอนี่! “เจ็บอะ”
“เดี๋ยวไปนั่งตรงนั้นก่อน” ฉันเม้มริมฝีปากและบิดหน้าไปด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อย เขาประคองเอวฉันและพามานั่งที่เก้าอี้ไม้ในห้างสรรพสินค้า จากนั้นร่างสูงก็นั่งชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง คล้ายกับว่าตอนนี้เขากำลังนั่งตรงหน้าเหมือนกำลังคุกเข่าขอแต่งงาน แต่ฉันก็ฝันสลายไงมันไม่ใช่อย่างที่ตัวเองคิด ทันทีที่รองเท้าส้นสูงถูกถอดออกจากปลายเท้า ฝ่ามืออุ่นร้อนก็บีบนวดคลึงตรงข้อเท้าจนฉันโน้มตัวเอาปัดมือเขาออก
“มันเจ็บ”
“ดี ทีหลังจะได้จำว่าอย่าใส่ส้นสูงบ่อยๆ”
“ชิ บ่นเก่งชะมัด”
“นั่งตรงนี้ เดี๋ยวมา”
“นายจะทิ้งฉันเหรอ!”
“บ้าหรือไงวะ จะไปดูยากับผ้าพันแผลให้” เขาตวาดใส่ฉันพลางถอนหายใจราวกับไม่สบอารมณ์ จากนั้นแผ่นหลังกว้างก็เดินห่างออกไปไกลจนฉันเอื้อมมือลงไปสัมผัสตรงข้อเท้า ความอบอุ่นจากมือเขามันยังแผ่ซ่านไม่หายไปไหนเลย ทั้งที่เจ็บข้อเท้าขนาดนี้ แต่ทำไมฉันถึงได้ยิ้มออกมาก็ไม่รู้สิ
10 นาทีต่อมา...
“เรียบร้อย ลุกไหวปะ?”
“ไม่” ส่ายหน้าไปมาขณะมองผ้าพันแผลที่ถูกผันตรงข้อเท้าได้อย่างสวยงาม แบบนี้มีข้ออ้างให้เขามารับไปส่งที่มหาลัยแล้วสินะ จะได้ไม่ต้องคิดแผนเรื่องรถเสียอีก เขาได้ฟังก็ควานหาอะไรบางอย่างในถุงพลาสติกพอหยิบขึ้นมาเป็นรองเท้าแตะคู่หนึ่ง ไม่รีรอที่จะถอดรองเท้าส้นสูงอีกข้างออกและสวมรองเท้าแตะให้ฉันแบบพอดิบพอดี รู้ทุกอย่างในชีวิตของฉันเหมือนกับที่ฉันเองก็รู้ทุกอย่างในชีวิตของเขาเช่นเดียวกัน
“ก็ถ้าไม่สวมกระโปรงสั้นๆ จะให้ขี่หลังนะ” น่าเสียดายชะมัด ถึงจะเคยขี่หลังเขาบ่อยๆ ก็เถอะ ตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันไง ความรู้สึกต้องไม่เหมือนเดิมอยู่แล้ว เขาพูดบ่นไปเรื่อยก่อนจะโอบเอวฉันที่เงยหน้าสบตากับเขา ยามที่มือของเขาบีบกระชับตรงเอวรู้สึกขนลุกเป็นบ้าเลยแหะ “ปวดขี้หรือไง?”
“อะไรของนาย”
“ขนลุกเกรียวเชียว”
“จะบ้าหรือไง!” ช่างกล้านะ ขนลุกก็เพราะนายนั่นแหละ พูดบ้าอะไรก็ไม่รู้
เขาประคองเอวฉันและพาเดินออกจากห้างแบบช้ามากๆ จนแอบได้ยินเสียงถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็นะมันเจ็บก็จริงแต่สำออยก็เพราะอยากให้เขาดูแลไงล่ะ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเขาคอยดูแล ห่วงใยฉันมาตลอดก็ตามที ใช่ว่าฉันจะไม่อยากได้มันตลอดนี่นา อยากได้ตลอดชีวิตไปด้วยซ้ำแต่ก็ได้แค่ความคิดนะ ความเป็นจริงเขาก็คิดแค่ว่าดูแลฉันในฐานะ ‘เพื่อนสาวคนสนิท’
แค่ความรู้สึกของเรามันก็ต่างกันแล้วไง ฉันรู้สึกกับเขาเกินคำว่าเพื่อน ส่วนเขาก็ไม่เคยคิดกับฉันเกินเลยไปจากคำว่าเพื่อนเลยสักนิด ทั้งที่ฉันทั้งสวย ทั้งแซ่บและร้อนแรง มีเสน่ห์สุดๆ เขากลับไม่เคยชายตามอง ราวกับฉันเป็นของต้องห้าม ไม่สิ เป็นของที่อยู่ในที่ที่เขาอยากให้อยู่เสียมากกว่า
“พรุ่งนี้มารับไปมหาลัยด้วย”
“ไปไหวหรือไง?”
“ฉันไม่อยากขาดเรียนนี่นา”
“โทรให้เพนนีมารับ พรุ่งนี้ฉันมีเรียนบ่ายถึงค่ำเลย” คำตอบของเขาทำให้ฉันมองค้อนเขาขณะที่รถเลี้ยวเข้ามาจอดในบ้านหลังใหญ่โตสมฐานะลูกสาวของนักธุรกิจดังและร่ำรวย ร่างสูงเปิดประตูรถออกไปจากนั้นก็เดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้กับฉัน ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้พลางช้อนร่างฉันในระยะที่แก้มสากเฉียดตรงริมฝีปากฉันไปมา จนต้องเบือนหน้าหนีด้วยความตกใจ ไม่สิ ที่เบือนหน้าหนีก็เพื่อไม่ให้เผลอจูบแก้มเขาต่างหากเล่า! “กว่าจะเดินเข้าบ้าน ขึ้นบันไดถึงห้อง คงเหมือนตัวสลอธ”
“ตัวอะไร?” ฉันโอบกอดลำคอแกร่งเมื่อเขาอุ้มฉันในแบบที่ฉันต้องการมันมาตลอด ถึงจะเคยโดนอุ้มในสถานการณ์คล้ายๆ กันก็เถอะ มันก็ตื่นเต้นทุกครั้งเลยนี่นา “สลอธเนี่ยนะ”
“ลองไปเสิร์จดูเอา” พูดจบเขาก็อุ้มฉันเข้ามาในบ้านที่เงียบสงัดมีเพียงแม่บ้านที่พอเห็นเขากับฉันก็ฉีกยิ้มให้ “พ่อกับแม่ไปไหน?”
“ไปติดต่อธุระที่ต่างประเทศ”
“อ่า แบบนี้เองสินะ ถึงได้เหงา” เขาอุ้มฉันมาถึงชั้นสองของบ้านและเดินเลี้ยวไปยังซ้ายมือและห้องของฉันอยู่ท้ายสุด เปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องนอนที่กว้างใหญ่ ร่างของฉันถูกพามานั่งบนโซฟาปลายเตียงพร้อมถุงพลาสติกที่วางข้างตัว “อย่าลืมทายาด้วย ไปละ”
“ดะ เดี๋ยวสิ” คว้าข้อมือเขาไว้ก่อนจะหมุนตัวจากไป “พรุ่งนี้มารับไม่ได้จริงๆ เหรอ?”
“เออ ให้เพนนีมารับ ฉันมีเรียนบ่ายถึงค่ำ”
“...”
“อย่าติดฉันให้มากเลย เราไม่ใช่เด็กกันแล้วนะ” พูดจบเขาก็วางมือลงบนศีรษะฉัน ยีเส้นผมเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ทันทีที่ให้หลังเขาฉันก็รีบเดินกระเผลกไปเปิดผ้าม่านตรงหน้าต่าง มองร่างสูงใหญ่ที่เดินมาถึงรถของตัวเอง จังหวะเปิดประตูกำลังจะขึ้นถ เขาก็หยิบมือถือขึ้นมากดรับสายและคุยอะไรกับใครบางคนด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ไม่ช้ารถสปอร์ตจากัวร์สีดำก็ขับออกจากบ้านไป
ฉันถอนหายใจออกมาขณะมองไปยังตู้ปลายเตียงข้างๆ ทีวี กรอบรูปประมาณห้าอันวางเรียงกัน ไล่จากตั้งแต่ตอนเด็ก โตขึ้นมาได้นิดหน่อยและมาถึงตอนปัจจุบัน ภาพที่มีเราสามคนฉัน สองเพื่อนชายอีกคนและเขาคนนั้นที่ฉันคิดเกินเลยไปมากกว่าคำว่าเพื่อน หยิบกรอบรูปที่เราถ่ายกันสองคนตอนสวมชุดนักศึกษาปีหนึ่งครั้งแรก แม้จะอยู่คนละมหาลัยกันแต่กว่าจะดึงให้เขามาถ่ายได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก ส่วนสองเป็นพวกที่ไม่ชอบถ่ายรูปทำให้ต้องบังคับถ่ายกับเขาแบบไม่ยินยอมสักเท่าไหร่
ลอบมองภาพในมือที่เขายืนข้างฉันเอาแขนกอดคอ ส่วนฉันก็ฉีกยิ้มกว้างชูสองนิ้ว... ใครจะไปคิดกันล่ะว่าสุดท้ายภาพนี้มันจะกลายเป็นภาพที่สิ้นสุดทางเพื่อนของฉันที่มีต่อเขา นับจากนั้นความรู้สึกของฉันก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้นจนแปรเปลี่ยนมันไปตั้งแต่ตอนนั้น
“ฉันชอบนาย ซัน”
ได้แต่บอกเขาผ่านรูปภาพ ‘ซัน’ ที่หมายถึงพระอาทิตย์ แม้จะร้อนแรงแต่ก็มีมุมที่อบอุ่น เพราะเขาเป็นเหมือนแสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาตลอดไม่มีวันดับสิ้น ฉันถึงได้ชอบเขามากกว่าคำว่าเพื่อนที่เขาให้ แถมพระอาทิตย์ดวงนี้ก็โง่จริงๆ ที่มองไม่ออกว่าฉันรู้สึกยังไง ขนาดสองเพื่อนที่โลกส่วนตัวสูงสุดๆ ยังมองออกว่าฉันรู้สึกยังไงกับซัน มีแต่เขานั่นแหละ
“เจ้าโง่” เอานิ้วเคาะบนใบหน้าหล่อเหลาที่ฉีกยิ้มกว้าง “ไม่รู้อะไรซะเลย”
*----------------------------------------------------*