Secret to be
:: 1 ::
คนโง่ ที่โง่จนมองไม่ออก
แสงแดดเล็ดลอดผ่านผ้าม้านผืนบางสีขาวที่ปลิวไสวเล็กน้อยจากลมของแอร์ที่พัดผ่านลงมาเพื่อให้ความเย็น ฉันลุกขึ้นนั่งพลางสะบัดผ้าห่มสีขาวและหันไปมองนาฬิกาลิ้นชักหัวเตียงพบว่าเวลานี้ใกล้จะไปมหาลัยเพื่อเข้าคลาสช่วงสิบเอ็ดโมงถึงเที่ยง ฉันถอนหายใจพลางนั่งห้อยขาบนเตียงจากนั้นก็มองมายังข้อเท้าก็พบว่ามันยังคงเจ็บนิดหน่อยและลงน้ำหนักมากไม่ได้ เนื่องจากส้นสูงที่สวมเมื่อวานดันทำพิษ
‘เหมือนสลอธ’
อะไรคือตัวสลอธ? คำพูดของซันผุดขึ้นมาในหัว จำต้องหยิบมือถือสุดหรูสีดำราคาแพงขึ้นมาเสิร์จหาว่าตัวสลอธมันคือตัวอะไร กระทั่งภาพของมันขึ้นมาและคำอธิบายที่บอกว่าสลอธเป็นสัตว์ที่ช้าที่สุดในโลก
“กล้าดียังไงมาว่าฉันแบบนี้ คนบ้า”
ฉันบ่นอุบก่อนจะกดเข้าไปยังกล่องข้อความที่ฉันตั้งชื่อของซันเอาไว้ว่า ‘คนโง่’ ก่อนจะพิมพ์ข้อความหาเขา รู้ว่าเวลานี้คงยังไม่ตื่นหรือถ้าจะตื่นก็คงไม่ได้ตื่นที่ห้องตัวเอง แต่เป็นห้องผู้หญิงที่ไหนสักคนที่เขาหลับนอนด้วย
Pangram : พาไปกินข้าวหน่อยดิ เลิกเรียนจะไปรอที่ร้านเฮียไนท์
Pangram : ไม่รู้ล่ะ ต้องมานะไม่งั้นฉันจะรอจนกว่านายจะมา
มันอาจจะเป็นการทำให้ซันรู้สึกหงุดหงิดบ้าง แต่ฉันก็อยากที่จะเจอหน้ากับเขาในทุกๆ วัน แค่ไม่อยากให้เราต้องห่างเหินกันไปมากกว่านี้ ฉันแค่อยากอยู่ใกล้เขาแม้สักวินาทีเดียวก็ยังดี ถึงจะดูเหมือนฉันเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการชีวิตเขา เป็นเพื่อนที่เขาชอบบ่นว่าฉันเป็นมากกว่าแม่ ก็คือชอบบังคับเขา ชอบให้เขาตามใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเวลาซันยอมทำทุกอย่างเพื่อฉันมันมีค่ามากจริงๆ แม้ว่าการกระทำของเขาจะทำในฐานะเพื่อนที่สัญญาไว้ว่าจะดูแลฉันให้ดีที่สุดก็ตามที
“ทีเรื่องแบบนี้ซื่อบื้อเก่งนะ” ฉันเบ้ปากใส่รูปภาพในมือถือที่เป็นรูปของเขา ฉันแอบถ่ายซันไว้เยอะมากๆ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ก็คนมันชอบนี่นาเลยอยากเก็บรูปเขาทุกรูปไว้ แม้กระทั่งรูปเผลอหรือรูปอุบาทว์แค่ไหน มันก็ทำให้ฉันยิ้มได้เวลาได้มองเขาและคิดฝันไปเองคนเดียว
เดินขากระเผลกเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย จากนั้นก็สวมชุดนักศึกษาสไตล์ตัวเอง มันดูเป็นชุดที่ธรรมดาถ้าไม่ได้อยู่บนตัวของฉัน แน่นอนว่าฉันเป็นพวกที่มี Sex appeal สูงมากๆ มันชินมานานแล้วที่ถูกคนมองทั้งหญิงหรือชายน่ะ ทำอะไรก็ตามแต่ดูเหมือนฉันจะมีเสน่ห์กับเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน ยกเว้นก็แต่คนโง่คนนั้นไม่เห็นมันหรือเห็นจนชินก็เลยไม่ใส่ใจล่ะมั้ง คิดแล้วก็โมโหที่สุด!
“อ้าว แกไปทำอีท่าไหนถึงข้อเท้าแพลงได้เนี่ยแป้ง”
“ส้นสูงมันหักอะดิ อยากจะบ้า” ฉันเดินมาหยุดตรงหน้าเพื่อนสาวคนสนิทที่ชื่อว่าเพนนี เป็นสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ไม่ได้ต่างจากฉัน เพนนีจะเป็นผู้หญิงที่ออกแนวพูดจาโผงผาง แต่ความสวยก็สะกดชายหนุ่มหลายคน นี่ก็เพิ่งจะเลิกกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาได้หนึ่งปีเพราะเข้ากันไม่ได้ ไม่เห็นว่าเพื่อนจะเสียใจแม้แต่นิดเดียว “ขอบใจแกนะที่อุตส่าห์มารับ”
“ไม่ต้องขอบใจฉันหรอก ซันโทรมาหาฉันตั้งแต่เมื่อวาน”
“ห๊ะ?”
“อือ บอกว่าแกข้อเท้าพลิกให้มารับที หมอนั่นบอกว่ามีเรียนถึงค่ำก็เลยไม่ว่าง”
“ไม่ว่างหรือไปกกกับสาวคนไหนมากกว่า” บ่นกับเพนนีที่เท้าเอวพลางยิ้มขำ ขณะเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับ รถมินิคูเปอร์สีเขียวคันโปรดของเพนนีเคลื่อนตัวออกจากบ้านฉัน ขณะที่โน้มตัวลงไปนวดคลึงตรงข้อเท้าวันนี้เลยสวมรองเท้าแตะแบบหูคีบสีน้ำตาลรัดส้นแทนการสวมส้นสูง “อุตส่าห์ไม่โทรบอกแก สุดท้ายหมอนั่นก็สาระแนโทรบอก”
“ซันเป็นห่วงแกไง ไม่งั้นแกจะมามหาลัยยังไงถ้าฉันไม่มารับ”
“เหอะ”
“แกก็นะตัวติดหนึบกับซันเลย ปล่อยหมอนั่นไปบ้างก็ได้ปะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เบื่อหรือไง?” หันไปมองใบหน้าสวยด้านข้าง เพนนีตัดผมทรง Wolf cut ย้อมผมสีบลอนด์ทองซึ่งเข้ากับเพื่อนแบบสุดๆ หากแต่ว่าคำถามของเพื่อนกลับทำให้ฉันเงียบ แกจะไปรู้อะไรล่ะเพนนี ฉันไม่ได้คิดกับหมอนั่นเป็นเพื่อนเหมือนแต่ก่อนแล้วไง
“หมอนั่นปกป้องฉันได้ไง”
“หมายถึง?”
“ก็...” เพนนีหันมาสบตากับฉันขณะที่รถเคลื่อนผ่านเข้ามามหาลัยเอกชนชื่อดังและตรงมายังคณะนิเทศศาสตร์ สาขาที่ฉันเรียนก็คือการออกแบบแฟชั่น เลือกที่จะเงียบมันไม่ใช่การที่ว่าอยู่กับเขาบ่อยๆ มันคือการปกป้องนะ แต่ฉันอยากอยู่กับเขาเพราะอยากอยู่ มันคันปากเป็นบ้าอยากจะพูดๆ ออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดว่ากลัวความสัมพันธ์ทั้งของเพื่อนจะพังลง ฉันบอกซันไปนานแล้ว แต่ฉันแค่กลัวไง ฉันยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้เลยเอาจริง
มันถึงอึดอัดเวลาอยู่ใกล้ซัน แทบจะระเบิดทุกครั้งที่เห็นเขาโปรยเสน่ห์ใส่ผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าต่อตา ฉันอยากจะตะโกนใส่หน้าเขาทุกครั้งถ้าทำได้ แต่มันติดตรงที่เราเป็นเพื่อนกันไง เพราะแบบนี้ฉันถึงได้เกลียดสถานะของฉันกับซันในตอนนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนมันดีมากๆ พอความรู้สึกเปลี่ยน ความสัมพันธ์แบบเพื่อนที่เคยดีมันก็ถูกมองว่าน่ารังเกียจสำหรับฉัน
“เฮ้อ หมอนั่นน่ะโคตรโง่เลย”
“อะไรของแกจู่ๆ ไปด่าซันมันทำไม” แกจะไปรู้อะไรเล่าเพนนี หมอนั่นน่ะมันโง่บรรลัยเลยล่ะ โง่เรื่องนี้ฉลาดเรื่องอื่น แค่นี้ก็มองไม่ออกหรือไงว่าฉันรู้สึกยังไงกับเขา ถอนหายใจเปิดประตูรถลงเดินกระเผลกมายังหน้าคณะที่โต๊ะหินอ่อนมีเพื่อนสาวสุดสวยแสนเรียบร้อยนั่งรออยู่ ลูกกวาดเพื่อนในกลุ่มที่แตกต่างจากฉันกับเพนนีคือเธอค่อนข้างเรียบร้อยและโคตรจะมีจิตใจที่ใสสะอาดราวกับแก้วบางๆ ที่เผลอโดนก็อาจจะแตกได้
“แป้ง เพน มาแล้วเหรอ ว่าแต่ขาแป้งเป็นอะไร?”
“ยัยนี่ตกส้นสูงน่ะ บ้าปะใส่มาตลอดไม่เห็นจะเคยเป็น”
“อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดปะเพน” มองค้อนยัยเพนนีที่ยิ้มขำ ได้ทีคือต่อว่าฉันใหญ่เลยนะยัยเพื่อนบ้า!
“รู้ปะว่าไผ่มันจีบลูกกวาด”
“ห๊ะ! ไผ่เนี่ยนะ” ฉันถึงกับหันไปมองลูกกวาดที่ส่ายหน้าพลางยกมือโบกไปมา “บ้าน่า”
“เรื่องจริง”
“แต่เราไม่ได้ชอบไผ่นะ” จะไม่ให้ตกใจได้ไงก็ไผ่น่ะเป็นเพื่อนกับซันไง คณะสถาปัตยกรรมเดียวกันเลยด้วยซ้ำ งงมากไปเจอกันตอนไหนถึงได้มาจีบเพื่อนรักแสนบริสุทธิ์ของฉันได้เนี่ย
“หมอนั่นมันเจ้าเล่ห์จะตายไป”
“จริง” เพนนีชี้หน้าฉันพลางเห็นด้วย “อยู่แก๊งเดียวกับซันนะ เจ้าชู้โคตรๆ ยกเว้นสอง”
“อย่าเอาสองไปเปรียบเทียบดีกว่า เพื่อนฉันคนนี้ดีเลิศที่สุดในสามโลกและเป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่โคตรจะรักเมีย” ฉันสาธยายถึงสรรพคุณเพื่อนรักของฉันอย่างสอง เด็กศิลป์ที่โลกส่วนตัวสูงมากๆ แต่มีเมียแล้วรักเมียมากด้วยน่ะสิ ถึงได้บอกผู้ชายอย่างสองเพื่อนรักฉันมีคนเดียวในโลกและเป็นผู้ชายที่โคตรจะหาได้ยากในยุคปัจจุบัน “อย่าไปหลงกลนะลูกกวาด”
“อืม” ลูกกวาดของฉันต้องได้เจอกับผู้ชายที่ดีสิ หมอนั่นมันไม่ได้ต่างกับซันเลยบอกแค่นี้
“คิดอะไรอยู่ถึงจีบลูกกวาด”
“ผู้ชายมีอยู่เรื่องเดียวล่ะมั้ง” เพนนีที่ผ่านความรักมาแล้วก็ยักไหล่ไหว “เรื่องใต้สะดือ”
“ใช่” ถ้าหากซันไม่หมกหมุ่นเรื่องนี้กับคนอื่น และหันมามองฉันบ้างก็คงจะดีไง หมอนั่นก็เจ้าชู้โคตรๆ หว่านเสน่ห์เก่งแค่คำพูดก็ทำให้ผู้หญิงแทบจะแก้ผ้าต่อหน้า ทำไมไม่พูดคะขากับฉันบ้างก็ไม่รู้ ยิ่งมารู้ว่าหมอนั่นเคยพูดจากับเคลียร์เมียสองและเกี๊ยวเมียเฮียไนท์มาก่อน ก็หงุดหงิดแทบบ้า ฉันก็อยากได้ยินเหมือนกันนี่นา! “ติดสนุกจนเคยตัว”
“หมายถึงไผ่หรือหมายถึงใครอะ?” เพนนีเลิกคิ้วขึ้นที่ฉันพูดขึ้นมาลอยๆ
“รวมหมดนั่นแหละ” บอกปัดไปก่อนจะความลับที่กักเก็บไว้จะแตกออกมา ทำให้เพื่อนสองคนมองหน้ากันด้วยความสงสัย อาจจะเพราะตลอดเวลาที่เรียนด้วยกันมาสี่ปีเต็ม ฉันแทบจะไม่ชายตามองผู้ชายคนไหนเลย มีมาจีบนับนิ้วเกินด้วยซ้ำแต่ฉันก็ไม่สนใจจนเพื่อนเคยถามว่าฉันชอบผู้ชายหรือเปล่า คำตอบคือชอบสิ ชอบมากด้วยแต่ไม่ใช่ผู้ชายที่เดินหน้าเข้ามาจีบ
เราสามคนยุติการพูดคุยและพากันเดินเข้าคลาสเรียนเทอมสอง อันเนื่องจากว่าเทอมแรกผ่านการฝึกงานเรียบร้อย ช่วงนั้นก็คือแทบจะไม่ได้เจอกับซันเลยนะ มีแต่โทรคุยกันบ้างฉันก็บ่นกับเขาเรื่องฝึกงานบ้าง ซันรับฟังแต่ก็ช่วยอะไรฉันมากไม่ได้นั่นแหละ ถึงได้บอกไงแม้ว่าเขาจะบ่นเก่งเหมือนป้า ก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธฉันหรือวางสายใส่เลย ถึงเขาจะทำมันเพราะเหตุผลอะไร แต่ฉันก็มีความสุขมากจนล้นอกทุกครั้งที่เขาใส่ใจฉันมากขนาดนี้
เลิกคลาสช่วงเที่ยงพอดีเป๊ะ ฉัน เพนนีและลูกกวาดก็เดินออกจากคณะ นัดกันจะไปกินไอศกรีมที่ห้างสักหน่อย ก่อนแยกย้ายฉันจะให้เพนนีไปส่งที่ร้านสักของเฮียไนท์ หากแต่ว่าเพนนีก็หยุดชะงักพลางดึงต้นแขนฉันไว้
“มีอะไรเพน”
“นั่น” เพนนีพยักเพยิดหน้าไปหน้าคณะ ทันทีที่เห็นแผ่นหลังกว้างคุ้นตายืนกอดอกพิงต้นไม้พลางสูบบุหรี่และคุยกับเพื่อนสองคนไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ฉันก็ถึงกับไปไม่เป็นหันไปสบตากับเพนนี “ยังมีอีกคนที่ไม่ยอมไปจากชีวิตแกว่ะแป้ง”
ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อมองตรงไปหาผู้ชายคนนั้นที่รอยสักท่อนแขนซ้ายคุ้นตา ลำคอแกร่งสักปีกนกและภาษาอังกฤษคำว่า ‘She's mine’ ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมไกลขนาดนี้ฉันถึงได้เห็น ก็เพราะว่าเคยเห็นใกล้ๆ มาแล้วไง ใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มมุมปาก ตัดผมทรงเปิดข้างให้เห็นใบหูที่ติดต่างหูห้อยๆ เงินรูปไม้กางเกงและต่างหูสีดำ ผมสีดำด้านบนจะยาวกว่าและถูกเสยขึ้นรับกับใบหน้าหล่อเหลาที่เป็นหล่อแบบร้ายกาจมาก ทั้งสายตาและท่าทางของเขาน่ะมันไม่น่าเข้าใกล้เลยแม้แต่นิด ใช่ เพนนีพูดถูก ฉันปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่เข้ามาจีบ ยกเว้นเขาคนเดียวที่ไม่ยอมไปจากฉัน
ทั้งที่บอกชัดเจนว่าเรื่องระหว่างเราไม่มีทางเป็นไปได้และไม่มีวันนั้น 1 ปีที่ผ่านมาเขาก็ไม่ยอมแพ้และตามตื้อ จนกลายเป็นเหมือนการคุกคามฉันอยู่บ่อยครั้ง หนำซ้ำยังมีนิสัยที่ไม่ยอมปล่อยอะไรไปง่ายๆ สรรพนามของเขาเลื่องลือมากในมหาลัย มีใครบ้างจะไม่รู้จักฉลาม เด็กวิศวะโยธาฯ ปีสี่กันล่ะ
[50%]
*-------------------------------------*