ชายผู้ยากจะคาดเดา

2050 Words
หลังจากเหตุการณ์นั้น ลู่เฉิงก็ไม่ได้แวะมาวุ่นวายกับนางอีก นางที่พยายามดึงสติและบอกกับตัวเองว่าอย่าไปหลงกลเขาเพียงพระเขาเป็นพระเอก! เขาหล่อมากก็จริงแต่เขาจะทำให้นางตายอย่างไรนางต้องหาทางอยู่อย่างสงบสุขให้จงได้ แต่ตอนนี้นั้น นางต้องการอิสระ! นางต้องการโทรศัพท์! นางต้องการอินเตอร์เน็ตตตตตตต! ร่างบางนอนหมุนตัวไปมาด้วยความเบื่อหน่าย โลกนี้มันช่างน่าเบื่อยิ่งนัก หนังสือก็มีแต่หนังสือวิชาการแค่เพียงนางอ่านไม่กี่บรรทัดถึงกับทำให้นางสัปหงกแล้ว ดีที่ยังพอมีงานสมุดบัญชีที่นางได้ทำแก้เบื่อ แต่ทำเพียงไม่กี่วันมันก็เสร็จแล้ว และไม่กี่วันก่อนนางไปห้องครัวเพียงเพราะอยากจะทำอาหารกินเอง แต่พวกเขากลับก้มหัวร้องขออย่าสั่งตัดหัวพวกเขาเลย พวกเขาจะทำสำรับให้ดียิ่งขึ้น เข้าใจผิดกันไปหมด! นางจึงจำต้องอยู่แต่ในตำหนักรอกินอาหารแต่ละมื้อที่เหล่าพ่อครัวพร้อมใจกันทำมาให้กันอย่างล้นหลาม ตอนนี้นางเลยทำเพียงกินและนอนสลับไปมา เป็นเยี่ยงนี้อยู่หลายวันจนในที่สุดความอดทนของหญิงสาวที่รักในอิสระและปาร์ตี้ก็หมดลง “เบื่อออออออออ!” “พระชายาเพคะ ปักผ้านี่ถวายองค์ไทจื่อดีหรือไม่เจ้าคะ” เหมยเหมยยื่นผ้าที่นางปักค้างไว้เมื่อครั้งก่อนให้กับนาง ลวดลายที่ปรากฏบนผ้าหลันฟู่อิงคนเก่าคงคิดที่จะปักผ้าลายมังกรเป็นแน่ แต่ว่านางนั้นไม่งานฝีมือเอาเสียเลย จึงได้บอกปัดเหมยเหมยไป “เจ้าปักเป็นหรือไม่” “เป็นเจ้าคะ พระชายาเป็นผู้สอนให้แก่ข้าเอง” นางกล่าวน้ำเสียงแฝงไปด้วยความดีใจ เป็นอย่างเดียวที่พระชายาชื่อชอบที่สุดและยินยอมสอนนาง “เช่นนั้นเจ้าก็ปักต่อให้ข้าเสียสิ เสียดายออกปักออกมาสวยถึงขนาดนี้แล้ว” ผ้าปักผืนนี้มีความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ทำให้นางรับรู้ได้ว่าเจ้าของคนเก่านั้นตั้งใจทำขึ้นมามากเพียงใด หากให้นางปักต่อเองคงกลายเป็นจิ้งจกแทนละไม่ว่า “จะดีหรือเพคะ พระองค์ทรงตั้งใจกับผ้าผืนนี้มาก” “เป็นดั่งเจ้าว่า นางคงตั้งใจมากเช่นนั้นเจ้าจงปักต่อแทนนางนาง ..แทนข้าเถิด ช่วงนี้ข้ารู้สึกมิค่อยดีมิยากจับงานฝีมือเสียเท่าไหร่” “หากพระชายาว่าเช่นนั้น” เหมยเหมยรับผ้าปักนั้นกลับมา หลันฟู่อิงกลับมาเบื่อหน่ายอีกครั้งเมื่อหมดเรื่องที่จะต้องทำ “เห้อออ ข้าเบื่อออ ข้าอยากออกไปเที่ยว” อย่างน้อยแผนการแรกไม่สำเร็จ แต่การที่นางไม่เข้าไปยุ่งกับเขาทั้งสองคนนั้นคงช่วยได้ในระดับหนึ่ง นางยังไม่มั่นใจว่าความตายในตอนจบนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ นางยังคงต้องหาแผนสำรองไว้ หลันฟู่อิงจมกับความคิดของตนจนไม่ได้สังเกตุว่าลู่เฉิงได้เดินเข้ามาในตำหนักแล้ว “คารวะองค์ไทจื่อเพคะ” เหมยเหมยรีบก้มทำความเคารพบุรุษตรงหน้า ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบเต็มยศยกมือขึ้น สายตาคมจับจ้องไปยังร่างบางที่ทำหน้าเคร่งเครียดมิได้สนใจในการมาเยือนของเขา เหมยเหมยส่งสายตาเป็นห่วงไปยังพระชายาของนางที่ยังคงนั่งเงียบ ลู่เฉิงเดินเข้าไปใกล้จนถึงข้างตัวของนาง แต่ไม่มีทีท่าว่าหญิงสาวจะรู้ถึงการมีตัวตนของเขา เขาย่อตัวลงข้างกายจ้องมองใบหน้าที่เหม่อลอย หลายวันมานี้นางมิได้เทียวไปหาเขาอย่างที่นางควรจะทำเช่นทุกครั้ง อีกทั้งยังมิได้ข่าวว่านางสั่งโบยบ่าวผู้ใดในตำหนักเขาดั่งที่เขาเคยได้เห็นมา พวกเขากลับบอกว่าพระชายาทรงเป็นสตรีที่ไม่ถือตัวและยิ้มแย้มงดงามราวกับเทพธิดา หรือนางจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ “คิดสิ่งใดอยู่” “คิดแผนญาติดีกับลู่เฉิง.. แม้ข้าจะไม่ได้เข้าไปขัดขวางเขาทั้งสองแต่ข้าก็ยังมิอาจวางใจ หากแต่ทางที่ดีข้าคงต้องหาทางหย่ากับเขา” “เหตุใดจึงต้องหย่า มิใช่ว่าเจ้าอยากแต่งกับข้าจนต้องวางยาข้ารึ” “นั่นมัน..!” หลันฟู่อิงหันไปมองผู้มาเยือนกลับพบใบหน้าหล่อคมคายที่มองมายังนาง นางเริ่มตั้งสติเมื่อครู่นางหมกหมุ่นไปกับความคิดตัวเองเกินไปจนไม่ทันสังเกตว่าใครเอ่ยพูดกับนาง “ไทจื่อ” “เจ้าทำอย่างที่เจ้าพูดได้งั้นรึ รึมีแผนใดอยู่กันแน่” “ขอหม่อมฉันพูดตามตรงนะเพคะหม่อมฉันอยากอยู่อย่างสงบ ไม่ตายตอนจบก็เพียงพอ หม่อมฉันมิมีแผนใดทั้งสิ้นชะนั้นเลิกจับผิด เลิกสนใจข้าไปเถิดเพคะ” “ข้าจะจับตาดูเจ้าไม่ให้คลาดสายตาเลย หลันฟู่อิง” “ไทจื่อ ท่านหูพิการรึเจ้าคะ หม่อมฉันบอก” “เสด็จแม่เรียกพวกเราเข้าพบ จงเตรียมตัวให้นางเสีย ข้าให้เวลาเพียงสองเค่อเท่านั้น” นางยังพูดไม่ทันจะจบคำ ร่างสูงตรงหน้ากลับพูดขัดเสียงเข้ม โดยให้เวลานางเพียงน้อยนิด ก่อนจะเขาจะเดินจากไป “เพคะ ไทจื่อ!” เหมยเหมยขานรับ เหมยเหมยรีบออกไปเรียกนางกำนัลสองสามคนมาช่วยนางฉลององค์พระชายา “ไอ้คนเผด็จการเอ้ย!” นิสัยเหมือนลุงข้างบ้านไม่มีผิด หากอยู่ในสมัยของนาง นางจะกากบาทชื่อเขารัวๆ ฮึ่ย! “เหมยเหมยนำชุดที่เป็นทางการแบบเรียบง่ายก็พอ” นางหันไปกล่าวกับเหมยเหมยเมื่อผ้าที่นางนำมานั้นหรูหราเกินไป “พะ เพคะ” เหมยเหมยเก็บความสงสัยไว้ในใจ เมื่อยามปกตินางมักจะสวมอาภรณ์ที่หรูหราให้สมฐานะราชครูอยู่เสมอ ในเวลาเพียงสองเค่อนางต้องตกใจกับฝีมือและความรวดเร็วให้กับสามนางกำนัลที่สามารถทำให้นางกลายเป็นหญิงงามได้ นางเพียงใช้กำไลและปิ่นปักผมเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น เนื้อผ้านั้นเป็นผ้าซิ่นชั้นดีสีขาวคาดแดงปักลายซิ่นสีทองงดงาม ใบหน้าแต้มสีอ่อน นางขอให้เหมยเหมยใช้สีดำปาดบางๆ ที่หางตาของนางเล็กน้อย ปากเติมสีชมพูผสมสีแดงขับให้ปากของนางดูอวบอิ่มด้วยสีแดงอ่อนๆ หน้าของหลันฟู่อิงก็ไม่ได้ต่างอะไรจากใบหน้าของนางในชาติก่อน ขนตาเป็นแพยาวสวย คิ้วเป็นคันสรเข้ากับรูปหน้าของนางอยู่แล้วเพียงกันให้เข้ารูปนิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จ หลันฟู่อิงรู้ว่าแต่งอย่างไรนางถึงจะดูดีที่สุด เมื่อเสร็จแล้วดีแล้วนางมองตัวเองในกระจกอย่างพึงพอใจ บัดนี้นางดูราวกับเทพธิดาบนพื้นดินก็ไม่ปาน “งดงามมากเพคะพระชายา องค์ไทจื่อต้องตกตะลึงเป็นแน่” “หึ เขาไม่มีทางสนใจข้าได้หรอก ข้าสวยก็เพื่อตัวข้าเอง” “เพคะ อย่างไรก็งดงามมากจริงๆ เพคะ” “อืม ไปกันเถิด” เมื่อประตูเปิดออก ลู่เฉิงที่รออยู่ก่อนแล้วหันไปยังทิศทางที่บานประตูนั้น คำแรกที่เข้ามาในหัวเขาคือ งดงาม ยามปกติเขามักเห็นนางแต่งตัวทรงเครื่องด้วยเสื้อผ้าและของหรูหราราคาแพง บัดนี้เบื้องหน้าเขาเพียงพบสตรีที่งดงามบริสุทธิ์ ผ้าแพรไหมสีขาวนั้นช่างเหมาะกับนางอย่างยิ่ง ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มเยอะเท่าครั้งก่อน ตอนนี่กลับเผยผิวที่ขาวเนียนและริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อ ดวงตามิได้ถูกทาด้วยสีแดงชาดั่งเช่นทุกที เผยให้เห็นดวงตากลมตาดูน่ามองอย่างยิ่ง “ไทจื่อ ไทจื่อเพคะ” หลันฟู่อิงยืนอยู่ตรงหน้าของเขาโบกมือผ่านหน้าเขาไปมาพร้อมร้องเรียกคนตัวสูงตรงหน้าที่ยืนมองหน้านางนิ่ง “นานเสียจริง! หน้าตาจืดชืดถึงเพียงนั้นจะแต่งอะไรเสียมากมาย” ลู่เฉิงเรียกสติตัวเอง เขาหันหลังพร้อมกับเดินไปรถม้าที่รออยู่แล้วอย่างรวดเร็ว หลันฟู่อิงไม่ได้ทันเห็นดวงตาสั่นไหวเพียงชั่วครู่ของลู่เฉิง ร่างบางเม้มปากเป็นเส้นตรง นางนั้นนับว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเจียงหวงแห่งนี้แล้ว รึแม้แต่ในยุคก่อนนางก็เป็นนางแบบอันดับต้นๆ ของประเทศด้วยซ้ำย้ะ! เหล่าทหารได้แต่ส่งสายตาคาดคั้นไปยังไทจื่อของเขา พร้อมกันส่ายหัวและคิดในใจว่า ไทจื่อนั้นมีตาหามีแววไม่ หลันฟู่อิงเดินย้ำเท้าตามเขาไปด้วยท่าทีขัดใจ เบื้องหน้าตำหนักมีรถม้าคันหนึ่งมีสัญญาลักษณ์ของราชวงศ์ติดอยู่ ลู่เฉิงยืนรอนางอยู่ตรงหน้ารถม้าอยู่ก่อนแล้ว ร่างบางเดินตามเข้าไป เขายื่นมือออกมาให้นางจับ แต่นางกลับเมินเฉยแล้วถกกระโปรงโดดขึ้นรถม้า ท่ามกลางความตึกตะลึงของเหล่าทหาร ลู่เฉิงใบหน้ากระตุกที่ถูกสตรีปฏิเสธไมตรีท่ามกลางเหล่าคนของเขา ลู่เฉิงกำมือก่อนจะยิ้มกลบความอับอายไว้ก่อนจะตามเข้ามาในรถม้า ภายในรถม้าสตรีร่างบางนั่งจนแทบจะกลืนไปกับกำแพง เมื่อเข้ามาข้างในนางกลับพบว่ามันช่างคับแคบจนเข่านางแทบจะชนกับอีกฟากหนึ่งของที่นั่ง ลู่เฉิงขยับเข้ามานั่งนั่นยิ่งทำให้รถม้าคันเล็กนี้ราวกับเครื่องบีบอัดก็ไม่ปาน นางนั่งตัวตรงแข็งทื่อไม่กล้าแม้แต่จะขยับกลัวจะไปโดนเนื้อตัวทองคำของเขาแล้วเขาจะยิ่งโกรธเกลียดนางและหาว่านางอ่อย! “ไทจื่อ ท่านไม่คิดว่ารถม้าคันนี้มันเล็กไปหรือเจ้าคะ!” แต่หลันฟู่อิงที่เป็นคนรักสบายอย่างมากทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากบอกใบหน้าหล่อคมคายที่นั่งนิ่งเป็นหินมาตลอดทาง “ปกติข้านั่งคนเดียว เหตุใดต้องใช้รถม้าคันใหญ่ให้สิ้นเปลือง” “เพคะ! พ่อคนประหยัด! แต่หม่อมฉันตะคริวจะกินขาแล้วเพคะ!!” นางบอกอย่างเหลืออดพร้อมบีบนวดขาตัวเองไปมา “ตะคริวงั้นรึ เจ้าหมายถึงเจ้าขาชาใช่หรือไม่” ลู่เฉิงถามนางอย่างสงสัยก่อนจะให้คำตอบกับตัวเองเมื่อเห็นท่าทางปวดเมื่อยของนาง “เพคะ” แม้นางจะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น แต่สิ่งที่เหนือการคาดหมายของนางเมื่อมือหนาของคนตรงหน้าเอื้อมมาดึงขาทั้งสองข้างของนางไปพาดบนขาแกร่งของเขา “หากยืดตรงเช่นนี้จะคลายความปวดเมื่อยลงได้บ้าง” “เพคะ?!” "การยืดขาเป็นเส้นตรงเช่นนี้สักครู่ จะช่วยให้เจ้าขาหายชาได้” “มะ ไม่ ขะ ข้าจะวางเท้าอันสกปรกลงบนตัวท่านได้อย่างไรเพคะ!” นางว่าตะกุกตะกักพร้อมกับจะดึงขาตัวเองลง แต่มือหยาบกลับดึงเท้าของนางไว้ เขาส่งสายตาดุดันห้ามปรามการกระทำของนางพร้อมกับนวดตรงจุดที่นางนวดให้ตัวเองเมื่อสักครู่แต่กลับรู้สึกดีกว่ามาก หลันฟู่อิงจ้องมองใบหน้าเรียบเฉยของเขา แววตาของเขานั่นยากจะคาดเดา “หากเจ้ายังนั่งอยู่เช่นนั้นมันอาจจะบาดเจ็บได้ มันสิ้นเปลืองเวลาของข้า ข้าไม่คิดจะนั่งรอจนเจ้าเดินได้หรอกนะ นวดตรงนี้นวดอย่างที่ข้าทำเมื่อสักครู่” เขาผละออกจากเท้าของนางก่อนจะจับมือของนางให้นวดด้วยตัวเอง บรรยากาศที่คล้ายจะอบอุ่นเมื่อสักครู่ พังครืดลงมาทันใดเมื่อน้ำเสียงและคำพูดเย็นชาได้ถูกกล่าวออกมา นางเกือบจะหลวมตัวไปกับบรรยากาศนั้นแล้วแท้ๆ หลันฟู่อิงได้แต่นิ่งเงียบเพราะตามอารมณ์ของคนตรงหน้าไม่ทัน ผู้ชายอะไรเดาใจยากเสียจริง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD