Ep.4
Bad moon rising
ภายในห้องแต่งตัว ส่วนตัวของคุณคริสตัล ในงานอีเวนต์หนึ่ง
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?”
เธอถามขึ้นขณะที่ตายังโฟกัสไปที่โทรศัพท์ของเธอ
“ไม่มีค่ะ”
ฉันเลือกที่จะไม่รบกวนสมาธิทำงานของเธอด้วยปัญหาส่วนตัวของฉันเด็ดขาด
คุณคริสเงยหน้ามองฉันนิ่ง ๆ
“ถ้ามีอะไรก็บอกแล้วกัน ถือซะว่าฉันเป็นรุ่นพี่เธออีกคนก็ได้”
เธอพูดด้วยเสียงนิ่ง ๆ ตามสไตล์คุณคริสนั่นแหละ ก่อนที่เธอจะเดินถือแก้วค็อกเทลเดินหายไปในห้องลองชุด
“ขอบคุณนะคะ” ฉันตอบกลับอย่างรู้สึกดี ก่อนจะรีบเดินไปช่วยเธอเปลี่ยนชุด แต่คุณคริสห้ามไว้ซะก่อน
“แค่สวมและถอดง่าย ๆ ฉันทำได้” เธอพูดแค่นั้นก่อนจะส่งแก้วค็อกเทลให้ฉัน และหันหลังเดินไป
เอาจริง ๆ เธอเป็นดาราที่ดูหยิ่งและเข้าถึงยากจริง ๆ แต่พอได้ทำงานใกล้ชิดแล้วจริง ๆ คุณคริสเธอใส่ใจคนรอบข้างเสมอ แค่ไม่แสดงออกและไม่เซ้าซี้เท่านั้นเอง
หลังจากที่คุณคริสเปลี่ยนชุดเสร็จ เธอก็กลับมานั่งที่โต๊ะประจำที่ เพื่อรอช่างแต่งหน้าที่ทางงานได้จ้างมาโดยเฉพาะ เห็นว่าเป็นช่างติดอันดับ 1 ใน 3 ของไทยเลย
“เป็นเกียรติมากเลยนะคะ ที่ได้แต่งหน้าคุณคริส” ช่างแต่งหน้าเพศที่สามเดินถือกระเป๋าเครื่องสำอางแบรนด์ชาแนลเข้ามานั่งตรงหน้าคุณคริส
คุณคริสหันไปมองเล็กน้อยและยิ้มอ่อน ๆ
“ผิวหน้าดีอะไรเบอร์นี้ ไปคลินิกไหนบอกเจ๊บ้างสิ” ช่างแต่งหน้าสาวสองคนนั้นเริ่มชวนคุยราวกับคนสนิท
“แถวทองหล่อน่ะค่ะ พอดีเป็นพรีเซนเตอร์ให้ด้วย” เธอตอบแบบปัด ๆ ไป
“แล้วพี่ขอถามหน่อยสิ คุณคริส… คุณคริสเหลาจมูกที่เกาหลีหรือไทยอะ ทรงธรรมชาติดีนะ” ช่างแต่งหน้าแต่งไปก็ชวนคุยไป ด้วยคำพูดที่ไม่ค่อยจะสร้างสรรค์เท่าไหร่
“คริสไม่ทำจมูกหรอกเจ๊แต๋ว เพราะเวลาไปตบกับคนอื่นกลัวจมูกจะเบี้ยว ถ้าเจ๊สนใจจะทำก็ต้องระวังตัว”
"คริสหมายถึงเลือกหมอดี ๆ หน่อยน่ะค่ะ”
เธอตอบตรง ๆ ไปแบบนั้นเล่นเอาเจ๊สาวสองคนนั้นเงียบไปพักหนึ่ง
“นี่ ๆ คุณคริสรู้ไหมว่าดาราหน้าใหม่ห้องข้าง ๆ ที่มาร่วมงานเทียบชั้นคุณคริสเนี่ย"
"ที่นางชื่อพิกเล็ตน่ะ ปากก็บอกไม่ได้ทำไม่ได้ทำ ที่ตอนนักข่าวไปสัมภาษณ์นางอะนะ"
"แต่ว้ายยย ทานโทษจ้าาา ตอนพี่ไปแต่งหน้านี่แข็งอย่างกับหิน นมนี่ชนแขนพี่เป็นก้อน ๆ เลยจ้า แล้วบอกไม่ทำ ๆ” ยัยช่างแต่งหน้ายังคงเม้าส์อย่างสนุกปาก ยุแยงตะแคงรั่วแบบไม่มีหยุดไม่มีหย่อนแทบลืมหายใจกันไปเลย
“พริบพราว ฉันขอหูฟังในกระเป๋าฉันหน่อยสิ” เธอพูดขึ้นขัดจังหวะของช่างแต่งหน้า
ก่อนจะรับหูฟังไร้สายไปเพื่อต่อกับโทรศัพท์และยัดใส่หูทั้งสองข้างด้วยใบหน้าที่รำคาญอย่างไม่มีปิดบัง เล่นเอาช่างแต่งหน้าคนนั้นหน้าเสียไปอีกรอบและอีกรอบ
หลังจากนั้นการทำงานของคุณคริสทั้งวันก็ผ่านไปได้ด้วยดี โดยมีฉันคอยช่วยมากที่สุดเท่าที่ฉันทำได้
เพราะค่าจ้างที่พี่จินนี่ให้มามันมากกว่าปกติ และต่อชีวิตให้ฉันกับครอบครัวได้ในช่วงนึงเหมือนกัน
-------------------
“ขอบคุณที่ตั้งใจทำงานนะ” คุณคริสพูดขณะที่ฉันขับรถของเธอเข้ามาจอดเทียบในคอนโด
“เออ! พริบพราว แล้วรถเธอจอดที่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันเอาสติกเกอร์ที่จอดรถให้ วันหลังจะได้เข้ามาจอดโดยไม่ต้องแสตมป์บัตรจอดให้” คุณคริสตัลหันมาถามฉันขณะที่เธอกำลังถอดแว่นกันแดดออก
“อ่อ คือพราวนั่งรถเมล์มาน่ะค่ะ” ฉันตอบไปตามตรงอย่างไม่ปิดบัง
คุณคริสตัลนิ่งไปชั่วครู่ก็จะพยักหน้าและกดลิฟต์ชั้นของเธอเอง
“ส่งฉันแค่นี้ก็พอ เธอรีบกลับเถอะเดี๋ยวจะดึก” เธอพูดก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางและเสื้อผ้าตัวเองอย่างไม่ถือตัวว่าเป็นเจ้านาย
หรือลูกน้องใด ๆ
“ไปสิ” พอเธอเห็นฉันยืนนิ่งเธอก็พูดย้ำอีกครั้ง
“ค่ะ สวัสดีค่ะคุณคริส” ฉันยกมือไหว้และเดินออกมาทันที
อื้ออออออ อื้อออออ
จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นมา
-น้าผึ้ง-
“ฮัลโหลสวัสดีค่ะน้าผึ้ง พราวเพิ่งจะ” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยคดีเลย น้าผึ้งก็สวนขี้นมาก่อน
“พ่อเราหายไป ตำรวจบอกน้าว่ามีคนมาช่วยเขาหนีคุกออกไปเมื่อคืนนี้ ตอนนี้น้าถูกสอบสวน” เสียงน้าผึ้งสั่นและเต็มไปด้วยความกลัว
“พ่อเนี่ยนะหนีคุก?” ฉันทวนคำนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าพ่อของฉันจะทำเรื่องแบบนั้นได้จริง ๆ
“พราวลูก น้าฝากไปรับยัยแพรวดาวที่โรงเรียนทีสิลูกและพวกหนูไม่ต้องมาที่นี่นะ” น้าผึ้งพูดเสียงเบา ๆ เล็ดลอดผ่านสัญญาณโทรศัพท์ออกมา
“ทางเราไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์นะครับ คุณ!!!” ตู๊ด ๆ ๆ ๆ ก่อนที่สัญญาโทรศัพท์ของน้าผึ้งจะตัดไป
ฉันเองก็รีบไปรับตัวยัยแพรวดาวทันที เพราะนี่ก็เลยเวลาน้องเลิกเรียนมาสักพักแล้ว อีกอย่างก็คือยัยดาวไม่เคยนั่งรถเมล์หรือรู้เส้นทางการเดินรถใด ๆ เลย ทำให้ฉันกับน้าผึ้งต้องสอนจนกว่ายัยแพรวดาวจะชินกับสถานะที่เปลี่ยนไปของบ้านเรา
แม้ว่าฉันจะโทร. หากี่สิบสาย น้องก็ไม่ยอมรับสายเลยสักที… ยิ่งทำให้ฉันยิ่งร้อนรนใจ
@โรงเรียน
ในเวลาตอนเย็นที่เด็กทุกห้องเลิกเรียนกันไปหมด รถของทั้งครูและผู้ปกครอง
ค่อย ๆ ทยอยออกกันไปทีละคันสองคัน
“แพรวดาว หายไปไหนของหนูนะ” ฉันพูดอย่างเป็นกังวลและเดินกลับไปถามครูที่หน้าประตูทางเข้าออกของโรงเรียน เพียงแต่ว่า
“จริง ๆ น้องแพรวดาวมีคนมารับไปแล้ว เห็นบอกว่า เป็นลูกน้องคนสนิทของคุณพ่อ ทางเราจึงปล่อยน้องไป” คุณครูหน้าวัยรุ่นพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย
“เดี๋ยวนะคะ นั่นไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่เด็ก คุณปล่อยออกไปได้ยังไง???” ฉันถามกลับไปเชิงต่อว่า
“ตัวเด็กเองก็ดูยินยอมจะไปกับเขา ทางเราเลยคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่คะ” เธอก็เถียงกลับมาด้วยสีหน้าที่เริ่มวิตกกังวล
“ถ้าคุณอยากดูกล้องเดี๋ยวดิฉันเปิดให้ได้นะคะ” ครูสาวคนนั้นเริ่มกลัวความผิดมากขึ้นและหาทางช่วยฉันในที่สุด
“คนสนิทของคุณพ่อ???” ฉันพยายามตั้งสติและคิดตามว่าคือใคร จนกระทั่งวิดีโอเปิดออกมาเป็น...
“นั่นมัน ลูกน้องของบลูไนท์” พอฉันเห็นใบหน้าชัด ๆ ก็แทบจะทรุด เพราะคนที่ลักพาตัวยัยแพรวดาวไปคือลูกน้องคนนั้น คนที่เข้ามาในบ้านเรากับเขา
“บลูไนท์ !!” ฉันเรียกชื่อนั้นพร้อมกำหมัดแน่น ก่อนจะสืบหาที่อยู่ของเขาทันที แม้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากที่จะได้ที่อยู่ของนักธุรกิจหมื่นล้านจากชื่อบริษัทสินค้าไอทีแนวหน้า แถมยังเป็นทายาทโดยตรงของบริษัทยักษ์ใหญ่เครือข่ายโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตของไทย
@บ้านหลังใหญ่โตมโหฬารหลังหนึ่งที่ไม่อนุญาตให้แท็กซี่เข้าไปส่ง
“มาหาใครครับ?” ยามใส่สูทผูกไทถามฉันอย่างสุภาพ
“ฉันมาหาคุณบลูไนท์ค่ะ” ฉันตอบไปด้วยความร้อนใจ
“ถ้าไม่ได้มีนัดเอาไว้ หรือคุณบลูไนท์ไม่ได้เชิญ ก็เข้าไม่ได้นะครับ” ยามส่ายหน้าทันที
“แต่เขาเอาน้องสาวของฉันมาขังไว้ข้างใน ฉันต้องเข้าไป"
"นะคะพี่ยามให้หนูเข้าไปช่วยน้องสาวหนูทีเถอะ”
ฉันยกมือไหว้ยามคนนั้นอย่างวิงวอน และเปลี่ยนน้ำเสียงจากแข็งเป็นโอนอ่อนทันที
“ไม่ได้จริง ๆ ครับ ผมทำตามหน้าที่” พี่ยามตอบอย่างตรงไปตรงมาและไม่มีแววตาสงสารใด ๆ ให้ฉัน
ครืดดดดดด
แต่จู่ ๆ ประตูบานใหญ่ก็เปิดกว้างออกด้วยระบบไฟฟ้า
“นายให้เธอเข้ามาได้” เสียงของคนใส่ชุดสีดำเดินมาบอกกับพี่ยามหน้าประตูรั้ว ซี่งแกก็รีบผายมือเชิญให้ฉันเข้าไปทันที
ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ อย่างพยายามจะไม่กลัว และเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นด้วยหัวใจที่หวิว ๆ
“คุณคะ น้องฉันอยู่ที่ไหน?” ฉันถามบอดี้การ์ดชุดดำคนนั้น แต่เขาก็ไม่ตอบอะไรยังคงเดินนำต่อไปเรื่อย ๆ
“พี่พราว!!!!!”
เสียงร้องดังลั่นปนเสียงร้องไห้กลัวของยัยแพรวดาวดังขึ้นมาแต่ไกล เมื่อแพรวดาวเห็นหน้าของฉัน และจังหวะที่ฉันกำลังจะวิ่งไปหาน้อง เราทั้งคู่ก็ถูกรั้งเอาไว้ทันทีโดยแรงผู้ชายถึงสองคน
“เหลือแต่ภรรยามันสินะ” เสียงของใครอีกคนดังขึ้นขณะที่กำลังเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างฉันกับยัยแพรวดาว
“จับตัวน้องฉันมาทำไมกัน ทำแบบนี้ทำไม??” ฉันหันไปถามเขาอย่างไม่เข้าใจ
“พ่อเธออยู่ไหน????” เขาหันมาพูดกับฉันแค่ประโยคสั้น ๆ แววตาคมกริบจ้องเข้ามาด้านในอย่างพร้อมจะทำลายล้างชีวิตของฉันให้ย่อยยับ
“ฉันให้โอกาสพ่อเธอกับครอบครัวของเธอมามากเกินไปแล้ว!!!!” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและแข็งทื่อ
“หนูไม่รู้ว่าพ่อไปไหน หนูไม่รู้จริง ๆ”
ยัยแพรวดาวยังคงร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว และฉันอยากจะวิ่งเข้าไปกอดน้องเหลือเกิน เพียงแค่ตอนนี้มีใครอีกคนที่เดินมาหยุดตรงหน้าของฉัน และมองฉันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“100 กว่าล้านไม่ใช่เงินน้อย ๆ แต่ที่ฉันเจ็บกว่าการโกงเงินคืออะไรรู้ไหม???” เขาพูดกับฉันและมองหน้าราวกับคิดว่า ฉันคือพ่อที่กำลังรับฟังอยู่
“พ่อเธอเอาข้อมูลความลับลูกค้า และความลับของบริษัทไปขายจนหมด คนทรยศแบบพ่อเธอ ช่วยฉันคิดทีสิ ว่าจะฆ่ามันด้วยวิธีไหนดี” เขาก้มลงมากระซิบข้างใบหูของฉัน