Ep.1 Call me devil

3373 Words
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับนิยายเรื่องนี้. ( แก๊งหมาป่า ) BAD BOY SET ME FREE รักร้ายผู้ชายซ่อนผี จีซัส BAD DEJAVU เพื่อนรักหรือรักเพื่อน แอลตัล SEXAHOLIC ผู้หญิงขาดเซ็กส์ไม่ได้ มอร์ฟิน FIRST LOVE เผลอรักหมกใจผู้ชายแบดบอย ครูซ gr Ep.1 Call me devil PIB-PREAW’S STORY Let's begin... “ของขวัญสำหรับลูกสาวคนเก่งของพ่อที่เรียนจบสามปีครึ่ง แถมยังได้เกียรตินิยมอันดับ 1 อีกต่างหาก” คุณพ่อโอบกอดฉันเอาไว้อย่างเอ็นดูและรักใคร่ในวันที่ฉันกลับมาถึงบ้านที่เมืองไทยหลังจากที่ฉันได้ทุนไปเรียนที่ประเทศออสเตรเลีย ด้าน Business Management หรือด้านการจัดการบริหารทางธุรกิจ ของขวัญที่พ่อว่า ก็มีน้าผึ้งเดินถือของขวัญนั้นเอามายื่นให้กับฉัน “น้ายินดีด้วยนะ พริบพราว” น้าผึ้ง ภรรยาของคุณพ่อก็เดินมาจับมือร่วมแสดงความยินดีกับฉันด้วยอีกคน ก่อนจะส่งกล่องของขวัญเล็ก ๆ สีครีมผูกด้วยโบว์สีชมพูให้กับฉัน “ขอบคุณนะคะน้าผึ้ง” ฉันก็น้อมรับอย่างมีมารยาท พอแกะกล่องเปิดดูก็ต้องตกใจ เพราะว่า “มัน... แพงเกินไปหรือเปล่าคะพ่อ?” ฉันถามอย่างไม่กล้ารับ กุญแจรีโมตรถ BMW ใหม่เอี่ยมที่อยู่ในกล่องที่เหมือนเพิ่งซื้อมาจากโชว์รูมหมาด ๆ ด้วยป้ายการ์ดที่บอกวันเดือนปีที่ท่านเพิ่งซื้อ และการ์ดของสมนาคุณต่าง ๆ “ปีนี้พ่อได้โบนัสเยอะน่ะลูก” พ่อยิ้มแย้มด้วยสายตาที่มีความสุข ที่ได้มอบของขวัญให้กับฉัน แต่พอฉันมองดูทุก ๆ อย่างในบ้าน ล้วนเต็มไปด้วยของมีค่า มีราคาจนน่าตกใจอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนเราไม่ได้ซื้อของที่ราคาแพงได้มากขนาดนี้ “พี่พราว!!” เสียงเด็กผู้หญิงวัยย่าง 16 ปีตะโกนเรียกฉันลั่น ก่อนจะวิ่งถลาเข้ามากอดอย่างคิดถึง “ไงจ๊ะ แพรวดาว สบายดีนะ” ฉันก็ทักทายแพรวดาวเช่นเคย จริง ๆ แพรวดาวก็คือลูกสาวของน้าผึ้ง และเป็นน้องสาวแท้ ๆ ที่เกิดจากพ่อเดียวกับฉัน และเป็นน้องสาวที่ฉันรักมากที่สุด “นี่... เราย้ายโรงเรียนแล้วเหรอ?” ฉันหันไปถามทางพ่อกับน้าผึ้งอย่างแปลกใจ เพราะเมื่อก่อนแพรวดาวเรียนโรงเรียนรัฐบาลชื่อดัง แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาใส่ลายสกอตเหมือนอยู่โรงเรียนนานาชาติซะมากกว่า ซึ่งนานาชาติที่ว่าค่าเทอมหลายแสนอยู่เหมือนกันนะ “พ่อบอกว่า อยากให้แพรวดาวเก่งภาษาอังกฤษแบบพี่พราว เลยส่งหนูไปเรียนที่นี่ค่ะ” แพรวดาวตอบฉันทันที และยังคงกอดฉันแน่นไม่ปล่อยง่าย ๆ “พราวมาเหนื่อย ๆ น้าว่าไปอาบน้ำ และเดี๋ยวลงมาทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันดีกว่านะลูก เดี๋ยวน้ารีบไปเตรียมทำกับข้าวสำหรับมือเย็นดีกว่าเนอะเด็ก ๆ” น้าผึ้งเอ่ยและเดินมาช่วยฉันถือกระเป๋า แต่ฉันก็ส่ายหน้าเพราะไม่อยากรบกวนน้าผึ้ง ด้วยกระเป๋าที่น้ำหนักเยอะมากด้วย "จะทำทำไมให้เหนื่อยล่ะคุณ ผมจองร้านอาหารไว้แล้ว… รีบไปอาบน้ำและเดี๋ยวออกไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานกันเถอะลูก" พ่อก็เข้ามาช่วยฉันยกกระเป๋าขึ้นไปเก็บที่ห้องนอนเช่นกัน แม้จะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ฉันก็ไม่ทันได้คิดอะไรมากนัก ด้วยความที่บ้านของเราใช้ชีวิตเรียบง่ายมาตลอด ฐานะของเราก็อยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่มีคุณพ่อที่เป็นเสาหลักของบ้านเพียงคนเดียว เราจึงมักจะประหยัดและไม่ฟุ่มเฟือยเท่าไหร่ "หนูคงต้องรอใบจบก่อนนะคะ และก็กลับไปทำเรื่องรับปริญญาก่อน จึงจะสามารถทำงานได้ และช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อได้..." ฉันหันไปบอกคุณพ่อหลังจากที่เราเดินขึ้นมาถึงห้องนอนของฉัน "ไม่เห็นต้องรีบทำงานขนาดนั้นเลยนี่พราว แค่พราวคนเดียวพ่อเลี้ยงดูได้สบายอยู่แล้ว..." พ่อวางกระเป๋าและลูบผมของฉันอย่างเอ็นดู "หนูอยากช่วยพ่อหารายได้อีกทางนี่คะ พ่อจะได้ไม่ต้องทำงานหนักแบบทุกวันนี้..." ฉันตอบไปตามตรงแม้ว่าจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่แปลก ๆ ไป พ่อหลบสายตาของฉันเล็กน้อย "อื้มม... งั้นก็แล้วแต่พราวแล้วกันนะลูก" พ่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินออกไป "พ่อคะ… พ่อมีอะไรที่อยากบอกหนูบ้างไหม?" ฉันตัดสินใจเอ่ยถามไปขณะที่พ่อกำลังจะปิดประตูห้องของฉัน "ไม่นี่ลูก" พ่อยิ้ม ๆ ก่อนจะปิดประตูลง ฉันกำกุญแจรถบีเอมฯ คันใหม่ในมืออย่างรู้สึกไม่ค่อยดี เหมือนมีลางสังหรณ์แปลก ๆ อื้ออออ อื้ออออ ไม่นานโทรศัพท์ที่เพิ่งใส่ซิมไทยของฉันมันก็สั่นขึ้นมา และเบอร์นั้นก็คือ ____พี่จินนี่____ "ยินดีต้อนรับกลับไทยจ้ะ คุณน้อง" เสียงปลายสายใสแจ๋วอย่างร่าเริง "สวัสดีค่ะพี่จินนี่" ฉันเอ่ยตอบไปอย่างงง ๆ ที่พี่จินนี่โทร. มาหา พี่จินนี่เป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่ฉันรู้จักและสนิทดี ซึ่งตอนนี้พี่เขาผันตัวไปเป็นผู้จัดการให้ดาราดัง ๆ แล้ว "ช่วงนี้ว่าง ๆ อยู่หรือเปล่า พราว" พี่จินนี่ถามด้วยเสียงอ้อน ๆ "อ่อ... พราวว่างนะคะ พี่จินนี่มีอะไรให้พราวช่วยหรือเปล่า" ฉันก็ตอบไปตามจริง "พอดีพี่เห็นในเฟซบุ๊กว่าพราวเรียนจบแล้ว... พี่ยินดีด้วยนะหนู ที่เรียนจบแล้วจากมหา’ลัยชื่อดัง แถมเรียนจบเกียรตินิยมด้วยอีกต่างหาก" พี่จินนี่พูดด้วยน้ำเสียงยินดี "อ่อ… ขอบคุณค่ะพี่จินนี่" ฉันก็คุยกับพี่จินนี่อย่างคุ้นเคย ๆ "คืองี้นะลูก พี่อะมีเรื่องจะถามพริบพราวหน่อย" พี่จินนี่ก็เริ่มพูดเข้าประเด็นทันที "คือว่าระหว่างที่พริบพราวรอทำเรื่องรับปริญญาน่ะ สนใจมาทำงานแทนพี่สักเดือนสองเดือนไหมจ๊ะ?" พี่จินนี่เริ่มอธิบายงานของเธอให้ฉันฟัง "อ่อ…" ฉันก็ยังคงนิ่งเพื่อฟังรายละเอียดต่อ... "ตอนนี้พี่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณคริส พราวพอรู้จักไหม?" พี่จินนี่พูดขึ้นถึงงานของเธอ "เออ… เดี๋ยวพราวเปิดหาข้อมูลในเน็ตก็ได้ค่ะ พอดีพราวไม่ได้อยู่ไทยนาน" ฉันตอบอย่างเกร็ง ๆ เพราะเอาจริง ๆ ตั้งแต่ไปเรียนที่ออสเตรเลียมา ฉันก็ไม่มีเวลาติดตามดูข่าวบันเทิงอะไรในไทยเลย ละครนี่แทบไม่รู้จัก "อะ ๆ ถือว่าก็ดีแล้วล่ะที่เราไม่ตามข่าวคาว ๆ พวกบันเทิงในไทยเยอะ เพราะข่าวพวกนั้นมีเรื่องไม่จริงซะเยอะ โดยเฉพาะเรื่องของคุณคริสที่นักข่าวล้วนแต่นั่งเทียนเขียนซะส่วนใหญ่" พี่จินนี่ตอบกลับมา "คือว่าพี่กำลังจะขอลางานไปหาแฟนที่เกาหลีน่ะ และกลัวว่าจะไม่มีคนดูคิวงานให้คุณคริส พอเห็นเฟซบุ๊กพริบพราวเด้งขึ้นมา พี่ก็เลยคิดถึงเราเป็นคนแรกเลย เพราะพราวคือคนที่พี่ไว้ใจมากที่สุดถึงที่สุด..." พี่จินนี่พูดต่อด้วยเสียงที่มั่นใจในฉัน "งั้นก็พอดีเลยค่ะ หนูคิดว่าจะลองหาอะไรทำอยู่พอดีเลย งานนี้ดูน่าสนใจและท้าทายความสามารถหนูเช่นกัน..." ฉันตอบไปอย่างยินดี "งั้นวันพรุ่งนี้ สะดวกแวะมาเจอพี่กับคุณคริสหน่อยไหมลูก" พี่จินนี่รีบตอบมาอย่างดีใจ "ได้เลยค่ะพี่จินนี่ แล้วหนูต้องเตรียมตัวอะไรไหม?" ฉันเตรียมจดรายละเอียด "ไม่ต้องเลย พี่ว่าแค่พี่สอนนิดหน่อย พริบพราวก็ทำได้แล้วล่ะ เก่งขนาดนั้น" พี่จินนี่ยังคงพูดชมฉันไม่หยุด "ไม่ได้เก่งขนาดนั้นนะคะพี่จินนี่ ชมหนูเกินไปแล้ว" ฉันก็ตอบไปเพราะว่าฉันเองไม่ได้เก่งและรู้ไปทุกอย่างสักหน่อย "โอเค ๆ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะลูก สถานที่เดี๋ยวพี่ส่งให้ในข้อความ" พี่จินนี่รีบพูดขึ้นมา "โอเคค่ะพี่จิน" ฉันตอบรับไปทันที "ขอบคุณมากนะพริบพราว พี่รบกวนหนูแค่นี้แหละ บ๊ะบายจ้า" แล้วพี่จินนี่ก็วางสายไป "สวัสดีค่าาพี่จิน…" หลังจากที่กดวางสายของพี่จินนี่ไป ...MorFin miss called... มีสายของใครบางคนโทร. แทรกเข้ามาในระหว่างที่ฉันกำลังคุยกับพี่จินนี่พอดี และคนนั้นก็คือ...เขา...แฟนเก่าและแฟนคนแรกของฉัน เราไม่ได้ติดต่อกันมานานเกือบสามปี ...และวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันเปิดเบอร์มือถือเบอร์เดิมที่ใช้ในไทย... __________ @ร้านอาหาร บนเรือสำราญ ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา "กินเยอะ ๆ สิ พริบพราวนี่ลูกผอมลงไปเยอะเลยนะ" พ่อตักอาหารบนโต๊ะวางในจานของฉัน บรรยากาศในครอบครัวของเรายังอบอุ่นเหมือนเดิม จริง ๆ แล้วแม่ของฉันท่านเสียไปนานแล้ว ส่วนน้าผึ้งก็เปรียบเสมือนแม่ของฉันอีกคนหนึ่งที่ดูแลฉันมาตั้งแต่เล็ก ๆ บ้านเราไม่เคยมีปัญหาเรื่องแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงอะไรนั่นเลย เพราะน้าผึ้งเองก็มาคบหากับพ่อหลังจากที่แม่ฉันเสียไปหลายปีแล้ว และเธอก็ไม่เคยเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับแม่เลยสักครั้ง และยังรักและเมตตาฉันเหมือนลูกแท้ ๆ "อ้าวคุณพสุธ!!!" เสียงของผู้ชายใส่สูทคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายพ่อของฉันทันทีที่เห็น "คุณภูผา สวัสดีครับ ๆ" พ่อยกมือไหว้เขาทันที จนทำให้ทุกคนบนโต๊ะต้องไหว้ตามทั้งที่คนตรงหน้าดูเด็กกว่าพ่อตั้งหลายปีด้วยซ้ำ "ไม่คิดเลยนะครับว่าจะมาเจอคุณที่นี่" ผู้ชายคนนั้นหันมามองทางฉันและนิ่งไปชั่วครู่ "นาน ๆ ทีจะออกมาฉลองนอกบ้านน่ะครับ พอดีว่าลูกสาวคนโตของผมเพิ่งเรียบจบมาจากออสเตรเลียเลยถือโอกาสมาฉลองกัน" พ่อลุกขึ้นจากโต๊ะและพูดกับคนตรงหน้าอย่างให้ความสำคัญ "จริงเหรอครับเนี่ย งั้นผมขอร่วมยินดีด้วยนะครับ" เขาหันมาทางฉันและยิ้ม "เอ่อ... ขอบคุณค่ะ" ฉันก็ตอบไปอย่างงง ๆ “งั้นไว้ถ้าคุณภูผาต้องการเมเนจเมนต์ฝีมือดี ฝากยัยพริบพราวไว้พิจารณาด้วยนะครับ” พ่อเตรียมฝากฝังฉันเอาไว้เต็มที่ แม้ว่าฉันอยากจะขัดท่านเหลือเกิน แต่ก็ไม่กล้าจะฉีกหน้าท่านในตอนที่ท่านกำลังคุยกับแขกที่ดูท่าว่าน่าจะสำคัญอย่างคุณคนนี้... “มันแน่อยู่แล้วสิครับ... คุณพ่อก็เป็นมือหนึ่งเรื่องบัญชี ผมเชื่อว่าลูกสาวคุณก็เก่งไม่แพ้กัน ยังไงผมยินดีร่วมงานด้วยอยู่แล้ว” คุณภูผาหันมายิ้มให้ฉันหลายครั้ง จนฉันเองก็ยิ้มแห้ง ๆ ไป "งั้นมื้อนี้ผมขอถือโอกาสเป็นเจ้ามือให้แล้วกัน ถือเป็นของขวัญแสดงความยินดีที่… ลูกสาวคนสวยของคุณพสุธเรียนจบ และก็ขอให้รับบริษัทไวน์เมาเทนส์ไว้พิจารณาเป็นที่แรกด้วยก็แล้วกันนะครับ..." เขาพูดอย่างสุภาพพลางขยิบตาให้ฉันเล็กน้อย "ขอบคุณมากนะครับคุณภูผา อีกไม่นานเกินรอแน่ ๆ" พ่อเองก็ดูมีท่าทียินดีปรีดา "ผมเองก็นับวันรอคุณพสุธอยู่แล้ว..." คุณภูผาอะไรนั่นตบไหล่ของพ่อฉัน ก่อนจะยิ้มให้ทุกคนในโต๊ะอย่างเป็นมิตร "ที่ไหนให้ผลตอบแทนผมดี ผมก็เลือกที่นั่นอยู่แล้ว ปากท้องคนในครอบครัวสำคัญนะคุณว่าไหม...” พ่อตอบกลับและทั้งคู่ก็หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ "เสียดายจังที่ผมมีนัดคุยกับลูกค้า ไว้โอาสหน้าผมขอร่วมโต๊ะกับทุกคนด้วยนะครับ วันนี้ขอตัวก่อน" เขาพูดทิ้งทาย “เชิญครับ ๆ คุณภูผา” พ่อฉันก็ยิ้มรับและผายมือเชิญเขาทันที "ไวน์เมาเทนส์?" ฉันทวนชื่อบริษัทนั้นเบา ๆ "ไว้พ่อจะเล่ารายละเอียดให้ฟังอีกที" พ่อหันมาบอกฉันเมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของฉัน หลังจากที่คุณภูผาอะไรนั่นเดินออกไป... ในตอนแรกฉันก็อยากจะถามพ่อ แต่ว่าวันนี้ฉันมัวแต่ตั้งคำถามกับท่านมากจนเกินไปหรือเปล่า เพราะเอาจริง ๆ มันคงไม่ได้มีอะไรหรอกมั้ง ฉันไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายในงานของท่านหรือเปล่านะ "กินผักด้วยสิ แพรว" ฉันตักสลัดให้น้องสาวที่ไม่ยอมกินผักเลยสักนิด "มันขมนี่ พี่พราว" เด็กน้อยเอาแต่ส่ายหน้า “แต่มันดีต่อสุขภาพนะแพรว” ฉันลูบหัวของน้องสาวเบา ๆ พอกลับมาถึงบ้าน พ่อก็รีบเข้าห้องทำงานและเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในนั้น “มีเรื่องจะคุยกับพ่อเหรอลูก?” น้าผึ้งที่เดินเข้าไปเสิร์ฟกาแฟเห็นฉันยืนอยู่หน้าห้องทำงานของพ่อก็เลยถามขึ้น “เปล่าหรอกค่ะ” ฉันมองผ่านห้องกระจกทำงานเข้าไป เห็นพ่อกำลังนั่งพิมพ์เอกสาร ที่จัดเรียงเต็มโต๊ะไปหมด “พ่อหนูเขาบ้างานไม่เปลี่ยนไปเลย” น้าผึ้งมองไปที่พ่ออย่างยิ้ม ๆ “งั้นหนูไม่กวนเวลาพ่อดีกว่าค่ะ เข้านอนก่อนนะคะน้าผึ้ง พรุ่งนี้หนูมีไปสัมภาษณ์งานพอดี” ฉันจับไหล่ของน้าผึ้งเบา ๆ และยิ้มให้เธออย่างให้กำลังใจ เพราะน้าผึ้งเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือนที่ดีคนหนึ่ง เธอคงไม่ยอมนอนง่าย ๆ แน่ ถ้าพ่อยังคงทำงานอยู่แบบนี้ “หลับฝันดีนะลูก และก็ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะพราว” น้าผึ้งยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน วันต่อมา... “สวัสดีค่ะพี่คริสตัล หนูพริบพราวนะคะ” ฉันยกมือไหว้สวัสดีดารานางแบบรุ่นพี่ตรงหน้า หรือว่าที่เจ้านายคนใหม่ของฉันนั่นแหละ “อื้ม รุ่นน้องพี่จินนี่ใช่ไหม” เธอถามเสียงนิ่ง ๆ “ใช่ค่ะ” ฉันก็ตอบพร้อมกับก้มหัวเล็กน้อย เธอก็พยักหน้ารับรู้ และยิ้มบาง ๆ “ขาพี่คริสหายดีหรือยังคะ?” ฉันเอ่ยถามไปตามรายละเอียดที่พี่จินนี่ทิ้งเอาไว้ให้เรื่องการดูแลคุณคริส และก็อุปนิสัยส่วนตัวของเธอ “ก็ดีขึ้นแล้วนะ” เธอตอบกลับมาและจับที่ขาของตัวเองดูและส่ายหน้าเบา ๆ “แล้วจะเริ่มรับงานเดินแบบเลยไหมคะ?” ฉันมองลงที่ขาของเธอที่ช้ำบ้างเล็กน้อย แต่ก็ต้องถามเจ้าตัวก่อนจะรับงานให้อยู่ดี “ยังดีกว่า ไม่อยากใส่ส้นสูง” เธอส่ายหน้าทันที “โอเคค่ะ” ฉันตอบรับก่อนจะขีดฆ่ารายชื่องานที่เกี่ยวกับเดินแบบและส้นสูงทั้งหมดทิ้ง และยังคงนั่งดูคิวงานไปพลาง ๆ ในขณะที่พี่คริสก็นั่งทานอาหารของเธอไป บรรยายกาศในห้องวันแรก ยอมรับว่าค่อนข้างเกร็งอยู่เหมือนกัน แต่การจัดการคิวดาราไม่ได้ยากขนาดนั้นถ้าเทียบกับเลขหุ้น และการจัดสรรจำนวนสินค้า หรือบุคคล เรื่องนี้คือง่ายสำหรับฉันมาก ๆ และฉันจะทำมันให้ดีที่สุด “เอ่อ... พี่คริสคะ พอดีตอนนี้มีงานนึงเข้ามาใหม่...” ฉันเว้นระยะเพื่อตั้งคำถามกับคนตรงหน้า “งานอะไร?” เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย “เห็นเขาบอกว่าเป็นงานที่พี่เคยรับไว้” ฉันตอบไปตามเอกสารและตารางงานในไอแพดที่ขึ้นโชว์มาแบบนั้น “เคยรับไว้เหรอ?” เธอวางช้อนข้าวและงง ๆ “งานของคุณเฟียร์ค่ะ” ฉันอ่านชื่อจนเจอชื่อของเจ้าของงาน “งานของเฟียร์งั้นเหรอ??... โปรเจกต์มหา’ลัยอะนะ ...ถ่ายเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ??” เธอยื่นมือมาเพื่อขอดูเอกสารที่ฉันกำลังเพ่งเล็งอยู่ “ค่ะ แต่ว่าพี่เขาโทร. มาหาเมื่อกี้ ว่าเขาอยากคุยกับคุณคริส คุณคริสพอจะสะดวกไหม??” ฉันตอบไปก่อนจะยื่นโทรศัพท์ที่ใช้สำหรับรับงานถ่ายแบบให้คุณคริสดูอีกที “อ่อ ...เดี๋ยวฉันคุยเอง” เธอพยักหน้าก่อนจะรับไป “ค่ะ” ฉันก็ตอบอย่างรับรู้ ไม่นานเธอก็หยิบโทรศัท์ตัวเองขึ้นมากด ๆ ตามเบอร์ที่ฉันยื่นส่งให้ดูเมื่อกี้ หลังจากที่คุณคริสเธอคุยโทรศัพท์กับทางเจ้าของงาน เราก็สรุปได้แค่ว่า งานต้องมีการถ่ายแบบเพิ่มเติม เป็นตอนพิเศษ และคุณคริสเองก็ยินดีที่จะถ่ายให้ “พรุ่งนี้แทรกคิวถ่ายโปรโมตของมหา’ลัยให้ทีนะ” เธอหันมาบอกกับฉัน “ได้ค่ะ งั้นขออนุญาตแจ้งตารางงานวันพรุ่งนี้นะคะ” ฉันเอ่ยตอบไปก่อนจะไล่ลิสต์งานของคุณคริสในมืออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “ตอนแรกมีงานเปิดตัวแบรนด์เสื้อผ้าที่ห้างค่ะ แต่ว่ามีการเดินแบบด้วย และหนูยกเลิกให้เรียบร้อยแล้ว​ เห็นพี่คริสบอกว่าไม่อยากใส่ส้นสูงเดิน” ฉันอธิบายต่อไปโดยคุณคริสก็รับฟังต่อไป “อืม ดีมาก” เธอพยักหน้าอย่างรับทราบ “สรุปพรุ่งนี้มีแค่งานถ่ายโปรโมตนะ” เธอถามย้ำอีกครั้ง “ใช่ค่ะ” ฉันก็ตอบไปอย่างมั่นใจ “โอเค” เธอตอบมาสั้น ๆ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างเหน็ดเหนื่อย เหมือนเธอต้องการเวลาพักผ่อน ฉันจึงไม่อยากจะอยู่รบกวนเวลาส่วนตัวของเธอมากนัก อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่ได้มีตารางงานอะไรอีกเลย “งั้นให้หนูกลับเลยไหมคะ” ฉันถามด้วยความเกรงใจ ด้วยเห็นท่าทีที่อิดโรยของคุณคริส “อืม” เธอยิ้มตอบ “แล้วพรุ่งนี้?” ฉันเก็บกระเป๋าสมุดโน้ตก่อนจะหันไปถามเธออีกครั้ง “อ่อ... เจอกันที่สตูดิโอเลย 10 โมง” เธอหลับตาและนวดขมับตอบกลับมา “ค่ะ” ฉันตอบรับก่อนจะยกมือไหว้เธอและเดินออกมาจากคอนโดและปิดประตูให้เจ้านายคนสวยของฉันทันที ฉันขับรถบีเอมฯ คันใหม่ของตัวเองกลับมาถึงบ้านอย่างเหน็ดเหนื่อย เพราะแน่แหละว่าก่อนจะไปเจอคุณคริส พี่จินนี่ต้องติวและให้ฉันจำอะไรมากมายอยู่เหมือนกัน และฉันเองก็ไม่อยากทำงานพลาดด้วย จึงหมดเวลาไปกับการเรียนรู้งานเรื่องของพวกเหล่าดาราที่ตัวฉันแทบไม่เคยสนใจมาก่อนจริง ๆ @บ้าน... ท้องฟ้าในช่วงค่ำ ๆ สีฟ้าอ่อน ๆ ใกล้มืดมิดสนิท... “กลับมาแล้วค่ะ” ฉันตะโกนบอกคนในบ้าน ที่วันนี้ดูเงียบเป็นพิเศษ “พ่อคะ... น้าผึ้ง... แพรวดาว...” ฉันเรียกหาทุกคนแต่ก็ไม่มีใครขานตอบทั้งที่รถก็อยู่ครบ และเวลาแบบนี้ทุกคนก็ควรจะกลับมาถึงบ้านแล้วนี่นา หรือว่าพวกเขาออกไปกินข้าว... ตุ๊บบบ!! ฉันถอยหลังไปชนกับใครอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เพียงแต่ว่า... “ไม่มีใครอยู่ที่บ้านหรอก!! พ่อเธอติดคุก... ส่วนเมียพ่อเธอกับลูกของเขา... ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าหายไปไหน" คนด้านหลังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและแข็งทื่อ... "แต่อีกไม่นานคงตามเจอแน่ ๆ” เขาพูดขึ้นแล้วมองสำรวจไปรอบ ๆ บ้าน และหยุดสายตาที่เย็นชานั้นไว้ที่ฉัน... “​นายเป็นใคร มาทำอะไรบ้านของฉัน??” ฉันยืนนิ่งและมองคนตรงหน้าอย่างหวาดกลัว เขาไม่ได้ดูเหมือนโจรหรือผู้ร้ายใด ๆ เพียงแต่แววตาของเขา น้ำเสียงของเขา มันทำให้ฉันกลัวจนสั่นไปหมดจริง ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD