การเดินทางครั้งนี้ แม้เป็นเพียงการไปมอบเสบียงช่วยเหลือ แต่หากสามารถช่วยแก้ไขปัญหาภัยแล้งได้นั้น จะเป็นความชอบอันยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง ภัยธรรมชาตินั้นยังเป็นภัยที่รุนแรงและน่ากลัวกว่าสงครามเสียอีก เพราะภัยธรรมชาตินั้นไม่อาจอุทธรณ์หรือร้องขอความปรานีได้เลย หลายครั้งที่การสูญเสียจากน้ำท่วม ภัยแล้ง หรือโรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนล้มตายเป็นเบือ น่ารันทดยิ่งนัก
รถม้าของคุณหนูเฟิงคันใหญ่และกว้างขวาง ปูฟูกไว้จนนิ่มสบาย แม้ไม่หรูหราแต่ก็นับว่าดีที่สุดสำหรับการเดินทาง ต่อให้นั่งทั้งวันก็คงไม่เป็นไร ทั้งยังมีพื้นที่เอนนอนได้เหลือเฟือ ส่วนสาวใช้ทั้งสองของนางนั้นนั่งเรียบร้อยยังอีกมุมหนึ่ง
รถม้านี้ถูกออกแบบให้ที่นั่งเป็นสองระดับ ระดับล่างสุดนั้นอยู่ใกล้ทางออก และมีพื้นที่แคบๆไว้ให้สาวใช้เพียงได้นั่งพักเท่านั้น นางให้สาวใช้ทั้งสองพักผ่อนได้ตามสบาย เพราะการเดินทางยังอีกไกล แต่สาวใช้ทั้งคู่ก็ไม่กล้าหละหลวม ยังคงตั้งใจทำหน้าที่ตนให้ดี
เกิดเป็นคุณหนูสกุลใหญ่นี่ ช่างได้รับการดูแลที่ดีจริงๆ เมื่อไม่มีสิ่งใดทำนางจึงแอบเปิดม่านเยี่ยมหน้าออกไปมองด้านนอกรถม้า เพื่อชมบรรยากาศบ้าง
สิ่งแรกที่พบคือคุณชายใหญ่ เขาขี่ม้ามาประกบด้านข้างรถม้าของนางพอดี เมื่อเห็นน้องสาวเปิดม่านเขาก็ส่งยิ้มทักทาย อะไร!? นี่พี่ชายนางตั้งใจจะขัดขวางการชมบรรยากาศของนางใช่หรือไม่ บังซะมิดเชียว นางจึงยิ้มแห้งๆค้อมศีรษะตอบกลับไป แล้วปิดม่านขังตนเองไว้ดังเดิม เป็นคุณหนูในห้องหอนี่ช่างยากแท้
เมื่อถึงเวลาพักม้า นางได้รับอนุญาตให้ลงมาเดินเล่นพักผ่อนบริเวณที่กำหนดเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย รอบๆบริเวณมีการจัดทหารปกป้องอย่างแน่นหนา ป้องกันการเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
“คุณหนูเจ้าคะ บริเวณนี้มีกล้วยไม้สวยงามแปลกตา องค์ชายรองจึงมีรับสั่งให้ทหารเก็บแล้วนำมามอบให้ท่านเจ้าค่ะ”
หญิงสาวมองไปที่กล้วยไม้ในมือสาวใช้คนสำคัญ ดอกเล็กๆสีม่วงสดสว่างพวงใหญ่ งดงามไม่น้อย กล้วยไม้นี้ไม่ได้ถูกเด็ดแต่ถูกแกะมาทั้งราก อืม.. ไม่เลว ผู้ชายให้ดอกไม้แสดงว่าผู้ชายมีใจแหละ ยังไงนางก็เป็นสตรีย่อมพอใจกับดอกไม้งาม นางจะรับไว้ก็แล้วกัน เฟิงอวี้หยวนยิ้มกับตนเองเงียบๆ เมื่อนึกถึงผู้ให้แล้วนางก็แย้มยิ้มมากขึ้นอีก เขาน่ารักชะมัด!
“เจ้าไปหาโถขนาดใหญ่มาใส่กล้วยไม้นี้เถอะ แล้วนำไปไว้ในรถม้าให้ข้าด้วย ไว้ข้าจะชื่นชมระหว่างทาง”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
เฟิงอวี้หยวนเด็ดกล้วยไม้ช่อหนึ่งมาให้สาวใช้ปักในมวยผมให้ กล้วยไม้ช่อสวยปักในมวยผมหนานุ่ม ส่งให้เจ้าของมันงดงามอ่อนโยนขึ้นอีกส่วน
ด้านกระโจมพักผ่อนขององค์ชายรอง นายกองหลี่กำลังคุกเข่ารายงานเรื่องที่ได้รับมอบให้ไปสืบ
“เป็นอย่างที่เราคาดการณ์ไว้พะยะค่ะ แถวนี้ไม่มีโจรป่าปรากฏ แต่หน่วยสอดแนมของเราพบกองกำลังกลุ่มหนึ่งอยู่ทางด้านชายป่าทางทิศเหนือ องค์ชายจะให้จัดการเลยหรือไม่พะยะค่ะ”
“ไม่ต้อง ปล่อยพวกมันไว้ ข้าจะรอดูละครของพี่ใหญ่ ช่วงนี้ข้ากำลังเบื่อ คงจะมีเรื่องตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง” ชายหนุ่มแสยะยิ้มกล่าวเย้ยหยัน เมื่อนึกถึงความพยายามของอีกฝ่าย จวิ้นอ๋องสำหรับเขาก็เป็นเพียงหนูบ้านตัวอ้วน ปล่อยให้วิ่งเล่นซุกซนบนฝ่ามือ เขาจะกำจัดทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้
“ดอกกล้วยไม้ถึงมือคุณหนูเฟิงแล้วรึไม่” เขาเอ่ยถามองครักษ์ข้างกายที่ได้รับมอบหมายให้ไปหากล้วยไม้ป่าไปฝากคุณหนูเฟิง เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นดอกอะไรด้วยซ้ำ
“ทูลองค์ชาย กระหม่อมมอบมันให้คุณหนูใหญ่แล้วพะยะค่ะ”
“ดี เจ้าจับตามองไว้ด้วย จวิ้นอ๋องติดต่อนางหรือไม่” เขาไม่เชื่อว่าโอกาสที่มีในครานี้หยางหย่งหมิงจะไม่ถือโอกาสใกล้ชิดนาง ทำไมเขาจะมองไม่ออก หากไม่มีแผนการ ชายผู้นั้นไม่เคลื่อนไหวสิ่งใดแน่ เขาคิดจริงๆหรือว่าตระกูลเฟิงจะหันไปสนับสนุนเขาเพราะคุณหนูเพียงผู้เดียว เว้นเสียแต่....
“รับด้วยเกล้าฯพะยะค่ะ”
นายกองหลี่เป็นนายกองผู้มีฝีมือและทำงานสืบข่าวให้องค์ชายมานาน เขาเป็นคนฉลาดเฉลียวหูตาว่องไว นอกจากนายกองหลี่แล้วยังมีนายกองอีก 18 กองธงที่ขึ้นตรงต่อองค์ชายรอง เป็นขุมกำลังที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังอิจฉา
เมื่อการพักม้าเสร็จสิ้นทั้งขบวนก็เริ่มออกเดินทางต่อ ตอนนี้ทั้งขบวนต้องเดินทางผ่านป่าทึบที่กินพื้นที่หลายลี้และไม่ค่อยมีชาวบ้านใช้เส้นทางนี้สัญจรเพราะปลายทางไม่มีสิ่งใดรอ เว้นแต่ความแห้งแล้งและความยากแค้นตั้งแต่ 3 ปีก่อน แต่ในป่านี้ยังมีสมุนไพรและสัตว์ป่าอาศัยอยู่บ้าง การเก็บสมุนไพรและล่าสัตว์ยังเป็นอาชีพของชาวบ้านแถบนี้ไว้ทำเพื่อยังชีพ
********************
ในวังหลวง ตำหนักเทียนหลงก็ยังคงเป็นเช่นทุกวัน ฮ่องเต้นั่งหน้าดำอยู่หลังโต๊ะทรงงานตัวใหญ่ ช่วงนี้มีฎีการ้องทุกข์เกี่ยวกับความแห้งแล้งในหลายพื้นที่ แคว้นหานก็เช่นนี้ฤดูร้อนก็แล้ง ฤดูหนาวก็หนาวเหน็บจนทนไม่ไหว ฤดูฝนน้ำก็ท่วมน้ำป่าไหลหลาก บ้านเรือนเสียหายเป็นเรื่องปกติ ภาษีก็จัดเก็บได้บ้างไม่ได้บ้าง
ที่เดียวที่ยังคงสุขสบาย ไม่ค่อยมีผลกระทบ ก็คงเป็นเมืองหลวงแห่งนี้เท่านั้น หากจะกระทบบ้างก็น้อยมาก สมกับที่เป็นพื้นที่สำคัญในการตั้งเมือง เมื่อเป็นเช่นนั้น ท้องพระคลังของเขาก็ไม่เคยเต็มเลยซักปี ตั้งแต่เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้รัชสมัยหยางหลง จนบัดนี้รัชศกที่สิบเก้า อำนาจการบริหารอยู่ในมือเขาเพียงครึ่ง เพราะอีกครึ่งอยู่ในมือฮองเฮา
อีกทั้งผลประโยชน์ส่วนใหญ่อยู่ในมือขุนนาง โดยเฉพาะขุนนางตระกูลเฟิง ที่เบื้องหน้าทำงานในราชสำนัก เบื้องหลังทำการค้า การเงินมั่งคั่ง ตำแหน่งมั่นคง ถึงแม้ว่าเขาอยากจะฉกฉวยผลประโยชน์คืนมามากเพียงใด แต่ก็ไม่เคยจะสำเร็จ ขุนนางพวกนั้นก็เหมือนเหลือบไร เกาะบัลลังของเขาอยู่ เพื่อสูบเลือดสูบเนื้อ ไม่ได้เห็นหัวเขาที่เป็นฮ่องเต้
ด้วยมีฮองเฮาและฮองไทเฮาหนุนหลัง เขาไม่เคยอยากได้ฮองเฮาจากสกุลเฟิง ยิ่งตอนนี้ยิ่งอยากกำจัดให้สิ้นซาก เขาพยายามสร้างขุมอำนาจของตนเองขึ้นมาเพื่อต่อกรกับคนสกุลเฟิง แต่รู้สึกว่ายิ่งดิ้นเท่าไหร่ เวลาเขายิ่งเหลือน้อยลง เขารู้ว่าอีกไม่นานตระกูลเฟิงต้องให้องค์ชายรองชิงบัลลังของเขาแน่
“ฝ่าบาท ท่านรองแม่ทัพไป๋ซานขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” ในขณะที่กำลังกลัดกลุ้มกับปัญหาที่ยังหาทางแก้ไม่ได้ ขันทีชราก็แจ้งว่ารองแม่ทัพไป๋ แม่ทัพคู่ใจที่นับว่าเป็นคนของเขาอย่างแท้จริงมาพบตามคำสั่ง
“ให้เข้ามา”
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
“ลุกขึ้นเถอะ เรื่องที่ให้ไปจัดการ ไปถึงไหนแล้ว”
“กราบทูลฝ่าบาท การฝึกกองกำลังหลงหลิง ได้เริ่มขึ้นแล้ว กองกำลังที่เราสามารถรวบรวมได้ในครั้งนี้ มีมากถึงสองเท่า นับรวมแล้วเหนือกว่ากองกำลังกวางซีแน่นอนพะยะค่ะ”
“ดี ทำตามแผนที่เราวางไว้ หากพร้อมเมื่อไหร่ ข้าคงรวมอำนาจทางตอนเหนือได้สำเร็จ” ดินแดนทางเหนือเป็นดินแดนที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าสภาพอากาศในฤดูหนาวจะเลวร้ายไปบ้าง แต่มีพื้นที่กว้างใหญ่ ชนเผ่าเร่ร่อนหลายเผ่าอาศัยอยู่ประปราย เขาจะให้จวิ้นอ๋องและแม่ทัพสกุลไป๋เข้ายึดครอง เพื่อสร้างขุมอำนาจใหม่
เขาต้องการพื้นที่แถบนั้นทั้งหมด เพราะเขาให้คนไปตรวจสอบแล้วได้รับการยืนยันว่า ที่แห่งนั้นมีเหมืองแร่และเหมืองทองอยู่ถึง 3 แห่ง หากเขาได้ครอบครองการจะสร้างขุมอำนาจใหม่ก็จะง่ายมากขึ้น เงินใช้ผีโม่แป้งได้เป็นคำกล่าวที่เป็นจริงมาช้านาน
“กราบทูลฝ่าบาท เรื่องเหมืองแร่ที่กระหม่อมได้ส่งคนไปสำรวจนั้น บัดนี้ ชนเผ่าได้ค้นพบแล้วแห่งหนึ่ง แต่ไม่สามารถขุดขึ้นมาได้ หากเมืองโกว่จงที่ไม่ได้สนใจพื้นที่กันดารแถบนี้เกิดสนใจขึ้นมา เราอาจจะลำบาก”
“โกว่จงเป็นเมืองเล็ก หากอยู่ดีดีไม่ชอบ ข้าก็พร้อมเปิดศึก ยึดเอามาไว้ดูเล่นได้สบาย”
“พะยะค่ะ กระหม่อมจะเร่งทำงานให้พร้อมโดยเร็ว”
“ดี ท่านไปทำงานเถอะ”
“ถวายบังคมลาพะยะค่ะ”
รองแม่ทัพไป๋เป็นพี่ชายของกุ้ยเฟย และยังมีแม่ทัพไป๋แม่ทัพใหญ่เป็นบิดาของกุ้ยเฟยเช่นกัน รองแม่ทัพผู้นี้ เป็นคนที่เขาปั้นขึ้นมาเองกับมือ มีฝีมืออยู่ไม่น้อย เขาสร้างกองกำลังขึ้นมาด้วยตนเอง เป็นคนจงรักภักดียิ่งผู้หนึ่ง ไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝง ทำให้เขาไว้ใจใช้งาน
“กงกง คืนนี้จุดโคมที่ตำหนักกุ้ยเฟย”
“พะยะค่ะ”
ถึงแม้จะมีสนมมากมาย แต่คนที่เขารักอย่างแท้จริงก็คือไป๋กุ้ยเฟย เขาและนางพบรักกันตอนออกล่าสัตว์ ช่วงที่ยังเป็นรัชทายาท นางเป็นบุตรตรีของรองแม่ทัพไป๋แห่งกองธงเลี่ยงซู ถึงแม้จะได้แต่งนางเป็นเพียงชายารอง แต่นางก็เข้าใจเขาและยังได้ให้กำเนิดองค์ชายใหญ่
ต่อมาเขาจำใจต้องแต่งเฟิงฟางหรงเข้ามาเป็นชายาเอกในอีกสี่ปีให้หลัง และได้ให้กำเนิดองค์ชายรองในปีถัดมา จากยาปลุกกำหนัด! ตระกูลเฟิงยินดีเป็นอย่างยิ่งมีการเฉลิมฉลองอย่างเอิกเริกทั่วทั้งแคว้น มีการงดเว้นการจัดเก็บภาษี 3 ปี เพื่อเป็นสิริมงคลเสริมบุญญาธิการแก่องค์ชายรอง
สกุลเฟิงมอบทรัพสมบัติเติมเต็มท้องพระคลังให้ไม่น้อยกว่าภาษีที่จัดเก็บได้ทุกปีเป็นเวลา 3 ปีเช่นกัน เหตุนี้ความสำคัญขององค์ชายใหญ่ที่เกิดก่อน 5 ปีจึงไม่มีความหมายใด เมื่อมาถึงหน้าตำหนักสนมรัก ก็พบนางรอต้อนรับเขาอยู่ด้านหน้าตำหนักเช่นเคย
“ถวายพระพรฝ่าบาท ของทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
น้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ แววตารักใคร่เสมอต้นเสมอปลายยังมีให้เห็นเสมอ สมเป็นเมียคู่ทุกข์คู่ยาก เขาเป็นเพียงองค์ชายที่เกิดจากสนมขั้นผินเล็กๆที่ตระกูลเข้าร่วมสนับสนุนตระกูลเฟิง เป็นเพียงเพื่อนเล่นกับองค์ชายสามที่เกิดจากไทเฮาสกุลเฟิง
แต่เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝัน องค์ชายสามเป็นไข้ทรพิษและจากไปในปีที่อายุได้เพียงสิบสองปี เขาจึงได้รับเมตตาให้เป็นบุตรบุญธรรมของไทเฮาผู้สูญเสีย ท่ามกลางความกดดันและหน้าที่ต้องสืบทอด เขาต้องอดทนทำทุกอย่างตามที่เฟิงไทเฮารับสั่ง ไม่เคยบิดพลิ้ว
มีเพียงการแต่งงานเท่านั้นที่เขาปรารถนาอยากแต่งคุณหนูสกุลไป๋เป็นชายา เขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคหลายอย่างจนสามารถแต่งนางเข้ามาในตำแหน่งชายารองได้ในที่สุด เพื่อนางแล้วเขาพยามทุกอย่างแม้กระทั่งการเลี่ยงการเข้าหอกับชายาเอก
ชายาผู้นั้นไม่มีความรักใคร่ให้กับพระองค์ ในสายตานาง เขาเป็นเพียงพ่อพันธุ์ชั้นดีที่สามารถมอบผลประโยชน์ให้กับตระกูลของนางได้เท่านั้น ชายาเอกผู้นั้นอยู่อย่างสงบได้เพียงสามเดือน นางก็เคลื่อนไหว นางถึงกับกล้าบีบบังคับและวางยาปลุกกำหนัดเขา เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
สกุลเฟิง คือเหลือบไรของราชวงศ์ พวกมันกอบโกยมามากแล้ว สมควรถูกกำจัด รวมทั้งหน่อเนื้อของพวกมันด้วย องค์ชายรองไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นหมากให้คนพวกนั้นใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป