กินไก่ย่างอย่างไรให้อร่อย

3047 Words
เย็นวันนั้น ทหารจับไก่ป่ามาได้หลายตัว จึงนำมาย่างแทนเสบียงที่เตรียมมา จวิ้นอ๋องนั่งอยู่ฝั่งขุนนางสกุลไป๋ องค์ชายรองนั่งอยู่อีกด้าน พร้อมกับขุนนางที่เหลือ เหล่าขุนนางจำนวนมากล้วนเลือกภักดีต่อองค์ชายรอง เพราะตราบใดที่สกุลเฟิงยังอยู่ ฮองเฮาย่อมเปี่ยมด้วยอำนาจเหนือฝ่าบาท สิ่งนี้สร้างความเจ็บแค้นให้จวิ้นอ๋องไม่น้อย เขาอยากจะถอนรากถอนโคนพวกดีแต่ประจบสอพลอ ไม่ทำตัวมีประโยชน์พวกนี้ แม้จะเดินทางไปช่วยชาวบ้าน ก็ยังห่วงแต่ความสุขสำราญของตน แม้อยู่กลางป่า แต่ก็ยังมีนักเล่นดนตรีและนางรำบางส่วน ที่ขุนนางผู้หนึ่งอุตส่าห์เตรียมการมา เพื่อมอบความผ่อนคลายให้กับพรรคพวกของตน ยามนี้พวกเขาคล้ายมาเที่ยวพักผ่อนมากกว่ามาทำงาน เสียงพูดคุยหยอกล้อและเสียงหัวเราะสนุกสนาน ในกลุ่มขุนนางฝ่ายองค์ชายรองดังขึ้นมาเป็นระยะ ผิดกับฝั่งของจวิ้นอ๋องที่ทุกคนทำหน้านิ่ง ล้อมวงย่างไก่ไม่ได้สนใจสิ่งใด พวกเขาเป็นทหารไม่มีอารมณ์จะสุนทรีในเวลางาน เฟิงอวี้หยวนนั่งมองไก่ย่างตัวไหม้เกรียมในมือ ที่สาวใช้ย่างจนสุกแล้วส่งมาให้ หนังที่ควรจะกรอบกลับไหม้เกรียม จนต้องลอกทิ้ง น่าเสียดาย พวกเขาไม่รู้หรือส่วนที่อร่อยที่สุดก็คือหนังของมันนี่แหละ “คุณหนูเจ้าคะ ไก่ย่างน่าอร่อยไม่น้อย พวกข้าพึ่งเคยได้เดินทางย่างไก่แบบนี้ครั้งแรก สนุกมากเลยเจ้าค่ะ” สาวใช้ย่างไก่ไหม้แล้วก็ยังอุตส่าห์ ชื่นชมตนเอง อวี้หยวนได้แต่ยิ้มแห้งๆ “พวกเจ้าเห็นแก่กินสิไม่ว่า หึหึ ” นางยิ้มขบขัน เมื่อสาวใช้ของนางน้ำลายสอเพราะอยากกินไก่ย่าง “ตัวใหญ่ขนาดนี้ข้าทานไม่หมดหรอก ข้าแบ่งให้พวกเจ้าละกัน มารับไปสิ” นางใช้มือฉีกขาไก่อย่างง่ายๆส่งให้คนของนางคนละชิ้น สาวใช้รีบกุลีกุจอเข้ามารับส่วนแบ่งจากคุณหนูของตนอย่างดีใจที่ได้รับเมตตา หลังจากต้องทนทานอาหารแห้งมาหลายวัน นี่เป็นมื้อแรกที่ได้ทานเนื้อสด เมื่อสาวใช้ของคุณหนูคนอื่นเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่อิจฉา พวกนางไม่กล้าขออาหารจากเจ้านายแน่ ดีไม่ดีอาจถูกโบยได้ ทุกคนได้แต่ทานกันอย่างเงียบๆ พลางชื่นชมบรรยากาศโดยรอบ ท้องฟ้าเปิดเช่นนี้ สามารถมองเห็นดวงดาวขาวโพลนเต็มท้องฟ้า อวี้หยวนที่ชอบมองท้องฟ้าอยู่แล้ว ถูกใจเป็นที่สุด นางกินไปคุยกับสาวใช้ของนางไป คุณหนูคนอื่นได้แต่นั่งทานกันอย่างเรียบร้อย ไม่มีคุณหนูผู้ใดกล้าทำผิดธรรมเนียมต่อหน้าเหล่าขุนนาง มีเพียงคุณหนูไป๋เท่านั้นที่ไม่ได้ถือธรรมเนียมใดใด เพราะนางโตมากับกองทัพ เมื่อต้องออกเดินทางนอนกลางดินกินกลางทราย สิ่งใดสะดวกใช้วิธีนั้น “จวิ้นอ๋องเพคะ หม่อมฉันย่างไก่สูตรพิเศษมาถวายเพคะ” คุณหนูไป๋นำไก่ที่นางลงมือย่างเองไปถวายจวิ้นอ๋องที่นั่งอยู่ฝั่งขุนนางจำนวนน้อยอยู่เงียบๆ นางยิ้มแย้มให้อย่างอ่อนหวาน “ขอบใจมาก คุณหนูไป๋” เขารับไก่ย่างที่นางบอกว่าเป็นสูตรพิเศษ มันมีกลิ่นหอม พบว่าด้านในมีสมุนไพรบางอย่างที่ช่วยดับกลิ่นคาวได้ เขาส่งให้องครักษ์ตรวจสอบพิษก่อนนำมาฉีกออกชิม มันมีรสชาติดีสมกับเป็นสูตรพิเศษ จึงลงมือกินไปเรื่อยๆ คุณหนูไป๋จึงผละกลับมาที่เดิมของตน เฟิงอวี้หยวนเห็นการทำคะแนนของคุณหนูไป๋แล้ว ก็ไม่อยากนิ่งนอนใจ นางจะลงมือย่างไก่บ้าง นางจึงสั่งให้สาวใช้ไปเตรียมวัตถุดิบที่ต้องการ เมื่อทุกอย่างพร้อม นางก็นำส่วนผสมที่ต้องการบดให้ละเอียด ก่อนคลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนนำไปทาจนทั่วตัวไก่ มันคือสูตรไก่ย่างสูตรเด็ดสุดแซ่บ เมนูโปรดของนาง ไม่นานไก่ย่างตัวเหลืองอร่ามก็ส่งกลิ่นหอมอบอวล เหล่าคุณหนูทั้งหลายต่างเมียงมองมาที่ไก่ของนางอย่างสนใจ “คุณหนูเฟิง ไก่ของเจ้าเหตุใดจึงมีสีเหลืองทอง ทั้งมีกลิ่นหอม ดูเกรียมกำลังดี น่ากินที่สุดเลย” คุณหนูผู้หนึ่งทักขึ้นมาด้วยสายตาแวววาว “แน่นอนอยู่แล้ว นี่คือสูตรลับของข้าเชียวนะ” เมื่อได้ยินว่าเป็นสูตรลับ ทุกคนก็ยิ่งอยากรู้วิธีทำ แต่ก็ต้องผิดหวังไปตามกันเพราะนางทำขึ้นเพียงตัวเดียวเท่านั้น ถ้ามีเยอะก็ไม่พิเศษสิ จริงมั้ย? และนางจะเก็บสูตรนี้ไว้ทำกินคนเดียว ว่าไม่ได้สูตรนี้จดลิขสิทธิ์ในยุคที่นางจากมาเชียวนะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย นางก็เดินเข้าไปหาองค์ชายรองที่นั่งอยู่กับเหล่าขุนนางอีกด้าน ชายหนุ่มรูปงามกึ่งนั่งกึ่งนอนบนพรมผืนหนาเบื้องหน้านางยามนี้ ดูกำลังสบาย ด้านหน้ามีสุรารสแรงแกล้มกับอาหารป่า เหล่าสาวงามที่ร่ายรำตามจังหวะดนตรีอยู่เบื้องหน้า ทำให้บรรยากาศยิ่งเพลิศเพลิน ทุกอย่างขับให้องค์ชายผู้นี้ดูเจ้าสำราญยิ่งนัก เหมือนเทพเซียนชมสวนในตำนาน “องค์ชายรองเพคะ หม่อมฉันย่างไก่สูตรพิเศษมาถวาย รับรองว่าอร่อยไม่ซ้ำใคร” นางนำไก่ย่างที่อุตส่าห์ทำมาเป็นพิเศษ ไปถวายองค์ชายรอง เขานั่งให้เหล่าขุนนางป้อยอเอาอกเอาใจ อยู่ท่ามกลางความรื่นเริง บ่งบอกว่าองค์ชายผู้นี้ชอบเรื่องสุนทรี หยางเหวินหลงมองนางเดินเข้ามาพร้อมไก่ย่างในมือนิ่งๆอย่างพิจารณา เมื่อเห็นนางมองตรงมาที่ตนไม่ได้หันไปทางจวิ้นอ๋อง จึงให้องค์รักษ์ไปรับของมาตรวจสอบพิษตามลำดับ ตอนนี้เขาอิ่มมากแล้ว ไม่นึกอยากกินอะไรอีก หากแต่ถ้าเขาปฏิเสธนาง ก็จะเป็นการหักหน้านางอย่างยิ่ง จึงจำใจต้องกินสักหน่อย องค์ชายรองเลือกหยิบไก่หั่นแล้วชิ้นหนึ่ง ในจานเบื้องหน้าขึ้นมาทาน แต่พอได้สัมผัสรสชาติที่แปลกใหม่และดีเยี่ยมก็หยิบทานชิ้นต่อไปไม่หยุด ไก่นี้ไม่มีกลิ่นคาวเลย มีรสหอมหวาน นุ่มลิ้น เค็มเล็กน้อยกำลังดี หนังไก่กรอบนุ่มนั้นไม่ต้องลอกทิ้ง ทานได้เลย และยังอร่อยมากเสียด้วย ชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกหยินขึ้นมาทานอย่างลืมตัว จนเหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เขาจึงหันมาถามนางที่ยังคงยืนรออยู่ เพราะเขายังไม่สั่งให้นางนั่งหรือไปไหน “มีอีกมั้ย” “ไม่มีแล้วเพคะ ไก่ย่างตัวนี้ทำขึ้นมาพิเศษเพียงตัวเดียวเท่านั้นเพคะ” คำตอบของนางทำให้เขายิ้มอย่างพึงพอใจ “อย่างนั้นหรือ คุณหนูเฟิงสมเป็นสตรีอันดับหนึ่ง แม้กระทั่งย่างไก่ ยังอร่อยล้ำจนวางไม่ลง” เขาขยับที่นั่งด้านข้างให้ กวักมือเรียกนางมานั่งด้วย ก่อนส่งไก่ชิ้นสุดท้ายให้นางได้ทาน “เจ้าก็ทานด้วยสิ” เขายื่นไก่ชิ้นในมือไปที่ปากนางอย่างต้องการหยอกเย้า อย่างไรสตรีในห้องหอต้องปฏิเสธอย่างเหนียมอายแน่ แต่เขากลับคิดผิด อย่างไม่คาดคิด คุณหนูเฟิงงับไก่ชิ้นในมือนั้น ปากอิ่มของนาง ค่อยๆฉีกไก่ในมือเขาออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนค่อยๆเคี้ยวกินจนหมด ไก่ที่อยู่ในมือองค์ชายรอง ถูกนางค่อยๆแทะกินจนหมด ฉากนี้ทำเอาเหล่าขุนนางหน้าร้อนฉ่า ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด จนในที่สุดก็ค่อยๆถอยออกไปเองอย่างรู้ความ ไอ้หย๋า คุณหนูใหญ่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไก่ไม่มีกระดูกชิ้นนั้นหมดลงแล้ว แต่นิ้วมือองค์ชายรองยังเปื้อนอยู่ ใครจะคิดว่าคุณหนูในห้องหออย่างคุณหนูเฟิงอวี้หยวน จะงับนิ้วองค์ชายรองและค่อยๆดูดจนครบทุกนิ้ว สายตาใสแจ๋วของนางไม่ได้หลบไปทางใด แน่วแน่อยู่กับนิ้วเรียวยาวนั้น คล้ายกับว่ามันเอร็ดอร่อยเหลือเกิน แม้ระยะที่พวกเขานั่งอยู่จะห่างจากผู้อื่น แต่ก็ไม่ได้ห่างจนมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น คุณหนูเหลียวตกใจจนไก่ในมือร่วงลงไปที่พื้น คุณหนูไป๋และคุณหนูฉียกมือปิดหน้า ส่วนเหล่าสาวใช้ล้วนก้มหน้าลง ไม่กล้ามองสิ่งใดที่ไม่สมควร เหล่าขุนนางต่างนั่งหันหลังให้องค์ชายรองทันที เพราะคิดว่าเขาคงต้องการเวลาส่วนตัว หยางเหวินหลงนั่งร่างแข็งทื่อ แม้เขาจะไม่เคยเรื่องอย่างว่า แต่ก็ไม่ใช่ไม่รู้สิ่งใด ตำราใดใดล้วนเคยศึกษาแล้วจนสิ้น แต่ไม่คิดว่าคุณหนูในห้องหออย่างเฟิงอวี้หยวน ที่ชอบพอจวิ้นอ๋องอยู่ จะกล้าทำถึงขั้นนี้ต่อหน้าจวิ้นอ๋อง นางช่างกล้าหาญเกินไปแล้ว! จวิ้นอ๋องเองก็ตะลึงไปไม่น้อย สิ่งที่เขาวางแผนไว้พังทลายแทบสิ้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คุณหนูใหญ่สนใจน้องรองของเขา ที่ผ่านมามีอะไรผิดพลาด ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาถึงไม่ระแคะระคาย หรือนางจะรู้แผนลับของเขา ในขณะจวิ้นอ๋องนั่งนิ่งเหมือนโดนค้อนทุบหัวอยู่นั้น องค์ชายรองก็มอบจุมพิตที่หน้าผากให้คุณหนูเฟิงอย่างแผ่วเบา เฟิงอวี้หยวนที่ถูกจู่โจมกะทันหัน ก็ได้แน่นิ่งไปเช่นกัน “นี่คือของกำนัลจากข้า ไว้พบกันใหม่ คุณหนูเฟิง” องค์ชายรองผละออกมายิ้มน้อยๆส่งให้ ก่อนลุกเดินกลับไปทางกระโจมด้วยท่าทางสง่างาม ทิ้งระเบิดลูกโตไว้ให้ผู้คน ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก เมื่อได้สติกลับมา เฟิงอวี้หยวนก็อยากจะตบหัวตัวเองให้หนัก ในตอนนั้น ที่บุรุษรูปงามดั่งเทพเซียนอัญเชิญนางไปนั่งด้วย พร้อมกับยื่นไก่หอมกรุ่นมาให้ นางไม่รู้ว่าต้องหยิบมากินด้วยซ้ำ ได้แต่อ้าปากงับและค่อยๆแทะกินจากมือของเขา สายตานางไม่อาจหลุดจากสายตานุ่มลึกคู่นั้นได้ที่มองกันในระยะใกล้ชิดขนาดนั้นได้ กินเพลินจนไก่หมด นางก็เหลือบเห็นนิ้วขาวผ่องเรียวยาวนั้นเปื้อนคราบมันไก่ ไม่ทันได้คิดสิ่งใด ลิ้นของนางก็ยื่นออกไปเล็มเลียดูดกิน ทำความสะอาดจนสิ้นด้วยความเคยชิน ดั่งกับนั่นคือนิ้วมือของตนเอง ผลจากการกระทำนั้น นางได้รับรางวัลเป็นจุมพิตแผ่วเบา แต่กลับกระชากวิญญาณสาวแก่เช่นนางไปจนสิ้น ฮรือ... ดีเกินปุยมุ้ย นางล่องลอยกลับกระโจมมาได้ยังไงก็ยังงง เฟิงอวี้หยวนไม่ได้แวะคุยกับใคร ไม่แม้กระทั่งกลับไปนั่งกับเหล่าคุณหนูที่ยังล้อมกองไฟอยู่เช่นเดิม นางตรงกลับไปยังกระโจมที่พัก ปล่อยให้เหล่าสาวรับใช้ปรนนิบัติเข้านอน เมื่อสติกลับมาจนสิ้นนางก็รู้สึกอับอายแทบไม่อยากตื่นขึ้นมาพบผู้คนอีก ทั้งหมดที่นางทำลงไปนั่น มันน่าอายชะมัดเลย ทำไมถึงปล่อยให้ความหล่อมาทำลายความเป็นกุลสตรีของตนไปได้นะ อีกด้านของกระโจมฝั่งเชื้อพระวงศ์ ทหารเงาเข้ามารายงานความเคลื่อนไหวแก่องค์ชายรอง “องค์ชายพะยะค่ะ มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามลอบเข้ามาในขบวนเสด็จพะยะค่ะ” “คงหวังเข้ามาก่อกวนอีกเช่นเคย น่ารำคาญยิ่งนัก เห็นข้าไม่จัดการเสียที พวกมันก็รังแต่จะก่อกวนไม่สิ้น สังหารพวกมันให้หมด! แล้วนำศพไปไว้ในเขตของจวิ้นอ๋อง เขาคงต้องการเห็นผลงาน” เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายพยายามส่งคนมาก่อกวน ทั้งยังสืบข่าว ฝ่ายนั้นคงไม่รู้ว่าข่าวที่ได้ไป ล้วนเป็นข่าวที่เขาต้องการให้หลุดออกไปทั้งสิ้น เมื่อไหร่อีกฝ่ายจะฉลาดเสียที วิธีการนี้มันไม่เคยได้ผล หวังก่อกวนเขางั้นหรือ เช่นนั้นก็ควรจะเลือกเวลาสักหน่อย คนเขากำลังอารมณ์ดี ไม่มีกาลเทศะเอาเสียเลย! ชายหนุ่มสูงศักดิ์นอนอยู่บนฟูกหนา ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ปลายนิ้วของเขาที่ถูกลิ้นอุ่นนุ่มนั้นสัมผัส มันยังให้ความรู้สึกร้อนติดอยู่ที่ปลายนิ้ว ใบหน้างดงาม แววตาหวานเชื่อมเหมือนเชื้อเชิญนั่น นางตั้งใจหรือไม่ หรือนางจงใจล่อลวงเขา หรือนี่จะแผนของจวิ้นอ๋อง ที่บงการให้นางมายั่วยวนเขา แล้วนางจะทำแบบนั้นไปเพื่อสิ่งใด เมื่อนึกทบทวนหลายรอบ เขาก็ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ *************** หลังการพักผ่อนเสร็จสิ้น รุ่งขึ้นขบวนเสด็จก็ออกเดินทางแต่เช้า การเดินทางผ่านไปอีกสามวัน ขบวนเสด็จก็มาถึงเขตเมืองหมานเสียที ความเดือดร้อนรอไม่ได้ ทั้งขบวนจึงไม่ได้แวะพักที่ไหนอีก ต่างเร่งเดินทางให้ทันตามกำหนดการเดิม ความแห้งแล้งที่ปรากฏช่างน่าอดสูนัก ตั้งแต่เดินทางพ้นจากป่า ก็เริ่มพบกับห้วยหนองคลองบึงที่แห้งขอด ผืนดินแห้งแล้งแตกระแหง อากาศร้อนอบอ้าว เปลวแดดระอุไหวระริก จนนางที่นั่งอยู่ในรถม้ายังแทบทนไม่ไหว น้ำในขบวนเดินทางถูกใช้จนเกือบหมด การเดินทางก็สิ้นสุดลง ชาวเมืองที่ออกมารอรับเสด็จต่างดีใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง นี่คือขบวนเสด็จของโอรสสวรรค์ ผู้ที่สามารถจะปัดเป่าความหิวโหยไปจากพวกตนได้ ฝนไม่ตกมาตั้งแต่ปีก่อน ปีนี้เข้าปีที่สาม พื้นที่แถบนี้ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้เลย ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชาวเมืองประสบกับภัยแล้ง ทุกสี่ห้าปีชาวบ้านต้องประสบกับภัยแล้งเช่นนี้อย่างยาวนาน ด้วยรู้สภาพพื้นที่อยู่เต็มอก ดังนั้น ทุกคนต้องกระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่ให้ได้ จนกว่าฝนจะตกลงมาต่อชีวิตของพวกเขาออกไปอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ด้วยสภาพบ้านเมืองเป็นเช่นนี้ เมืองนี้จึงเป็นเมืองเล็กๆที่ผู้คนอาศัยอยู่ไม่มาก แต่อาหารและข้าวฟ่างที่เก็บไว้แจกจ่าย ก็หมดยุ้งฉางไปนานแล้ว รวมถึงยุ้งภาษีของทางการ ก็ถูกแจกจ่ายเป็นเสบียงให้ชาวเมืองไปจนหมดสิ้นแล้วเช่นกัน ตอนนี้มีผู้หิวโหยจนล้มตายไปบ้างแล้ว ขบวนเสด็จที่มาถึง จึงเป็นความหวังเดียวของชาวเมือง ขบวนรถม้าหลายสิบคันที่ขนเสบียงอาหารมาด้วย คือพรอันประเสริฐที่สุด ที่สวรรค์จะมอบให้พวกเขาในตอนนี้ เมื่อได้มาเห็นความทุกข์ยากของผู้คนที่นี่ เฟิงอวี้หยวนที่ถึงแม้จะเกิดมาสองชาติภพ ก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ทำให้นางนึกสงสารพวกเขายิ่งนัก หากพวกนางไม่พักเลย เร่งเดินทางอีกสักหน่อย อาจมาได้ไวกว่านี้ซักวันสองวัน ถึงแม้เวลาจะไม่มาก แต่ก็มีค่าที่สุดกับคนที่นี่ นางเสียใจจริงๆ แวบหนึ่งที่นางหันไปมององค์ชายรอง อยากรู้ว่าเขาจะทำหน้าอย่างไร ยามเห็นประชาชนของตนตกทุกข์ได้ยากเพียงนี้ หญิงสาวมองเห็นแววตาเจ็บปวดของเขา ไม่น้อยไปกว่านาง สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกดีกับองค์ชายผู้นี้ขึ้นไปอีก อย่างน้อยเขาก็มีความสงสารเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่ได้มีแต่มุมแข็งกระด้างอย่างที่แสดงออก แม้อยากเดินไปจับมือเขา แล้วกล่าวปลอบใจสักหน่อย แต่ก็ยั้งตนเองทัน ครั้งก่อนยังอับอายไม่พอหรือยังไง หลังจากวันนั้น จนบัดนี้ นางพยายามหลบหน้าเขามาตลอด คราวนี้คงไม่มีที่ให้หลบแล้ว อย่างไรก็ต้องพบเจออยู่ดี “ถวายพระพรองค์ชายทั้งสอง กระหม่อมคือเจ้าเมืองหมาน ชื่อจ้าวเสียง เป็นพระกรุณายิ่งแล้วพะยะค่ะ ที่พระองค์ทรงเมตตามาช่วยชาวหมานในครั้งนี้ ให้ผ่านพ้นภัยแล้งไปได้ สวรรค์ทรงเมตตายิ่งแล้ว” พอผู้เป็นเจ้าเมืองกล่าวจบ เขาก็คุกเข่าคำนับโอรสสวรรค์ทั้งสองเต็มพิธีการ ชาวเมืองทั้งหลายก็ก้มลงคุกเข่าคำนับพร้อมกับเจ้าเมืองอย่างพร้อมเพรียง เหล่าชาวบ้านถวายพระพรพร้อมกล่าวยกย่องสรรเสริญในความความเมตตาครั้งนี้ไม่ขาดปาก บางคนตื้นตันใจถึงกับร้องให้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ไหว เด็กเล็กๆที่ยังไม่รู้เรื่อง ต่างมองมาที่ขบวนเสด็จจากเมืองหลวงอย่างตื่นเต้น องค์ชายรูปงามน่าเกรงขามพร้อมเหล่าขุนนางผู้สนับสนุน ทำให้บรรยากาศดูคึกคัก ส่วนเหล่าคุณหนูจากเมืองหลวงนั้น ต่างแต่งกายด้วยผ้าเนื้อดี แม้ไม่ดีเท่าตอนอยู่เมืองหลวง แต่ก็งดงามมาก เมื่อเทียบกับคนที่นี่ สวมใส่เสื้อผ้าใหม่ มีสีสันสดใส พวกนางงดงามดั่งชาวสวรรค์ในนิทานที่เคยฟัง ภาพเหล่านี้ เด็กที่พึ่งเกิดมาได้ไม่กี่หนาวอย่างพวกเขาไม่เคยพบเห็น ช่างน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ ถึงแม้พวกเขาจะยังไร้เดียงสาไม่รู้สิ่งใด แต่ก็รับรู้ได้ว่า นี่เป็นเรื่องที่ดี ทุกคนมีใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติยินดี ทันใดนั้น ท่ามกลางความยินดีของผู้คน ก็มีเสียงเล็กๆของเด็กหญิงร้องให้ออกมา เมื่อท้องของนางนั้นเต็มไปด้วยความหิว ถึงแม้จะตื่นเต้นความหิวก็ไม่ปรานีนางอีกต่อไป “ท่านแม่ ข้าหิว ฮือ...ข้าหิวเหลือเกิน” เสียงเล็กๆปนสะอื้นของนาง ปลุกให้ทุกคนที่หมอบกราบอยู่นั้นพบกับความจริง ใช่พวกเขากำลังหิวและเหนื่อยล้า ชาวสวรรค์ทั้งหลาย โปรดมอบอาหารให้พวกข้าด้วยเถอะ ถึงไม่มีใครพูดออกมา แต่สีหน้าและแววตาอ้อนวอนได้กล่าวแทนวาจาออกไปแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD