บทที่ ๑ ลู่เพ่ย(๒)

1612 Words
เรือนใจสงบ สองสามวันมานี้ข่าวที่นายท่านคิดส่งคุณหนูสามแห่งเรือนร่ำรวยเข้าไปเป็นสนมในรั้วในวังไม่ได้เป็นความลับนัก เพราะข้ารับใช้ใกล้ชิดคนสนิทหลายคนในจวนต่างก็ล่วงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนที่เข้าไปประจำอยู่ในห้องครัวใหญ่ก็ไม่ได้พลาดข่าวสารสำคัญภายในจวนแม้แต่น้อย เพราะที่แห่งนี้นอกจากการทำอาหารแล้วยังเป็นสถานที่กระจายข่าว ถ้าเป็นในภพปัจจุบันคงจะเรียกทุกคนในห้องครัวว่าปาปารัสซี่ ผู้รู้ทุกความเคลื่อนไหวของเหล่าดาราคนดัง เว้นก็แต่เมื่อเป็นภพนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นทุกคนในจวนเสนาบดีเท่านั้น หายออกจากเรือนไปครึ่งก้านธูปมี่ฮวนก็ร้อนรนกลับมา เหงื่อกาฬที่ไหลซึมตามขมับบ่งบอกให้รู้ว่าสาวใช้คนนี้รีบร้อนเพียงใด พอมาถึงห้องชั้นในของผู้เป็นนายก็ผลักประตูเข้าไป ทำเอามี่เจี๋ยสาวใช้อีกคนต้องอ้าปากด้วยความตกใจ จะถลามาคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะตอนนี้มี่ฮวนเข้าไปประชิดตัวคุณหนูรองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว “คุณหนูรอง คุณหนูรองแย่แล้วเจ้าค่ะ” แพขนตาโค้งงอนราวกับคันศรของสตรีนางหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนขยับอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นลูกตาดำขลับตัดขาวที่กลมวาวมีเสน่ห์ ใบหน้าเรียวรูปไข่โค้งเป็นวงสีขาวช่างงดงามตราตรึงจับใจคนมอง พวงแก้มสีชมพูนุ่มนิ่มโดยไม่ต้องแต่งแต้มสีสันอื่นใด แถมริมฝีปากก็แดงระเรื่อราวกับผลท้อก็ไม่ปาน เส้นผมที่เคยปล่อยยาวสยายเต็มแผ่นหลังถูกรวบขึ้นครึ่งหนึ่งแล้วปักด้วยปิ่นไม้ธรรมดา เสื้อผ้าก็ไม่ได้ดูงดงามหรูหราเลยสักนิด เป็นเพียงสีชมพูอ่อนที่ปักด้วยปีกผีเสื้อตัวเล็กๆ เท่านั้น ทว่าแม้จะอยู่ในรูปลักษณ์เช่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ความสง่างามของคุณหนูรองลู่เพ่ยจางหายไปเลยสักนิด นางกลับดูโดดเด่นมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด เมื่อชายกระโปรงถูกคนสนิทคว้าไว้ เจ้าของความงดงามก็พลันลืมตาจากการพักผ่อน ช่วงนี้นางกำลังรื้อฟื้นความทรงจำจากร่างกายนี้ ด้วยสถานะที่ไม่เหมือนเดิมกับโลกที่ไม่คุ้นเคยทำให้นางขังตัวเองอยู่ในเรือนเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ และยอมรับว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่ประเทศไทย ไม่ใช่ศตวรรษยี่สิบเอ็ดที่นางเคยอยู่ นางไม่ใช่พนักงานบัญชีบริษัทที่ต้องลงบัญชีเดบิตเครดิตอีกแล้ว แต่นางเป็นลู่เพ่ย บุตรสาวคนรองของเสนาบดีใหญ่แห่งตระกูลลู่ ตาแก่ลู่ที่อยู่ในหนังสือนิยายที่นางเพิ่งจะอ่านถึงตอนที่หนึ่งร้อยสิบเก้า อีกไม่กี่สิบตอนก็จะรู้บทสรุปแล้วแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด นางลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในร่างนี้เสียแล้ว แถมยังเป็นช่วงแรกๆ ของเนื้อเรื่องในนิยายอีกด้วย ให้ตายสิ เพียงคิดว่าตัวเองต้องเผชิญกับเรื่องราวในนิยายเรื่องนั้น นางก็ปวดหัว ตอนนี้ทุกอย่างได้เริ่มขึ้นแล้วสินะ เริ่มจากยายแก่หนังเหี่ยวฮูหยินใหญ่แห่งเรือนมั่งมีคิดส่งนางเป็นตัวตายตัวแทนของบุตรสาวแสนรักเข้าไปอยู่ในรั้ววัง คิดจะให้นางไปเป็นสนมของฮ่องเต้อายุครึ่งร้อยปีผู้นั้นนั่นหรือ ฝันไปเถอะ! นางไม่ใช่ลู่เพ่ยเสียหน่อย แต่นางคือ คะนึงนางค์ รัตนะรำไพ ต่างหาก ก็แค่ย้อนกลับไปกลิ้งอ่านหนังสือบนเตียงในฉากเข้าด้ายเข้าเข็มขององค์ชายหกกับชายารักรอบที่เจ็ดอยู่ดีๆ ด้วยความหวานซาบซ่านทำให้นางตื่นเต้นหน้าแดงจนเป็นเหตุให้ตกเตียงหัวฟาดพื้น ฟื้นขึ้นมาคิดจะอ่านหนังสือต่อให้จบบทก็เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะนางกลับโผล่เข้ามาในหนังสือเรื่องนั้น แถมเป็นใครไม่เป็น ดันมาเป็น ลู่เพ่ย บุตรสาวคนรองแห่งจวนเสนาบดีใหญ่ผู้น่าสงสาร พ่อก็ไม่รัก แม่ก็ตายจาก ทั้งเรือนมีคนสนิทสามคน แถมถูกกลั่นแกล้งจากบรรดาเมียใหญ่เมียน้อยในเรือน ที่สำคัญน้องสามของนางนั้นร้ายกาจเป็นที่สุด ต้องแวะมาหาเรื่องทุกวันเป็นเวลาหลังอาหารสามมื้อเลยทีเดียว เมื่อดวงตากลมโตของผู้เป็นนายเปิดปรือขึ้น มี่ฮวนก็รีบบอกเสียงสั่น “เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” “มี่ฮวนสำรวมหน่อย อยู่ต่อหน้าคุณหนูยังกล้าโหวกเหวกตะโกนเสียงดังอีก” ลู่เพ่ยมองไปยังร่างอ้วนท้วมของผู้มาใหม่ ซึ่งเป็นแม่นมคนสนิทของตนแล้วยิ้มอ่อนหวาน “ไม่เป็นไรหรอก มี่ฮวนก็มีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ป้าเฉิงอย่าเอาเรื่องนักเลย” “คุณหนู...” ลู่เพ่ยพยายามเค้นรอยยิ้มสง่างามให้กับแม่นม ทั้งๆ ที่ภายในอกทุกข์ตรมนัก นางรู้ว่าชะตาชีวิตของลู่เพ่ยคนนี้เป็นอย่างไร สุดท้ายก็ต้องตายอย่างอนาถในตำหนักเย็น เมื่อป้าเฉิงไม่พูดอะไร ลู่เพ่ยก็ก้มมองคนเกาะชายกระโปรงยิ้มถาม “เจ้าไปเจอเรื่องอะไร เล่ามาสิ” มี่ฮวนมองไปรอบๆ เมื่อมี่เจี๋ยเดินเข้ามาสมทบก็รีบบอกด้วยน้ำตาคลอเบ้า “บ่าวได้ยินว่า เมื่อค่ำวานนายท่านกับฮูหยินใหญ่ทะเลาะกันเรื่องส่งคุณหนูสามเข้าวังใหญ่โตเชียวเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้ว่าตกดึกฮูหยินใหญ่ไปพูดอะไรกับ นายท่าน เช้าวันต่อมาถึงมีข่าวแพร่สะพัดลั่นจวนว่าตอนนี้คนที่จะถูกส่งเข้าวังกลับกลายเป็นคุณหนูรองของบ่าว แล้วอย่างนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” เอาแล้วไง การตายในตำหนักเย็นใกล้เข้ามาแล้วไง! เพราะอ่านหนังสือนิยายเรื่องนี้มาจนแทบจะถึงตอนจบแล้ว นางก็พอจะรู้ทุกเรื่องราวในนั้น ถึงจดจำได้ไม่แม่น แต่ก็รู้ว่าใครจะมีบทสรุปอย่างไร สุดท้ายนางต้องตายจริงๆ หรือนี่ แถมยังต้องมีผัวอายุแก่คราวพ่ออีก อยากตายนัก! คะนึงนางค์ในร่างลู่เพ่ยได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ ดวงตากลมโตเต้นระริกด้วยแววน้ำวาววับนั้นหันไปมองคนสนิทชิดใกล้อย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี ตามเนื้อเรื่องที่นางอ่านนั้น ทุกคนในเรือนใจสงบแห่งนี้ ล้วน ตายตกไปตามกันไม่มีเหลือ ไม่สิ! ในเมื่อนางรู้เรื่องราวทั้งหมด ก็ต้องรู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตรอดในภพภูมินี้ นางไม่มีวันยอมเอาชีวิตวัยยี่สิบห้าในโลกปัจจุบันมาทิ้งในโลกอดีตที่มีอายุเพียงสิบแปดปีหรอก นางต้องหาทางเปลี่ยนแปลงโชคชะตาให้ได้! คิดแล้วก็เชิดหน้าขึ้น แววตาที่ไร้คลื่นลมเมื่อครู่ดูคลั่งราวกับสึนามิพัดผ่านก็ไม่ปาน “ไปกัน” เมื่อน้ำเสียงหวานล้ำราวกับวสันตฤดูของคุณหนูแปรเปลี่ยนเป็นเสียงเกรี้ยวกราดหนักแน่นทำเอาสามคนสนิทในเรือนใจสงบต้องมองกันด้วยสีหน้าท่าทางแปลกๆ เรียกว่านับตั้งแต่สามวันก่อนที่คุณหนูของพวกนางหลับใหลยาวนานไปสองคืนโดยไม่รู้สาเหตุ พอคุณหนูตื่นขึ้นมาอีกครั้งอะไรๆ หลายอย่างในตัวคุณหนูก็มักไม่เหมือนเดิม ปกติคุณหนูอ่อนโยน ยิ้มหวาน เยื้องย่างแต่ละครั้งราวกับมีปทุมธารรองฝ่าเท้า ถึงแม้คุณหนูจะไม่ได้รับความเอาใจใส่จากนายท่านและก็ฮูหยินใหญ่นัก แต่คุณหนูก็ยังเติบโตขึ้นมาเป็นหญิงสาวสง่างามน่าหลงใหล ทว่าตอนนี้กลับเพิ่มนิสัยประหลาด ดื้อดึง ชอบพูดชอบทำอะไรแปลกๆ มาด้วย แต่ก็นั่นแหละ เห็นคุณหนูในห้องหับดูมีชีวิตชีวาขึ้น พวกนางทั้งสามคนก็ไม่เป็นกังวลเท่าใดนัก ออกจะดีใจด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้ แววตาฉายแววร้ายกาจของคุณหนู ทำเอาพวกนางทั้งสามอดหันมาสบตากันอย่างหวั่นๆ ไม่ได้จริงๆ “ไปไหนหรือเจ้าคะ” มี่เจี๋ยพลันถามขึ้น “ไปเปลี่ยนชะตาชีวิตกัน” ลู่เพ่ยยิ้มพูด “จะให้ข้าไปเป็นนางสนมของฮ่องเต้แก่หงำเหงือกน่ะรึ ไม่มีทางเสียล่ะ” “คุณหนู!” คนสนิทรับใช้ทั้งสามคนแทบกระโจนมาตะครุบมือปิดปากของคุณหนูรองด้วยความตกอกตกใจจนคล้ายกับหัวไม่ได้อยู่บนบ่าแล้ว คนถูกปิดปากจึงครางอื้ออึงอย่างไม่ยินยอม “ปล่อยข้า! ปล่อย!” เมื่อเห็นคุณหนูดิ้นแรงพวกนางก็กลัวจะทำให้บาดเจ็บ จึงได้แต่ปล่อยแต่โดยดี ก่อนแม่นมเฉิงจะพูดขึ้น น้ำเสียงแผ่วเบาตักเตือน “คุณหนู อย่าได้พูดถึงฮ่องเต้แบบนั้นอีก หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง เกิดมีใครผ่านมาได้ยิน ได้ต้องโทษประหารกันยกจวนแน่ ทุกคนในจวนนี้จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยนะเจ้าคะ” ลู่เพ่ยได้แต่มองคนทั้งสามที่หน้าซีดเหลืองยิ่งกว่ากระดาษแล้วยิ้มแหยๆ ให้ นางลืมไปได้อย่างไรว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในโลกนี้แล้ว ต่อไปนี้คงต้องสงบปากสงบคำ ด่าตาเฒ่าฮ่องเต้ให้น้อยลงหน่อยสินะ ไม่สิ ถ้าด่าในใจมันก็ไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม นางยิ้มน้อยๆ แล้วตะโกนด่าในใจ ‘แท่งสาธารณะเฮงซวยเอ๊ย!’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD