บทที่ ๑ ลู่เพ่ย(๑)

1219 Words
แคว้นเฟยเทียนมีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ลำตัวใหญ่ ปีกกว้างสยายครอบคลุมแม่น้ำ ภูเขา ที่ราบโล่ง เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ หลายปีมานี้ภายในแคว้นร่มเย็นเป็นสุข ชาวบ้านอิ่มหนำสำราญ กำลังการทหารเข้มแข็ง มีชื่อเมืองหลวงที่เรียกกันว่า เมืองเทียนโจว ทิศเหนือติดกับแคว้นเจียนหลิวซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะหนาวเย็นตลอดทั้งปี ทิศตะวันออกติดกับแคว้นหยางสือปกครองหมู่เกาะน้อยใหญ่ในทะเล ทิศตะวันตกติดกับแคว้นหลิ่งซานซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาหินน้อยใหญ่ มีแร่ธาตุธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ส่งผลให้เป็นแคว้นที่ร่ำรวย ทิศใต้ติดกับดินแดนทะเลทรายแห้งแล้งของแคว้นซือสือ ผู้ปกครองแคว้นนี้เต็มไปด้วยอำนาจป่าเถื่อนที่ไม่มีใครกล้ามองข้าม         ฮ่องเต้หมิงชิงตี้ ปีนี้อายุสี่สิบห้าปีแล้ว เดิมทีเป็นนักรบผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ปกครองบ้านเมืองด้วยความผาสุก ทว่าสองสามปีหลังมานี้ เนื่องจากกรำศึกมานาน จึงส่งผลให้สุขภาพพลานามัยของฮ่องเต้ทรุดโทรม รัชสมัย หมิงชิงตี้ปีที่ยี่สิบห้าของพระองค์จึงเป็นเหตุให้เหล่าขุนนางมีอาการกระด้างกระเดื่อง ลักลอบซ่องสุมกำลังพล แบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นกลุ่มก้อน ขุนนางแต่ละยศตำแหน่งเริ่มคิดการใหญ่ด้วยการส่งบุตรสาวเข้ามาเป็นสนมนางใน         แม้แต่จวนเสนาบดีอย่างตระกูลลู่ หนึ่งในขุนนางขั้นหนึ่งของราชสำนักก็ไม่เว้นเช่นกัน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้สองปี ท่านเสนาบดีลู่ หรือลู่เหลียนในวัยสี่สิบปีเพิ่งจะส่งบุตรสาวคนโตของฮูหยินใหญ่เข้าไปรับใช้องค์ฮ่องเต้ จนได้เลื่อนขั้นเป็นสนมขั้นเฟยแล้วก็ตาม ทว่าเพื่อกุมอำนาจให้มากกว่าเดิม บัดนี้ ตาเฒ่าลู่กำลังคิดจะส่งอีกหนึ่งบุตรสาวเข้าไปอยู่ในวังหลวง         “ท่านพี่...”         เสียงเรียกเศร้าสลดมาพร้อมกับน้ำตาไหลบ่าลงมาไม่ขาดสาย ฮูหยินใหญ่แห่งเรือนมั่งมีส่ายหน้าจนปิ่นปักผมสีเงินปีกผีเสื้อเอียงกระเท่เร่ ร่างกายที่เคยสง่ากุมอำนาจในจวนเสนาบดีมานานนับสิบปี บัดนี้เวลาอยู่ต่อหน้าสามีไม่หลงเหลือร่องรอยแห่งความเย่อหยิ่งอีกแล้ว ก่อนหน้านี้นางเคยอ้อนวอนขอร้องอีกฝ่ายนับร้อยๆ ครั้งเพื่อให้สามีเปลี่ยนใจในการส่งบุตรสาวคนเล็กของนางเข้าวัง ลำพังแค่บุตรสาวคนโตต้องไปสู้รบตบมือกับสตรีในวังหลายพันคน ก็สงสารเห็นใจบุตรสาวจะแย่แล้ว ตอนนี้จะให้ส่งแก้วตาดวงใจเข้าไปอีก นางผู้เป็นแม่จะทนได้อย่างไร         “ท่านพี่ ได้โปรดเปลี่ยนใจเถิด เอินเอ๋อของเราเพิ่งสิบเจ็ดปี นางยังอายุน้อยนัก”         ลู่เหลียนทอดถอนใจทิ้งหลายระลอก ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากให้เมิ่งเอ๋อ กับเอินเอ๋อต้องมีสามีคนเดียวกันหรอก แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้ อำนาจในมือก็อาจถูกคนอื่นแย่งชิงไปได้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมัดใจองค์ฮ่องเต้ให้อยู่ในกำมือของตระกูลลู่ มิเช่นนั้นกลัวว่าอีกหนึ่งปีต่อจากนี้จะเกิดเหตุพลิกผันสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน สุดท้ายแล้ว จวนเสนาบดีที่ยืนยงมานับห้าสิบปีแห่งนี้ เกรงว่าจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว         “ท่านพี่ เอินเอ๋อยังเล็กนัก ถ้าส่งนางเข้าไปอยู่ในวัง เอินเอ๋อของเราไม่แย่หรอกหรือ”         เสนาบดีใหญ่ในราชสำนักได้แต่มองภรรยาคู่ชีวิตอย่างตัดสินใจ “เจ้าก็อย่ากังวลไปนักเลย เข้าไปอยู่ในวัง เอินเอ๋อก็ไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีเมิ่งเอ๋ออีกคน ข้าเชื่อว่าด้วยฐานะตำแหน่งสนมซูเฟยของเมิ่งเอ๋อจะช่วยดูแลเอินเอ๋อได้เป็นอย่างดี”         “ท่านพี่...” แววตาที่เคยเต็มไปด้วยการขอร้องแปรเปลี่ยนเป็นไม่ยินยอม ตั้งแต่ท่านพี่ส่งลู่เมิ่งของนางเข้าไปอยู่ในวัง นางผู้เป็นแม่ก็หันมาฟูมฟักทะนุถนอมลู่เอินเป็นอย่างดี เพราะรูปร่างหน้าตาของลู่เอินคล้ายกับลู่เมิ่งยิ่งนัก ทำให้นางไม่ต้องทนคิดถึงกับบุตรสาวคนโต แต่เวลานี้ ท่านพี่ผู้เป็นดังเจ้าชีวิตกำลังจะส่งบุตรสาวที่นางรักยิ่งอีกคนไปอยู่ในวัง นางไม่มีทางยอมง่ายๆ         “ข้าไม่ยอมเด็ดขาด” ฮูหยินใหญ่จิวเลี่ยนค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อกว้างลายบุปผาสีฟ้านั้นกำแน่น ใบหน้าเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทะนง “ถ้าท่านพี่อยากส่งเอินเอ๋อเข้าวังนัก ก็เอาชีวิตของข้าไปก่อนก็แล้วกัน”         “จิวเลี่ยน!” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ลู่เหลียนเรียกชื่อฮูหยินใหญ่ของตนด้วยน้ำเสียงโกรธจัด เมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะลงให้ง่ายๆ เสนาบดีลู่ผู้เป็นใหญ่ในราชสำนักถึงกับต้องเขวี้ยงถ้วยน้ำชาบนโต๊ะหล่นจนแตกกระจัดกระจาย สะบัดชายเสื้อลุกขึ้นได้ก็จ้องมองอีกฝ่ายอย่างกินเลือดกินเนื้อ “ดีนัก! เจ้าทำตัวได้ดีนัก”         เสียงปิดประตูดังปังด้วยความโกรธจัดทำให้ร่างของฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลลู่ถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น ไม่กี่วินาทีถัดมาเรือนมั่งมีก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่ลู่เหลียนที่มองย้อนกลับไปยังที่แห่งนั้นมีเพียงเสียงพ่นหายใจฮึดฮัดออกมา         “ฮูหยินใหญ่” แม่นมเล่อเผิงได้แต่ประคองร่างสั่นเทาของคุณหนูของนางลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ รินน้ำชาอุ่นร้อนให้ “ดื่มชาดับอารมณ์ก่อนนะเจ้าคะ แล้วค่อยๆ คิดว่าจะทำอย่างไรกันดี”         จิวซื่อรับถ้วยชาด้วยมือสั่นเทา น้ำตาของนางยังไหลอาบแก้มลงมาไม่หยุด “ข้าไม่ยอมเสียเอินเอ๋อไปหรอก แค่ข้าเห็นเมิ่งเอ๋อต้องกัดฟันทนปีนป่ายอยู่ในวังแห่งนั้นด้วยความยากลำบากหัวใจของข้าก็ให้ปวดนัก ถ้าต้องส่งบุตรสาวอีกคนเข้าไป ข้าเกรงว่าหัวใจของข้าคงฉีกขาดเป็นชิ้นๆ แน่ ท่านพี่นะท่านพี่...ท่านไม่รักบุตรสาวของเราบ้างเลยหรืออย่างไร” สุดท้ายนางก็ทำได้เพียงตัดพ้อคนเป็นสามี แววตามีความเจ็บแค้นอยู่หลายส่วน         แม่นมเล่อเผิงมองนายหญิงของตนด้วยความสงสารจับใจ ผ่านไปครู่หนึ่งดวงตาที่เต็มไปด้วยความท้อแท้เมื่อครู่พลันสว่างไสวขึ้น “ฮูหยินเจ้าขา ไม่ใช่ว่าในจวนเสนาบดีแห่งนี้มีเพียงบุตรสาวของฮูหยินเท่านั้น ยังมีอีกคนไม่ใช่หรือเจ้าคะ”         “เจ้าหมายถึง...”         “เจ้าค่ะ”         แววตาของฮูหยินใหญ่พลันทอประกาย นั่นสิ นางลืมไปได้อย่างไรกัน ว่าในจวนแห่งนี้ยังมีบุตรสาวที่นางชังอยู่อีกผู้หนึ่ง ในเมื่อนางไม่ต้องการเห็นลูกในไส้ต้องตกระกำลำบาก นางก็คงต้องส่งลูกสาวนอกไส้ไปรับเคราะห์แทน คิดได้ดังนั้นก็รีบลุกขึ้น ปัดป้ายคราบน้ำตาทิ้ง จัดระเบียบเส้นผมและเสื้อผ้า ดึงรอยยิ้มกลับมาพลางเชิดหน้าออกจากเรือนมั่งมี เรื่องนี้นางต้องรีบพูดกับนายท่านให้เร็วที่สุด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD