“คุณหนู!”
มี่เจี๋ย มี่ฮวน เดินเข้ามาในห้องก็ต้องแปลกใจกับแจกันข้างเตียงของคุณหนูที่ปรากฏดอกบัวสีชมพูอ่อนกำลังแย้มกลีบบาน ดูระรื่นชื่นตาคล้ายกับมีบึงบัวอยู่ในห้องก็ไม่ปาน แต่พวกนางจำได้ว่าไม่เคยนำของสิ่งนี้มาไว้ในห้องมาก่อน จึงได้แต่พุ่งเข้าไป ใช้ตะขอเกี่ยวมุ้งพลางพินิจมองเรือนร่างบอบบางของคุณหนูที่อยู่ใต้ผ้าแพรผืนบางอย่างเป็นกังวล
เช้าวันนี้พวกนางสองคนต่างตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนงง ปวดหัวหน่อยๆ ได้แต่คิดว่าคงเป็นอาการหลังตื่นนอนธรรมดาเท่านั้น ทว่าตอนนี้มีของแปลกปลอมทำให้อดระมัดระวังไม่ได้จริงๆ
“คุณหนูตื่นเถิดเจ้าคะ”
ลู่เพ่ยรู้สึกหนักหัวนัก ดวงตาก็คล้ายจะเปิดได้ยากเย็นกว่าหลายวันก่อน นางง่วงจนไม่อยากขยับตัว แต่เพราะเสียงร้อนรนของสาวใช้ แถมยังแรงเขย่าที่ท่อนขาทำให้สุดท้ายต่อให้ง่วงแค่ไหนก็ต้องลืมตามองคนทั้งคู่อยู่ดี
“คุณหนู ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ”
“ข้าง่วง” พึมพำตอบไม่เต็มเสียงนัก จะไม่ให้ง่วงได้อย่างไรกัน ในเมื่อสองคืนก่อนหน้านี้นอนไม่หลับ แถมเมื่อคืนก็มีคนบุกรุกเข้ามาก่อกวน ทำเอาตาเบิกค้างจนเกือบรุ่งสาง พอจะนอนต่ออีกหน่อยก็ถูกรบกวน อุตส่าห์ทะลุมิติเข้ามาเป็นคุณหนูรองในจวนเสนาบดีที่ไม่ใคร่จะมีใครใส่ใจทั้งที ก็ขอนอนพักยาวๆ หน่อยจะเป็นอะไรไป
เมื่อร่างของผู้เป็นนายโงนเงนเจียนล้มไปอีก มี่เจี๋ยก็ได้เขย่าแรงๆ “บ่าวเสียมารยาทแล้ว”
“พอแล้วๆ ข้าตื่นแล้ว เจ้าไปยกน้ำเข้ามาเถอะ”
มี่ฮวนเป็นคนถอยออกไป แต่มี่เจี๋ยกลับกำลังนวดแขนนวดขาให้
“เจ้าไม่ต้องนวดแล้ว ยิ่งนวดข้ายิ่งง่วง”
“คุณหนูตอบบ่าวมาเดี๋ยวนี้นะเจ้าคะ ว่าดอกบัวแจกันนั้นมาอยู่ข้างเตียงของคุณหนูได้อย่างไร”
“ดอกบัวอะไร” ลู่เพ่ยทำตาปริบๆ ถาม ครั้นปรายตามองเห็นแจกันหยกสีขาวที่ปักด้วยดอกบัวสีชมพูสดก็ได้แต่อ้าปาก ถึงจะคาดเดาได้หลายส่วนแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมา “ในเมื่อเจ้าไม่รู้ และข้าก็ไม่รู้ว่ามันมาปรากฏที่นี่ได้อย่างไร เจ้ารีบเอาแจกันนี่ไปเก็บ อย่าให้ใครเห็นเด็ดขาด”
“แล้วดอกบัว”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่ดอกบัวที่เราเก็บมาจากบึงด้านหลังจวนเท่านั้น”
“เจ้าค่ะ” มี่เจี๋ยรีบร้อนไปจัดการตามคำสั่ง เพราะถ้าปล่อยให้บ่าวรับใช้ที่ไม่ได้รับใช้ใกล้ชิดคุณหนูเห็นของแปลกปลอมที่มีมูลค่าอย่างแจกันหยกใบนี้เข้าละก็ ได้เกิดเรื่องใหญ่จนคนในเรือนใจสงบรับไม่ไหวเป็นแน่
เมื่อคนใกล้ชิดออกไป สีหน้าของลู่เพ่ยจึงค่อนข้างเป็นกังวล นางเป็นสตรีในห้องหับ อยู่ในจวนเสนาบดีใหญ่ของแคว้น ถ้าจู่ๆ มีของแปลกปลอมมาอยู่ในเรือน ไม่ว่าจะเป็นชิ้นเล็กหรือใหญ่ ถ้าเกิดคนเรือนอื่นรู้เข้าเกรงว่างานนี้ต่อให้นางไม่อยากเข้าไปเป็นสนมในวังก็ยากจะมีชีวิตรอดอยู่ในจวนนี้ นึกแล้วก็ให้เคืององค์ชายหกนัก อีตาองค์ชายนั่นไม่รู้เลยหรือว่ากำลังสร้างความลำบากให้นางขนาดไหน
คนที่กำลังถูกนึกถึงน่ะหรือ ตอนนี้กำลังนั่งฟังรายงานจากองครักษ์ แถมยังลงมือเขียนอักษรด้วยลายเส้นโค้งงดงามดูมีอำนาจและพละกำลัง แถมยังแฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดอีกด้วย
“เพ่ยเอ๋อ” คนไม่กลัวตายคนหนึ่งยื่นหน้ายื่นตามามองตัวอักษรบนกระดาษ “นี่ไม่ใช่ชื่อคุณหนูรองแห่งจวนตาเฒ่าลู่หรอกหรือ เหตุใดพบกันเพียงครั้งชื่อของนางถึงได้สลักอยู่ในจิตใจกระด้างขององค์ชายได้เล่า”
“ข้าจิตใจกระด้างรึ” พอหมึกบนกระดาษแห้ง เฟยหลิงก็ม้วนมันแล้วเคาะลงบนบ่าของคนปากดี แม้น้ำหนักมือจะไม่แรงนักแต่เหล่าองครักษ์เงาที่แขวนตัวอยู่บนขื่อคานหรือแม้แต่นอกห้องก็ยังได้ยินเสียงกำลังภายในชัดเจน ทำเอาองครักษ์คนสนิทอย่างซือโฉวถึงกับต้องกระอักไอออกมา แล้วกุมบ่าตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวดยิ่ง
“องค์ชายทรงไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย อย่าฆ่ากระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เฟยหลิงไม่ตอบคำ ทำเพียงเดินเลยผ่านแล้วสอดกระดาษเข้าไปในช่องลับช่องหนึ่งพลางสั่งการด้วยน้ำเสียงเรียบยิ่ง “เก็บไว้ให้ดี”
อย่าว่าแต่เหล่าองครักษ์เงาที่อ้าปากค้างเลย แม้แต่ซือโฉวเองก็ต้องทำตาปริบๆ ก็แค่ชื่อของลูกสาวศัตรูคนหนึ่งมีอะไรสลักสำคัญถึงกับต้องเก็บไว้ในหอข่าวด้วย หอข่าวแห่งนี้มีชื่อเรียกในหมู่องครักษ์เงาว่าเยว่ซิน มันคือชื่อร้านขายยาอันดับหนึ่งของเทียนโจว แต่มันก็เป็นที่ขายข่าวและซื้อข่าวสารจากทั่วสารทิศทั้งในแคว้นและต่างแคว้นเช่นกัน ภายในหอข่าวของเยว่ซินล้วนมีองครักษ์คุ้มกันแน่นหนา มีคนเพียงสองคนเท่านั้นที่จะเข้าสู่ข้อมูลลับสูงสุดได้ นั่นก็คือ องค์ชายหกผู้ที่ป่วยเจียนตายคนนี้กับตาเฒ่าคนหนึ่ง ร้านเยว่ซินรับซื้อข่าวสารมานานหลายสิบปีแล้ว คนที่ก่อตั้งก็คือตาเฒ่าเซินนั่นแหละ พอตาแก่นั่นเบื่อโลกก็ละทิ้งทุกอย่างให้องค์ชายหกดูแล ส่วนตัวเองนั้นหันไปปลูกสมุนไพร คิดค้นยาพิษกับยาแก้พิษ ใช้ชีวิตเป็นตาเฒ่าที่สุขสบายยิ่งนัก
เมื่อเห็นผู้เป็นนายเก็บของรักไว้เรียบร้อยแล้ว ซือโฉวก็โค้งตัวรายงาน “ท่านผู้เฒ่าเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว อีกเจ็ดวันองค์ชายหายจากโรคประหลาดได้ แต่ก่อนจะหายองค์ชายคงต้องทรงลำบากนิดหน่อย”
ซือโฉวล้วงเข้าไปในแขนเสื้อแล้วส่งขวดหยกขวดหนึ่งให้ “เพื่อความสมจริงก่อนหายจากอาการป่วย ขอเชิญองค์ชายสัมผัสความทรมาน สามวันต่อจากนี้จะเดินไม่ได้ ห้าวันผ่านไป กลางวันจะหนาวเหน็บราวกับถูกแช่แข็ง กลางคืนจะร้อนเฉกเช่นอยู่กลางทะเลทราย ครบเจ็ดวันองค์ชายจะหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง ระหว่างนี้จะไม่มีหมอหลวงคนใดรักษาอาการป่วยของคุณชายได้ ทว่าเมื่อยาใกล้หมดฤทธิ์ท่านผู้เฒ่าจะปรากฏตัว และองค์ชายจะหายเป็นปกติพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมต้องยุ่งยากด้วย”
“ตาเฒ่าบอกว่า ไหนๆ ก็จะกลับมาทั้งที ก็อยากให้ยิ่งใหญ่นิดหน่อย”
“ไม่ใช่ข้าหรอกที่อยากกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ คงเป็นตาเฒ่าสารพัดพิษนั่นมากกว่า”
“ถ้าเจ้าบ้าหลิงไม่อยากได้ก็เอาคืนมา”
สิ้นเสียงก็มีลมพัดเย็นๆ วูบหนึ่งพัดผ่านหน้าซือโฉวไป สุดท้ายขวดหยกล้ำค่าก็ถูกตาเฒ่าเซินแย่งคืน เฟยหลิง จึงได้แต่ตวัดตามององครักษ์ที่ปล่อยให้ตาเฒ่าแย่งของไปได้ ทว่าอีกฝ่ายก็ทำเพียงไม่รู้ไม่ชี้แล้วหนีหายไป พอประตูห้องหนังสือปิดลง เหล่าองครักษ์เงาก็ได้ยินเสียงโครมครามของการต่อสู้ระหว่างองค์ชายกับตาเฒ่า งานนี้ไม่มีใครเสี่ยงเข้าใกล้ เพราะรู้ดีว่ารอบๆ ห้องหนังสือถูกตาเฒ่าวางยาพิษไว้ทุกซอกทุกมุมแล้ว คนที่ทนพิษได้เพราะมีพิษสะสมในตัวมากกว่าร้อยพิษก็เห็นจะมีแต่องค์ชายกับท่านผู้เฒ่าเท่านั้น
เวลาผ่านไปราวครึ่งเค่อ ประตูห้องหนังสือพลันเปิดออก ตาเฒ่าเซินลูบเครายิ้มแย้มอารมณ์ดี ขณะที่องค์ชายหกนอนหมดสภาพอยู่กับพื้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อแต่ก็ยังมีเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
“ไม่มีพิษแล้ว เข้ามาเถอะ”
ซือโฉวก้าวเข้ามาเป็นคนแรก แล้วองครักษ์เงาประจำขื่อก็พลิ้วตัวไปหลบเร้นในมุมมืด แต่ละคนทำทีท่าไม่เห็นสภาพอเนจอนาจของผู้เป็นนาย มีแค่เพียงซือโฉวที่ปัดๆ เสื้อผ้า แล้วสั่งบ่าวรับใช้มาเก็บกวาด เมื่อห้องหนังสือกลับมาอยู่ในสภาพเดิมก็รินน้ำชาให้
“องค์ชายแย่งของมาได้แล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ และตาเฒ่านั่นก็ยัดใส่ปากข้ามาแล้ว” เฟยหลิงเทน้ำชาอุ่นร้อนลงคอ สีหน้าทางสงบเยือกเย็นยิ่ง ราวกับเมื่อครู่ไม่ได้บอกว่าเพิ่งกินยาพิษ
“เจ้าไปเตรียมการเถอะ”
“น้อมรับคำสั่ง”
ซือโฉวหมุนกายออกไปนานแล้ว เฟยหลิงถึงได้โบกมือเรียกองครักษ์เงาออกมา “คนในเรือนใจสงบเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณหนูรองให้คนยกแจกันหยกไปเก็บ ส่วนดอกบัวนั้นคุณหนูรองบอกว่า ก็แค่ดอกบัวที่เราเก็บมาจากบึงด้านหลังจวนเท่านั้น”
“ในเมื่อดอกบัวจากบึงหลังจวนเสนาบดีลู่มีมากนักก็ส่งไปอีก”
“แล้วแจกัน”
“ไม่ต้องส่งไป เดี๋ยวข้าจะเอาไปให้นางด้วยตัวเอง”
“องค์ชายจะเสด็จเรือนใจสงบอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปสิ ทำไมข้าจะไม่ไปเล่า ข้ายังอยากเห็นหน้านางก่อนที่ข้าจะฟื้นจากอาการป่วยอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นบ่าวจะรีบไปเตรียมการ”
เฟยหลิงยกยิ้มน้อยๆ คล้ายพอใจ โบกมืออีกครั้งองครักษ์เงาก็หมุนกายจากไป ทิ้งไว้เพียงสายลมเย็นวูบหนึ่งเท่านั้น พอมองตามไปก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ อีก นี่คือผลของการฝึกปรือร่วมกันมาหลายปี ทุกคนในหน่วยเยว่ซินสาขาหลักสามพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชีวิตในเมืองหลวงล้วนฝีมือไม่ธรรมดาเลยแม้แต่คนเดียว ส่วนหน่วยเยว่ซินจากสาขาย่อยซึ่งประจำอยู่ชายแดนทั้งสี่ทิศทางจำนวนเก้าพันเก้าร้อยชีวิตนั้นก็ล้วนเชี่ยวชาญการศึกยิ่งนัก คนของหน่วยเยว่ซินหนึ่งชีวิตสามารถรับมือทหารประจำชายแดนได้สามสิบคนไม่ขาดไม่เกิน ทุกคนในหน่วยนี้ถือได้ว่าเป็นพี่น้องที่เขารักใคร่ยิ่ง แต่คนที่มีฝีมือสูงสุดก็คงจะเป็นตาเฒ่าเซิน เพราะสะบัดพิษเพียงครั้งก็สามารถพรากชีวิตผู้คนได้มากมาย บางทีเมืองเมืองหนึ่งก็อาจถูกกำจัดไปในชั่วกะพริบตา
หลังจากโบกมือไล่องครักษ์ทุกคนไป ในห้องหนังสือแห่งตำหนักเหอฮวาก็พลันกลับมาเงียบสงบ มีแค่เพียงปฏิกิริยาจากพิษของตาเฒ่าเท่านั้นที่เฟยหลิงสัมผัสได้ ทั้งๆ ที่เขาคิดว่าหลังกลับจากเรือนใจสงบถึงจะกินมันเข้าไป แต่ตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สุดท้ายต้องแบกร่างที่ได้รับพิษไปหานาง อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันเขาจะได้ถือโอกาสออดอ้อนนางสักเล็กน้อย
ถ้าหากเหล่าองครักษ์เงารู้ว่าค่ำคืนนี้องค์ชายของพวกเขาจะไปออดอ้อนสาวงามล่ะก็ คงได้มีอาการตกตะลึงกันบ้าง