บทที่ ๕ บุกรุกเรือนใจสงบ(๑)

1113 Words
ไม่รู้ว่าสองสามคืนมานี้เกิดอะไรขึ้น ภายในอกของ ลู่เพ่ยรู้สึกร้อนวูบวาบอย่างประหลาด ไม่สิ ตั้งแต่วันที่นางลักลอบออกจากจวนไปพบบุรุษผู้นั้น ใจของนางก็ไม่สงบอีกเลย ทุกๆ วันทำได้เพียงหัดวาดภาพเขียนกลอน ถึงแม้เจ้าของร่างนี้จะเชี่ยวชาญหลายอย่าง แต่ว่าถึงยังไงนางก็เพิ่งเข้ามาอยู่ในร่างนี้ก็คงต้องเรียนรู้ไว้ให้ถนัดมือบ้าง เวลาลงมือขึ้นมาจริงๆ จะได้ไม่ดูขัดหูขัดตาคนอื่นนัก แต่ถึงจะสั่งให้ตัวเองทำเช่นนั้น นางกลับเอาแต่มองไปรอบๆ ห้อง คล้ายระแวดระวัง คล้ายหวั่นกลัว ในที่สุดค่ำคืนนี้ก็ทนไม่ไหว ต้องสอดกายออกจากม่านมุ้ง คลุมทับเนื้อตัวเพียงผ้าผืนบางแล้วเดินออกมาเปิดหน้าต่างรับลมเย็น เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้อง มี่เจี๋ยก็เปิดประตูเข้ามาแผ่วเบา แสงเทียนที่วูบไหวอยู่ด้านข้างเผยให้เห็นแผ่นหลังบอบบางของคุณหนูรองที่ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก ตั้งแต่อยู่รับใช้ใกล้ชิดมา หลายวันมานี้ถึงแม้คุณหนูจะดูเข้มแข็งมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทว่าในยามนี้คุณหนูก็ยังคงดูเปราะบางราวกับแก้วที่พร้อมจะแตกสลาย “คุณหนู นอนไม่หลับหรือเจ้าคะ” “บรรยากาศคืนนี้ดูแปลกนัก ข่มตาเท่าไร ข้าก็หลับไม่ลง” “ตั้งแต่กลับมาจากร้านเยว่ซิน บ่าวเห็นคุณหนูไม่สบายใจสักเท่าไร พรุ่งนี้ให้บ่าวตามหมอมาดูอาการสักหน่อยดีไหมเจ้าคะ” “เจ้าอย่าลำบากเพราะข้านักเลย ข้าไม่เป็นไรหรอก แค่ยังไม่คุ้นชินเท่านั้น” ไม่คุ้นชินเรื่องอะไรนั้น ไม่สามารถบอกมี่เจี๋ยได้จริงๆ ถ้าจู่ๆ นางบอกว่าไม่ใช่คุณหนูรองของจวนนี้ ถ้ามี่เจี๋ยเห็นอกเห็นใจบ้างก็คงจะอยู่รับใช้ต่อไป หรือไม่ก็ไปเรียกนักทรตมาทำพิธีขับไล่ให้จากไป ดังนั้นตอนนี้นางเสี่ยงสารภาพความจริงไม่ได้ จึงต้องจำทนอยู่ต่อไป แต่สิ่งที่ตั้งมั่นก็คือ นางจะไม่มีวันยอมมีบทสรุปสุดท้ายเหมือนในหนังสือนิยายเด็ดขาด ลู่เพ่ย ต้องโทษถูกสั่งขังไว้ในตำหนักเย็นน่ะหรือ ไม่มีวันเสียล่ะ ชีวิตของลู่เพ่ยต้องดียิ่งๆ ขึ้น ไม่มีวันตกต่ำเด็ดขาด ครั้นยืนรับลมนานพอควรแล้ว น้ำเสียงนิ่งสงบดุจผิวน้ำจึงดังขึ้น “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้อีกสักพัก” “คุณหนู...” มี่เจี๋ยเรียกด้วยความห่วงใย “ไม่เป็นไร ไปเถอะ” “ถ้าคุณหนูอยากได้อะไร เรียกบ่าวได้นะเจ้าคะ” ลู่เพ่ยเพียงยิ้มบางๆ กระชับผ้าคลุมไหล่ให้แน่นขึ้นแล้วเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้ากว้างที่ไร้แสงจันทร์ ยามนี้มีดาวเพียงไม่กี่ดวงปรากฏ มองแล้วก็นึกถึงอีกโลกหนึ่งของตน ไม่รู้ว่าท้องฟ้าที่นั่นจะสว่างไสวแค่ไหน ในสำนักงานบัญชีที่นางทำงานคงวุ่นวายเป็นแน่ หรือว่าบิดามารดาพี่น้อง เพื่อนร่วมงานในโลกนั้นจะลืมเลือนไปแล้วว่ายังมี คะนึงนางค์ รัตนรำไพ อยู่อีกคน แต่ก็นั่นแหละถึงพวกเขาจะลืมก็คงกล่าวโทษอะไรไม่ได้ ในเมื่อนางมายังยุคนี้แล้วไม่รู้จะสามารถกลับไปได้อีกหรือเปล่า รัชสมัยหมิงชิงตี้ปีที่ยี่สิบห้า แคว้นเฟยเทียน น่ะหรือ มันก็เป็นแค่เรื่องราวในนิยายเท่านั้น ทุกสิ่งที่นางอ่าน ทุกเรื่องที่นางกำลังเผชิญล้วนเกิดจากจินตนาการของนักเขียนคนนั้น คิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด ว่าจู่ๆ ต้องมาสวมบทบาทเป็นหนึ่งในตัวละครที่ไม่สลักสำคัญใดๆ เสียงทอดถอนหายใจคล้ายเป็นกังวลนักหนา พลันทำให้เงาวูบวาบที่ผ่านเข้ามาแล้วยึดเตียงนอนต้องเคาะปลายนิ้วลงกับหมอนเบาๆ แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้คนยืนอยู่บริเวณหน้าต่างเบิกตากว้าง พริบตาเดียวก็ตวัดมองม่านมุ้งที่มีเงาของใครคนหนึ่ง “มีคน...!” ยังตะโกนออกมาไม่จบประโยคก็ต้องครางอื้ออึงประท้วง เมื่อฝ่ามือเย็นเฉียบของคนผู้หนึ่งตะครุบริมฝีปากบางนุ่มไว้แน่น กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกเหอฮวาโชยแตะจมูกเสียจนรู้สึกประหลาดคล้ายพลัดหลงไปอยู่ในบึงบัวก็ไม่ปาน แต่ถึงจะหลงใหลไปกับกลิ่นกายของบุรุษด้านหลัง ทว่านางยังคงออกแรงดิ้นรนให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการ “เพ่ยเอ๋อ...เจ้าช่างพยศนัก” น้ำเสียงนี้ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ กลิ่นกายแบบนี้นางจำได้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของ ตอนนี้จึงหาทางเอาตัวรอดด้วยการกระทืบหลังเท้าของเขาอย่างแรง นางไม่คิดหรอกนะว่าองค์ชายผู้มากความสามารถในแคว้นเฟยเทียนจะเซ่อซ่าเสียจนไม่ทันระวัง แต่อีตานี่ก็คงจะเซ่อจริงๆ เพราะตอนนี้กระโดดออกไปไกล แถมยังสูดปากคราง แววตานั้นจ้องกลับมาคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อ “เจ้า!” การทำร้ายเชื้อพระวงศ์มีโทษถึงตาย ข้อนี้นางรู้ดีจึงรีบคลี่ยิ้มประจบ “องค์ชายหก ทรงเป็นอะไรไปเพคะ” “เจ้า...” จะให้บอกว่านางเหยียบหลังเท้า ทั้งๆ ที่เขาออกจะเชี่ยวชาญการต่อสู้ทุกรูปแบบ แต่กลับถูกสตรีในห้องหับผู้หนึ่งทำร้ายจนเจ็บได้ ถ้าเกิดข่าวนี้แพร่ไปในหมู่องครักษ์ละก็ ไม่รู้จริงๆ ว่ายังจะปกครองคนพวกนั้นได้หรือเปล่า สุดท้ายก็ทำเพียงถอยหลังไปทิ้งกายนอนเหยียดยาวลงบนเตียงของนางหน้าตาเฉย ในเมื่อเขาอยากนอนบนเตียง อาศัยร่างเล็กๆ บอบบางนี้นางก็ไม่มีความสามารถขับไล่เขาแล้ว สุดท้ายจึงได้ยกเก้าอี้มานั่งข้างเตียง เท้าคางทำตาปริบๆ มอง “ยามวิกาล องค์ชายลักลอบเข้ามาในเรือนของหม่อมฉันเช่นนี้ คงไม่คิดมานอนกินลมชมวิวบนเตียงของหม่อมฉันกระมัง” “ข้าไม่ได้มานอนกินลมชมวิว” “แล้วองค์ชายเสด็จมาทำอะไร?” อีตานี่ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย นางยังพูดไม่จบก็ถูกดึงขึ้นมานอนข้างๆ เสียแล้ว จึงได้แต่ดิ้นรนฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ ทว่าดิ้นจนเหนื่อยก็ไม่สามารถขยับตัวได้ แถมยิ่งดิ้นทั้งแขนขา หรือแม้แต่ปากก็พลันแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD