“ดุเหมือนที่ลุงชิตบอกจริง ๆ ด้วย” คณินเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจเย็นในขณะที่มือก็ยังดันประตูเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายปิดมัน
“เป็นบ้ารึไง ออกไป ! ”
“เดี๋ยวสิ ขอคุยด้วยหน่อยไม่ได้เหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ลันลภัสถึงกับต้องแบะปากมองบน ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าเสือผู้หญิงอย่างคณินต้องการอะไร
“ไม่ได้โว้ย ! คนจะหลับจะนอน”
“ถ้าขอคุยด้วยไม่ได้ ก็ขอนอนด้วยละกัน”
“พูดอะไร ออกไปห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ” หญิงสาวตวาดเสียงกร้าวเมื่อเห็นท่าทีระรานของอีกฝ่าย มือเรียวพยายามดันประตูให้ปิดลงแต่มันก็สู้แรงของบุรุษเพศตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี “ฉันบอกให้ออกไปไง ออกไป ! ”
“ถ้าพูดดี ๆ ด้วยไม่ได้เห็นทีฉันคงต้องใช้กำลังแล้วล่ะ” พูดจบ ชายหนุ่มจึงออกแรงผลักประตูเข้าไปกระแทกกับร่างบางที่อยู่ข้างในจนล้มลงกับพื้นก่อนที่จะใช้จังหวะนั้นปิดล็อคประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา
“แกจะทำอะไร ออกไปเดี๋ยวนี้นะ” ลันลภัสเห็นท่าไม่ดีจึงรีบถลาไปหยิบไม้กวาดตรงมุมห้องซึ่งเป็นอาวุธเดียวที่พอจะป้องกันตัวได้ในตอนนี้
“ไม่เอาน่า ฉันอุตส่าห์คุยด้วยดี ๆ ใจคอจะไม่เปิดโอกาศให้หน่อยรึไง”
“ไม่ ! คนอย่างฉันไม่มีวันญาติดีกับพวกค้ายาอย่างแกหรอก” หญิงสาวสวนกลับทันควันทั้งที่คณินยังพูดไม่จบ ไม้กวาดในมือชี้ไปด้านหน้าเตรียมฟาดไม่ยั้งถ้าหากอีกฝ่ายเข้าไปใกล้ “คนชั่ว ๆ อย่างแก แค่เข้าใกล้ก็สะอิดสะเอียนจะแย่”
“ยังไม่ลองเปิดใจเธอก็รู้แล้วเหรอว่าฉันเลว” ชายหนุ่มขบกรามแน่นแต่ก็ทำได้แค่ข่มอารมณ์เอาไว้
“เลิกเพ้อเจ้อแล้วออกไปจากห้องฉันได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะโทรเรียกตำรวจมาลอกคอแกไป”
“หึ” คณินหัวเราะในลำคอแผ่วเบา เขายังยืนนิ่งมองไม้กวาดในมือหญิงสาวอย่างใจเย็น “เธอแน่ใจเหรอว่าตำรวจพวกนั้น มันจะทำอะไรฉันได้”
“...” ลันลภัสชะงักกึก ลืมไปเสียสนิทว่าอิทธิพลของเสี่ยภาคินและลูกชายอย่างคณิน มันกว้างขวางเสียจนตำรวจเองก็ยังเอาผิดไม่ได้
“เอาล่ะ...ในเมื่อเธออยากให้ฉันออกไป ฉันออกไปก็ได้ เอาไว้เธออารมณ์ดีกว่านี้แล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่” ร่างสูงยิ้มกริ่มก่อนจะหันหลังทำท่าเปิดประตูออกจากห้องไป นับหนึ่งถึงสามเบา ๆ เมื่อคิดว่าหญิงสาวชะล่าใจเขาจึงรีบหมุนตัวคว้าไม้กวาดในมือเล็กเขวี้ยงลงบนพื้นทันที
“แก...แกต้องการอะไร” ลันลภัสหน้าเหวอ อาวุธเดียวที่มีถูกคนบุกรุกปาทิ้งไป หญิงสาวเห็นท่าไม่ดีจึงรีบถอยทันที
“ก็บอกไปแล้วไง ในเมื่อพูดดี ๆ ไม่ได้เห็นทีฉันคงต้องใช้กำลัง”
“อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาฉันเอาแกตายแน่” มือเล็กกำหมัดแน่นยกขึ้นตั้งฉาก แม้รู้ดีว่าตัวเองไม่มีทางจะสู้อีกฝ่ายได้ แต่ถ้าหมามันจนตรอกมันก็สู้ไม่ถอยเหมือนกัน
“เอาสิ ฉันเองก็อยากรู้ว่าเธอจะแน่สักแค่ไหน” เจ้าของสายตาที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหายค่อย ๆ ย่างสามขุมไปหาคนที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงมุมห้องช้า ๆ
ความกลัวแล่นขึ้นมาจับจิต แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดมันสั่งให้เธอต้องสู้ เมื่อคณินเดินเข้ามาใกล้ มัดน้อย ๆ จึงเงื้อขึ้นก่อนจะฟาดลงไปบนใบหน้าคมคร้ามนั้นสุดแรง แต่มันก็ทำได้แค่มุมปาดของอีกฝ่ายมีรอยช้ำขึ้นมาจาง ๆ เท่านั้น
ลิ้นสากเลาะเล็มรอยช้ำบนปากของตัวเองช้า ๆ ในขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่เหยื่อตัวน้อยตรงหน้าอย่างหื่นกระหาย
“คราวนี้ถึงตาฉันบ้าง อย่าว่ากันนะ”
“กรี๊ด ! ” เสียงกรีดร้องดังลอดออกมาทันทีที่แขนกำยำตวัดเอวบางจนร่างเล็กล้มลงบนฟูกนอนเก่า ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะโน้มตัวลงคร่อมร่างบางเอาไว้ ใช้มือหนาตรึงมือเล็กไว้เหนือศีรษะด้วยความว่องไว “ปล่อยฉันนะ ไอ้บ้า ! ฉันบอกให้ปล่อย”
“ดี ร้องออกมาแบบนี้แหละ ฉันชอบ”
“กรี๊ด ! ออกไป” ใบหน้าหวานเปียกรื้นไปด้วยน้ำตาเมื่อใบหน้าคมคร้ามกำลังซุกไซ้อยู่ตรงลำคอขาวระหง มือเรียวพยายามดันแผงอกกว้างออกไปด้วยความรังเกียจ
“อา...” ชายหนุ่มครางกระเส่าออกมาด้วยความภูมิใจ ลันลภัสกัดฟันฮึดสู้ ตัดสินใจใช้จังหวะที่คนบนร่างกำลังเคลิบเคลิ้ม ยกขาขึ้นก่อนจะฟาดลงไปกลางจุดยุทธศาตร์ของอีกฝ่ายสุดแรงจนร่างนั้นล้มลงตัวงองุ้มด้วยความเจ็บปวด “อ้าก ! นังตัวแสบ”
เมื่อตัวเองเป็นอิสระ หญิงสาวจึงรีบลุกจากที่นอนแต่ไม่ทันจะได้ออกจากห้อง มือหนากลับคว้ามับที่ข้อเท้าของเธอเสียก่อน แรงฉุดกระชากทำให้ร่างบางล้มลงกระแทกพื้น ทำให้คณินเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง
“ฤทธิ์เยอะนักนะมึง” ชายหนุ่มฉุนจัด รีบประคองร่างตัวเองให้ยืนขึ้นก่อนจะออกแรงกระชากขาเรียวให้กลับขึ้นไปนอนบนฟูกอีกครั้งโดยไม่ได้สนใจเลยว่าร่างบางจะกระแทกกับอะไรต่ออะไรภายในห้องบ้าง
“ปล่อยฉันนะไอ้เลว ฉันบอกไงปล่อยไง ไอ้หน้าตัวเมีย...” สารพัดคำก่นด่าเงียบหายไปทันทีเมื่อมือหนากระแทกไปที่หน้าท้องแบนราบของเธอสุดแรง รู้สึกจุกและเจ็บปวดจนพูดอะไรไม่ออก
“เก่งนักก็ร้องออกมาอีกสิ ร้าย ๆ แบบนี้ฉันชอบ” มือหนาจิกผมเผ้าที่แผ่สยายอยู่กลางหลังเพื่อให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตา เมื่อเห็นว่าลันลภัสกำลังหมดเรี่ยวแรงจึงผลักร่างนั้นลงไปนอนก่อนจะค่อย ๆ เลิกชายเสื้อยืดขึ้นเพื่อชื่นชมเรือนร่างงามที่ตัวเองหมายปองมานานตั้งแต่วันที่เจ้าหล่อนจะเป็นเด็ก
“น่าเสียดาย...” ร่างที่กำลังอ่อนแรงกัดฟันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวแต่อีกฝ่ายกลับได้ยินมันทุกประโยค “แกเองก็เพรียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ทั้งหน้าตา ฐานะ แต่กลับเอาชนะผู้หญิงด้วยวิธีหน้าตัวเมียแบบนี้ ไม่อายรึไง”
“ต่อให้เธอพยายามพูดยังไงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจหรอก ฮ่า ๆ ๆ ” คณินหัวเราะลั่นราวกับผู้ชนะ มือหนาบรรจงถอดเสื้อยืดตัวเล็กของหญิงสาวออก แต่ยังไม่ทันที่เรือนร่างงามจะปรากฏแก่สายตา สมาร์ตโฟนในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นขัดจังหวะและโอกาศทองเสียก่อน
“พ่อ...” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาทันทีที่เห็นชื่อของคนปลายสาย ก่อนจะตัดสินใจผละจากร่างบางเพื่อกดรับสายทันทีอย่างไม่สบอารมณ์
(แกอยู่ไหน ทำไมไม่กลับบ้านสักที)
“โห่ พ่อ ผมโตแล้วนะ ยังจะโทรตามเป็นเด็ก ๆ ไปได้” คณินกรอกเสียงใส่เหลือบตามองลันลภัสที่พยายามจะลุกหนีอีกครั้งอย่างทุลักทุเล
(ถ้าแกโตทั้งตัว โตทั้งความคิด ฉันก็คงไม่ต้องคอยโทรตามแบบนี้หรอก งานที่ให้ทำน่ะเสร็จหรือยัง)
“เสร็จแล้วครับ”
(เสร็จแล้วก็กลับมา พรุ่งนี้เช้าแกต้องไปส่งล็อตใหญ่อีกที่ จำไม่ได้รึไง) เสี่ยภาคินออกคำสั่งทำให้คณินได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกหลายครั้งก่อนจะตกปากรับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ครับพ่อ”
มือหนากดวางสาย หันไปมองร่างบางอีกครั้ง นึกเสียดายเต็มประดา อุตส่าห์จะได้กินของหวานแล้วแท้ ๆ แต่กลับถูกผู้เป็นพ่อขัดจังหวะเสียได้
“เสร็จแล้วเหรอครับ ไวแท้” บรรดาลูกสมุนที่แอบดูอยู่ข้างนอกเอ่ยถามทันทีที่เห็นผู้เป็นเจ้านายเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“เสร็จกับผีน่ะสิวะ ไป...กลับ”
“เอาไว้โอกาศหน้ามานั่งดื่มด้วยกันอีกนะครับ” เตชิตโบกไม้โบกมือทักทายเจ้านายรุ่นลูกด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกำลังปิดบังบางอย่างไว้
“ฉันมาอีกแน่ บอกลูกเลี้ยงลุง เตรียมตัวไว้ให้ดีละกัน”
คณินกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะขึ้นรถจากไป คนสูงวัยกว่าจึงทรุดกายนั่งลงตรงม้าหินอ่อน เหลือบมองประตูห้องของลันลภัสที่ถูกปิดไว้สนิทแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ลัน ลัน เป็นไงบ้าง” แม้จะรู้ดีว่าผู้เป็นลูกเลี้ยงจะโกรธแค่ไหน แต่ความเป็นห่วงเพราะเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็กมันก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปเคาะประตูห้องเอ่ยถาม
“อย่ามายุ่งกับฉัน ออกไปให้พ้น ! ”
“ปากเก่งอย่างนี้ แสดงว่ายังสบายดีอยู่สินะ” เตชิตยกยิ้มก่อนจะหันกลับไปนั่งยังที่ประจำของตัวเอง โชคดีที่เขาตัดสินใจโทรหาเสี่ยภาคินเพื่อขอความช่วยเหลือได้ทัน ถ้าขืนช้ากว่านี้เขาเองก็ไม่อยากคิดเลยว่าลันลภัสจะมีสภาพเป็นเช่นไร
“เสี่ย ช่วยผมด้วยครับ”
(มีอะไร พวกตำรวจมันบุกมาบ้านอีกรึไง) อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความแปลกใจทันทีที่กดรับสาย
“ปละ...เปล่าครับ แต่ว่าคุณคณิน...” เตชิตลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ให้ฟังด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเพราะเกรงว่าลูกสมุนที่เฝ้าดูอยู่หน้าห้องจะได้ยิน “คุณคณินกำลังจะปล้ำไอ้ลันครับเสี่ย”
(ฮ่า ๆ ๆ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องมาขอให้ฉันช่วยล่ะ เดี๋ยวพอมันเสร็จมันก็ให้เงินแกเองแหละน่า ไม่ต้องเป็นห่วง) เสี่ยภาคินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไร ประหนึ่งว่าการกระทำของลูกชายนั้นมันกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับเสี่ย ผมไม่อยากให้คุณคณินเขาทำร้ายไอ้ลันมัน มันยังเด็กมาก อีกอย่างผมก็สัญญากับแม่มันไว้ด้วย”
(ถ้าฉันช่วยมัน แล้วฉันจะได้อะไรล่ะ) คำถามนั้นทำเอาเตชิตถึงกับจนด้วยคำพูด แต่เสียงกรีดร้องของหญิงสาวภายในห้องมันเลยทำให้เขาไม่มีทางเลือกจึงต้องเสนอบางอย่างออกไป
“ไอ้ลันมันเป็นเด็กฉลาด ถ้าเกิดเราได้มันมาช่วยส่งของให้ ผมรับรองว่าพวกตำรวจไม่มีทางจับได้แน่นอนครับ...นะครับ ช่วยมันที...นะเสี่ย”
(ข้อเสนอนี้น่าสนใจ เอาไว้ฉันจะจัดการไอ้คณินมันให้ก็แล้วกัน แล้วอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้ด้วยล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะส่งคนไปรับ เอามาฝึกวิชาก่อนจะได้ไม่ตื่นสนาม)
“ครับเสี่ย”
ปลายสายกดวางไปเพียงไม่นาน ร่างของคณินก็เดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เขาพอใจอยู่ไม่น้อยแต่พอนึกถึงข้อตกลงของเสี่ยภาคิน รอยยิ้มเจือจางนั้นกลับหายไปในทันที
“จะไปไหนแต่เช้า” เสียงแหบพร่าของคนสูงวัยเอ่ยถามเมื่อหันไปเห็นร่างบางระหงแต่งตัวออกจากห้องตั้งแต่เช้าตรู่
“จะไปหาแม่” หญิงสาวตอบกลับไปแต่เพียงสั้น ๆ ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าคนถามเลยด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวฉันพาไป”
“ไม่ต้อง ! คิดว่าตบหัวแล้วมาลูบหลังแบบนี้ฉันจะให้อภัยรึไง” ลันลภัสตวาดกร้าว ฝันร้ายเมื่อคืนยังติดตรึงอยู่ในหัวไม่จางหาย
“นี่แกอย่าบอกนะว่าฉันยอมให้คุณคณินเขาเข้าไปปล้ำแกเมื่อคืนน่ะ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะลุงแล้วจะเป็นใคร พวกเดียวกันนี่”
“ฉันจะบอกให้แกรู้ไว้นะไอ้ลัน ถึงฉันจะเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน แต่ฉันก็ทนไม่ได้หรอกนะที่จะเห็นแกถูกทำร้ายต่อหน้าแล้วไม่ทำอะไร” เตชิตตัดสินใจบอกความจริงออกไปเพื่อหวังให้ความเกลียดชังในใจของหญิงสาวที่มีต่อเขาลดลงไปบ้าง
“อ้อ ! นี่อย่าบอกนะว่าที่ไอ้หื่นมันยอมกลับไปเป็นเพราะลุงไปสั่งมัน”
“ก็เออดิวะ แล้วคนที่แกต้องไปขอบคุณ คือเสี่ยภาคินเขา เมื่อคืนน่ะ ฉันนี่แหละที่โทรไปขอร้องให้เขาช่วย ไม่งั้นแกได้เป็นเมียคุณคณินเขาจริง ๆ แน่”
“แบบนี้ฉันต้องก้มกราบลุงด้วยหรือเปล่าล่ะ” หญิงสาวประชดประชันสุดฤทธิ์ ต่อให้เตชิตทำดีกับเธอแค่ไหนยังไงในสายตา เขาก็เป็นได้แค่พ่อเลี้ยงที่ไม่เอาไหนเท่านั้น
“เอ๊ะ ! ไอ้นี่ ใจคอจะไม่ญาติดีกันเลยสักวันหรือไงวะ”
“ตราบใดที่ลุงยังยุ่งเกี่ยวกับยานรกนั่น ฉันก็ไม่มีวันนับถือลุงเป็นพ่อหรอก” ลันลภัสตวาดกร้าวก่อนจะเดินออกจากบ้านไป แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตูรั้ว รถตู้สีดำก็แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเสียก่อน
“เสี่ยให้มารับ” คนขับรถเปิดประตู เอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมาตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย ลันลภัสเห็นท่าไม่ดีจึงรีบถอยไปยืนหลบอยู่ด้านหลังเตชิต
“มารับใคร”
“มารับแกนั่นแหละ เมื่อคืนพ่อแกไปสัญญาอะไรไว้กับเสี่ยเขาล่ะ” คำตอบของพวกมันทำให้หญิงสาวหันไปมองหน้าอีกคนทันที
“นี่มันอะไรกัน ลุงคิดจะทำอะไร ทำไมไม่บอกฉันสักคำ”
“ฉันกำลังหางานให้แกอยู่ต่างหาก แกกำลังหาเงินไปรักษาแม่แกอยู่ไม่ใช่เหรอ ลำพังเงินเดือนแค่หมื่นต้น ๆ มันจะไปพออะไร” เตชิตก้มหน้าตอบเพื่อหลบสายตาที่กำลังจ้องจับผิดของลันลภัส
“แล้วลุงถามฉันหรือยัง ว่าฉันอยากไปทำงานบ้า ๆ นี่หรือเปล่า แค่นี้ฉันก็กลายเป็นคนที่น่ารังเกียจพออยู่แล้ว”
“ไอ้ลัน นี่ฉันกำลังหวังดีกับแกอยู่นะเว้ย ! ”
“เหอะ เก็บความหวังดีของลุงไว้เถอะ ฉันไม่ต้องการ” หญิงสาวขบกรามแน่นก่อนจะกระแทกไหล่คนสูงวัยเดินออกจากบ้านไป ทว่าลูกน้องของเสี่ยภาคินที่ขับรถมารับกลับเดินมาขวางทางเอาไว้
“จะไปไหน บอกแล้วไงว่าเสี่ยต้องการพบ”
“แต่ฉันไม่อยากพบ หลีกไป ! ”
“ถ้าพูดดี ๆ ไม่รู้เรื่อง อยากคุยกับลูกตะกั่วแทนก็ลองดู” คำขู่ของพวกมันทำให้สองเท้าที่กำลังก้าวเดินต้องหยุดนิ่ง เตชิตจึงรีบเข้ามาคว้าแขนเรียวเอาไว้ก่อนจะลากหญิงสาวให้เดินขึ้นไปนั่งบนรถ
“นึกถึงหน้าแม่แกไว้ ถ้าอยากมีเงินรักษาก็ตามไปเงียบ ๆ ”