“ขอบคุณมากค่ะพี่ตา เอยจะได้หมดห่วงหน้าพะวงหลังสักที”
“ไม่เป็นไรเอย เอยก็อยู่ช่วยพี่มาตั้งหลายปีแล้ว แค่เลื่อนเวลาขึ้นเร็วลงเร็วก็เดิมพี่ไม่มีปัญหา”
บทสนทนาระหว่างฉันกับเจ้าของผับพี่เพียงตา ที่รักและดูแลฉันเหมือนลูกแท้ๆ เมื่อฉันขอย้าย มาขึ้นช่วง 5 ทุ่ม และลงช่วงเที่ยงคืนแทน แกก็ไม่ติดปัญหาอะไร แถมยังให้เงินก้อนใหญ่ฉันมาเพื่อปิดรถญี่ปุ่นคันนี้ นางบอกว่าเป็นโบนัสสำหรับ 3 ปีที่อยู่กันมา
จริงๆ ด้วยเส้นสายของพี่ตาทำให้ฉันออกรถได้ทั้งๆ ที่ยังเป็นนักศึกษา เพื่อนแกเป็นเจ้าของโชว์รูมและแกเป็นคนค้ำประกันให้ แต่ที่ฉันขอเลื่อนชั่วโมงทำงานเพราะว่าเทอมหน้าฉันก็ต้องเข้าฝึกงานแล้ว เลยอยากปรับการใช้ชีวิตนิดหน่อย
ถามว่ายึดอาชีพดีเจไปเลยมันก็ดีนะ แต่ฉันกลัวว่าถ้าแก่ตัวไปมันก็จะอิ่มตัวและเริ่มขายไม่ออก จุดพีคมันก็จะอยู่ไม่น่าเกินอายุ 30 ปีละมั้งนะอาชีพนี้ ดังนั้นฉันจึงต้องตั้งใจเรียนเผื่อว่าเกิดปัญหาอะไรก็ยังมีวุติไว้สมัครงาน
ด้วยความที่พ่อแม่ก็ไม่ได้มีมากมายเหมือนคนอื่น ฉันก็ไม่อยากคิดมากและใช้ชีวิตของตัวเองให้ได้มากที่สุด พึ่งคนอื่นให้น้อยที่สุด สำหรับฉันกับพี่ตานี่เรียกว่า เข้าใจและช่วยเหลือกัน ถึงแม้พี่ตาจะช่วยฉันมากกว่าก็เถอะ
“เออ ว่าแต่เจ้าเด็กน้อยที่มาเฝ้าเอยทุกวันนั่นแฟนหรอ” พี่ตาถามฉันด้วยใบหน้าสงสัย
“จะว่าแฟนก็ไม่เชิงค่ะ คือว่าเอยยังไม่ได้ตัดสินใจใช้คำว่าแฟนกับเขา” ฉันตอบไปแบบอึกอัก
“พี่เห็นเอยมาตั้งแต่ก่อนขึ้น ปี 2 ไม่เห็นเอยคิดจะคบกับใครพี่ก็แค่สงสัยน่ะ” พี่ตาทำท่าทางโล่งใจเหมือนอยากคุยกับฉันมานานเรื่องนี้ แกคงสังเกตฉันสินะ ช่วงนี้เด็กนั่นก็ขยันมาเฝ้าจริงๆ แหละ
“เอ่อ…พี่ตาคะ ถ้าเกิดว่าเป็นการรบกวน เอยจะบอกเขาไม่ให้มาก็ได้นะคะ” ฉันรู้สึกเกรงใจแกพอสมควรเลยแฮะ
“รบกงรบกวนอะไรล่ะ เด็กนั่นมากับเพื่อนเช็กบิลที ก็หลายพัน พี่ยังสงสัยอยู่ว่าเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ ไม่ใช่พวกค้ายานะเอย แบบนั้นไม่ไหวนะ” พี่ตามองฉันด้วยสายตาเป็นห่วง
“ไม่ใช่หรอกพี่ ไอ้พวก คาบช้อนทองมาเกิดอ่ะ เอยยังหมั่นไส้ขี้หน้าหมอนี่เลย จ่ายเงินยังกะโปรยทาน” ฉันมองหน้าพี่ตาแล้วทำหน้าเอือมเจ้าของร่างใหญ่ที่กำลังยืนรอฉันอยู่ตรงไหนสักที่ข้างนอกผับ
“งั้นก็แล้วไปเอย ถ้าเอยโอเค พี่ก็ไม่มีปัญหา” พี่ตามองด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับมองลูกสาว
“ขอบคุณมากนะคะพี่ตา พี่ดีกับเอยมาก เอยจะไม่ลืมบุญคุณเลยค่ะ” ฉันยิ้มให้พี่ตาจากใจ
“เรื่องเล็ก พี่เลี้ยงผู้ชายเยอะกว่านี้อีก” พี่ตากระเซ้าแหย่ฉัน
แล้วพวกเราก็หัวเราะกันอยู่ตรงนั้น
.
.
“ออกมาสักทีทำไมวันนี้อยู่นานจังครับ หิวจะแย่แล้ว” น้ำเสียงออดอ้อนกับท่าทางกระเง้ากระงอดนั่นทำใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำ นี่ฉันเข้าวงการหลงเด็กเต็มตัวแล้วหรือยังนะ ไอ้เจ้าบ้านี่
“รอนานสินะ พอดีแวะคุยกับพี่ตาหลายเรื่องเลย เหมอยากกินอะไรคะ” ฉันตอบสนองความออดอ้อนนั่นกลับไปอย่างหวานเลี่ยนจนตัวเองยัง งง
“ให้พูดจริงๆ หรอว่าอยากกินอะไร” น้ำเสียงยังออดอ้อนเหมือนเดิม แต่แววตาคือลุกโชนไปด้วยไฟ และท่าทางคือพร้อมกระโจนเข้าหามาก ให้ตายเถอะ เด็กหนุ่มนี่พลังงานเหลือล้นขนาดไหนกันนะ
“เหม จริงจังหน่อย นี่ก็จะอ้อนอย่างเดียวเลย ไม่ไหวนะ” ฉันแอบดุเพื่อกลบความเขินและใบหน้าแดงๆ ของตัวเอง
“มีเมียคนเดียวนี่ครับ ไม่อ้อนเมียแล้วจะให้อ้อนใคร” เขาเดินเข้ามากอดฉันจากด้านหน้าแล้วจุ๊บมาที่หน้าผาก โดยไม่สนสายตาใครเลย
“โอเค โอเค ขึ้นรถก่อนคนมองหมดแล้ว” ฉันต้องเป็นคนหยุดเขาไม่งั้นน่าจะเกินเลยไปถึงจูบแน่นอน
เมื่อขึ้นรถ
“พี่เอย เหมคุยกับแม่เรื่องพี่เอยแล้วนะครับ” พระเจ้าหัวใจฉันเต้นตึกตัก แม่เขาดูเป็นคุณนายแล้วก็ท่าทางหยิ่งๆ เขาต้องไม่ชอบฉันแน่ๆ
“เหม ไม่เป็นไร เราคบกันไปแบบนี้ก็ได้ ไม่ต้องใช้คำว่าแฟน พี่โอเค” ฉันรีบออกตัวก่อนเพราะรู้ตัวว่าแม่เขาคงมองผู้หญิงแบบฉันไม่ดีแน่ๆ คงไม่อยากให้คบกันสินะ ไม่อยากให้เขาคิดมากอยู่แบบนี้ฉันก็โอเค เพราะเขาก็ดูแลฉันดีมากดีมาตลอด
“อะไร พี่คิดว่าแม่เหมเป็นพวกคุณนายใจร้ายในละครหลังข่าวหรือยังไง” เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงน้อยใจ เอ้าใครจะไปรู้ล่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้นมั้ย แล้วก็อีกหน่อยต้องมานัดเจอฉันและโยนเงินก้อนโตให้ฉันเลิกกับเขา
“อ้าว ไม่ใช่แบบนั้นหรอ” ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงสงสัยและสีหน้าฉงน
“ไม่ใช่สักหน่อย แม่โอเคให้เราคบกัน แม่ไม่ติด แถมยังบอกให้พาไปให้พ่อกับปู่เจอด้วย”
“ห๊าาา!!!” ฉันอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก็มันน่าตกใจจริงๆ นะ
“แม่เหมไม่ใช่พวกหัวโบราณหรอกพี่ พ่อกับปู่ก็เหมือนกัน งั้นเหมจะออกมาร้ายขนาดนี้ได้หรอ” เขามองหน้าฉันและยักคิ้ว ภายใต้แว่นตาหนาเตอะคือหน้าตากวนบาทามาก
“งั้นหรอ” ฉันแอบดีใจนะ ไม่สิดีใจมากๆ เลยแหละ ยังสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงดีใจได้ขนาดนี้ นี่ฉันน่าจะชอบหมอนี่มากถึงขนาดที่อยากมองอนาคตร่วมกับเขาขนาดนั้นเลยหรือไงนะ
“งั้นพี่เอย ก็ไม่ติดปัญหาอะไรในการเปิดตัวคบกับเหมแล้วนะครับ” เขาหันมายิ้มหน้าทะเล้นใส่ฉันทีหนึ่งแล้วกลับไปมองทางต่อ
“เหม แต่ที่มหาลัยมันก็ไม่โอเคอยู่ดีนะ พี่ว่า…” ฉันคิดมากไม่หายแฮะเริ่มเกลียดตัวเองแล้วสิ
“เหมไม่สนใจคำพูดคนอื่นหรอก” เขาพูดด้วยท่าทางแน่วแน่จนฉันเริ่มคล้อยตาม
“งั้นก็ตามใจเหมละกัน และใช่” ฉันยอมเขาไปโดยดี
.
.
งั้นเราเป็นแฟนกันแล้วนะครับ เขายิ้มอย่างดีอกดีใจ
อืม ฝากตัวด้วยนะ เจ้าสี่ตา นี่คือกลบความเขินนะเอาจริงๆ