“ปู่ไม่ได้คิดจะทวงบุญคุณให้หนูโยลำบากใจเลยนะ หนูไม่ต้องกังวลอะไร แค่ตัดสินใจว่าอยากหมั้นกับมาร์คหรือไม่อยากเท่านั้นเลย”
“แล้วคุณมิงค์ล่ะคะ” เธอถามถึงมนัสวีร์ หลานสาวของปู่มิ่งขวัญที่ท่านคงอยากให้เป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนกัน
“ครอบครัวฝ่ายชายที่ปู่จับคู่ให้มิงค์เขาตกลงแล้วว่าจะดองกัน ถ้าหนูโยตกลงปู่ก็จะเปลี่ยนใจ ไม่ทำเรื่องไปต่างประเทศแล้ว”
“โยขอเวลาคิดหน่อยได้ไหมคะ”
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แต่เธอคิดว่ายังพอมีเวลาให้ตัดสินใจ เพราะตั๋วเครื่องบินและการดำเนินการต่างๆ ของปู่มิ่งขวัญที่ต่างประเทศนั้นจะมีขึ้นในอีกสิบห้าวัน...
“อาทิตย์หน้า ปู่จะมาเจอหมอที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย แล้วปู่จะมาฟังคำตอบของหนู”
ท่านมองหน้าเธอยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่นั่นก็ทำให้โยธการู้สึกกดดันอยู่ในใจลึกๆ
บางครั้งการได้รู้ความลับของใครบางคน มันก็ทำให้เราตกที่นั่งลำบากได้เหมือนกัน...
‘ไม่น่าอยากเสือกเลยเรา งานเข้าเต็มๆ’ หญิงสาวพึมพำ แม้ว่าปู่มิ่งขวัญออกจากร้านไปนานแล้วเธอก็ยังคิดไม่ตกว่าจะตอบตกลงหรือปฏิเสธ โจทย์ครั้งนี้มันยากจริงๆ
เมธาวินยุ่งกับการเจรจาเกี่ยวกับโปรเจ็กต์งานกับคู่ค้าใหม่ รวมทั้งกิจการต่างๆ ที่เขาต้องรับจากปู่มาดูแลทำให้เขาลืมความกังวลเรื่องที่ปู่ไปเจอเจ้าของร้านแววหวานเพราะท่านไปเจอหญิงสาวครบหนึ่งอาทิตย์แล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ชายหนุ่มคาดว่าปู่เขาอาจจะโดนปฏิเสธ เพราะคนของเขาที่ไปเฝ้าร้านแววหวานรายงานมาว่า ชาติชาย นักการเมืองท้องถิ่นชื่อดังและเป็นทายาทห้างหุ้นส่วนรัตนโชตที่เปิดร้านทองหลายสาขาในจังหวัดฝั่งทะเลอันดามันตามจีบโยธกาอย่างจริงจัง หมอนั่นยังหนุ่มยังแน่นและมีฐานะดี ถึงจะเทียบเคียงปู่เขาไม่ได้ แต่โยธกาอาจจะเลือกคนที่ยังหนุ่มกว่า ปู่ของเขาจึงเงียบๆ ไป
ช่วงนี้คนรอบข้างเมธาวินจึงสัมผัสได้ว่าเขาผ่อนคลายเป็นพิเศษ ยิ่งได้รู้ว่าเด็กที่ปู่เขาให้ทุนมีแฟนและมีสามีไปหมดแล้วเขาก็ยิ่งวางใจว่ามิ่งขวัญอาจจะล้มเลิกการหาคนมาเคียงข้างก็ได้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าอะไรเป็นจุดเปลี่ยนให้ท่านอยากมีเมีย แล้วก็ลุกขึ้นมาพูดเรื่องคู่ครอง ดีที่ท่านไม่ได้คิดจะบังคับเขา ไม่อย่างนั้นคงปวดหัวน่าดู
ครืดดด
สายเรียกเข้าจากลูกน้องทำให้คนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมสั่งงานรีบรับสายทันที
“ว่าไง ฉันกำลังจะโทรหานายพอดีว่าให้เลิกติดตามเจ้าของร้านแววหวานได้แล้ว” เขารับสายลูกน้อง
[เอ่อ คุณมาร์คครับ คุณท่านเข้าไปพบเจ้าของร้านแววหวานอีกแล้วครับ]
“อ้อ” เขาพยักหน้ารับรู้ ปู่ของเขาเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ท่านอาจจะเข้าไปถามโยธกาเพื่อความแน่ใจ เพราะถ้าเป็นสิ่งที่ท่านต้องการจริงๆ ท่านจะให้โอกาสถามถึงสองครั้ง แต่ถ้าโยธกาบอกว่าไม่ คนแบบปู่เขาจะไม่ไปตื๊อเป็นครั้งที่สาม “ปู่ไปแค่ครั้งเดียว แต่นายชาติไปหาเธอทุกวันใช่ไหม”
[ใช่ครับคุณมาร์ค]
“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีอะไรน่าห่วง นายกลับมาทำงานได้เลยไม่ต้องเฝ้าเขาแล้ว”
[ครับคุณมาร์ค]
“ขอบใจมาก”
หลังจากที่วางสายจากลูกน้องแล้วทำงานต่อได้ไม่นานนัก เขาก็ได้รับสายเรียกเข้าอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงของปู่มิ่งขวัญ
[มาร์ค วันนี้ตอนเย็น เข้ามากินข้าวที่บ้านด้วยนะ ปู่มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย]
“ปู่มีเรื่องอะไรเหรอครับ” เมธาวินถามอย่างอดไม่ได้
[ไว้ค่อยคุยกันตอนเย็น]
“ครับ”
เมธาวินวางสายลงแล้วหัวคิ้วก็ขมวดมุ่น เสียงของปู่เขาดูไม่ห้วน หรือการไปเจอโยธกาครั้งนี้ทำให้ท่านอารมณ์ดี เขาอาจจะคาดการณ์ผิดก็เป็นได้ ถ้าโยธกาชอบเงินที่มากกว่าแล้วก็รักในความอบอุ่นของชายสูงวัยก็มีแนวโน้มที่เธอจะเปลี่ยนใจมาตกลงแต่งงานกับปู่เขา
มือหนาถูกยกมาคลึงขมับ
“เราแค่คิดไปเอง มันอาจจะไม่เลวร้ายแบบนั้นก็ได้” เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เมธาวินรู้สึกว่าตัวเองได้เจอกับเรื่องที่รบกวนจิตใจ ปกติเขาจะเอาชนะทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย และไม่ต้องแคร์อะไรเลย
คนตัวโตถอนหายใจ ใบหน้าที่เย็นชาอยู่แล้วนิ่งงันกว่าเดิมยามนึกถึงหน้าเจ้าของร้านแววหวาน
ถ้าเธอกล้าทรยศกัน เมธาวินจะทำให้ชีวิตของเธอไร้ซึ่งความสงบสุขตลอดกาล เขาสัญญา!
โยธกาส่งมิ่งขวัญกลับหลังจากที่คุยกันอยู่เป็นชั่วโมง พอชายชรากลับไปแล้วหญิงสาวก็ทำงานในร้านต่อ อาทิตย์ที่ผ่านมาเธอทดสอบทำขนมและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจนได้สูตรที่คงที่แล้วตอนนี้จึงต้องวางแผนคำนวณต้นทุนเพื่อกำหนดราคาขายจนหัวฟูไปหมด
เมื่อนาฬิกาเตือนว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาปิดร้านหญิงสาวก็รีบเก็บข้าวเก็บของเตรียมออกจากร้าน
ก่อนหน้านี้เธอยอมรับว่าชอบที่จะได้นับเงินสดหลังร้านปิดแต่ตอนนี้การอยู่ร้านเหมือนเป็นยาขมเพราะมีคนกำลังตามตื๊อเพื่อชวนเธอไปกินข้าวกับเขาต่อหลังร้านปิด
หญิงสาวไม่ได้มีปัญหาเลยหากใครสักคนจะอยากมาทำความรู้จักเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ แต่ใครคนนั้นต้องไม่ใช่แฟนเก่าที่เคยทิ้งเธอไปอย่างไม่ไยดีเพียงเพราะตอนนั้นเขารับไม่ได้เธอเป็นลูกคนรับใช้ในบ้านคนรวย
เธอยังจำได้ดีว่าเขาขอเลิกเพราะครอบครัวจะส่งเขาไปเรียนต่างประเทศเพื่อให้เราสองห่างกัน หญิงสาวเข้าใจเป็นอย่างดีว่าถ้าครอบครัวเขาไม่ยอมรับเธอก็ต้องยอมจำนนเพราะไม่อาจเปลี่ยนชาติกำเนิดตนเองได้ ตอนนั้นเธอขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่ไม่หลอกเจาะไข่แดงเธอแล้วไปเลือกคนที่เหมาะสมกว่าแต่งงานออกนอกหน้า
ตอนนี้ชาติชายกลับเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้งเพราะมารดาที่ชอบเจ้ากี้เจ้าการเขาได้จากไปแล้ว โยธกาปฏิเสธอย่างจริงจังและชัดเจนในทุกครั้งที่ชาติชายพูดเข้าเรื่องนี้ เธอพุ่งชนจนเหนื่อยแล้วเลยเลือกที่จะหนีจากคนที่เชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างมากว่าเธอจะยอมกลับไปคืนดี
โยธการู้ตัวเองดีว่าเธอไม่มีวันกลับไปรู้สึกเหมือนเดิมแล้ว ตอนที่เขาบอกเลิกหญิงสาวไม่ใช่แค่หมดรัก แต่เธอสูญเสียความมั่นใจ คิดว่าตัวเองต้อยต่ำ และเป็นทุกข์จนมีผลต่อการเรียน เทอมนั้นเธอต้องนำเกรดไปรายงานปู่มิ่งขวัญในฐานะที่ท่านเป็นผู้ให้ทุน ท่านตะล่อมถามจนเธอเล่าให้ฟัง พอรู้เรื่องชายชราผู้เคร่งขรึมจึงแสดงด้านที่อ่อนโยนออกมา ท่านเมตตาให้คำสอนและสิ่งนั้นดึงสติเธอกลับมา
‘ถ้ารักกันแล้วเลิกกันจะเป็นทุกข์ก็ถูกต้องแล้วเพราะคนเราย่อมมีความรู้สึก แต่หนูเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมามากพอแล้ว ถึงเวลากลับมามีความสุขและรักตัวเองได้แล้วนะ’
ท่านเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ เพราะเพื่อนๆ คนอื่นคิดว่าพวกเธอเลิกกันเพราะความห่างไกล หนำซ้ำยังไม่มีใครรู้เลยว่าตอนที่ไปเรียนต่างประเทศนั้นครอบครัวชาติชายส่งเขาไปเรียนกับว่าที่คู่หมั้นที่ชาติตระกูลสูงส่งทัดเทียมกัน มีเพียงโยธกากาคนเดียวที่รู้เพราะมารดาของเขากรุณามาส่งข่าวและนำรูปภาพความสนิทสนมของพวกเขามาให้เธอดู
ในตอนนั้นหญิงสาวเลิกเสียใจและกลับมาสนใจเพียงแค่ตัวเองอย่างที่ปู่มิ่งขวัญสอน เธอพัฒนาตัวเองเรื่อยมาจนเรียนจบเกียรตินิยมอันดับสองและทำตามความฝันได้สำเร็จ
แล้วแล้วฟ้าก็ส่งชาติชายกลับมาหาเธออีกครั้ง ว่าแล้วก็โมโหเหลือเกินที่หมอนั่นยังหน้าด้านกลับมาจีบเธอ เขาทำให้เธออึดอัดเพราะด่าเท่าไหร่ก็ไม่สะทกสะท้าน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นผิด เอาแต่บอกว่าตอนนั้นเขาทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
โยธกาด่าก็แล้วพูดดีก็แล้ว เขาก็ยังมาตามตื๊อเพราะคิดว่าเธอจะยังรักเขา บอกอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าเธอมูฟออนนานแล้วและไม่มีวันกลับไปรู้สึกดีกับเขาได้ สุดท้ายเธอก็เลยเลือกวิธีหลบหน้าแทน...
ไอ้เวรเอ๊ย! ร้านที่เคยเป็นเซฟโซนของเธอตอนนี้เหมือนเป็นวอร์โซน ขนาดว่าเมื่อก่อนมีเจ้าหนี้นอกระบบเทียวมาทวงหนี้เธอยังไม่เคยคิดหลบเลย ใครจะไปคาดคิดว่าคนอย่างโยธกาจะต้องมาหนีคนที่ตามจีบตัวเอง...
หญิงสาวรีบเดินมาหน้าร้านแล้วบอกพนักงานที่คุยกันอยู่หน้าเคาน์เตอร์แล้วเดินออกไปอย่างหวาดระแวงเหมือนกำลังหนีตาย