หลายวันที่ผ่านมาเสวียนหนิงอันมักทำหน้าไร้อารมณ์ แสร้งหลอกตนเองว่าไม่รู้สึกอันใดที่ทำตัวไร้มารยาทจนเขาโกรธ ทั้งยังไม่ยอมขอโทษอย่างที่ควรกระทำ แต่มาวันนี้ความโกรธที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าทำให้นางทนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้
หลี่จินหมิงถึงขั้นกล่าวว่าไม่ต้องการพบหน้าและไม่ต้องการพูดคุย แต่กระนั้นเขาก็ยังเดินมาส่งนางอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่ไว้ใจให้ผู้ใดทำหน้าที่ นี้แทน ตลอดทางเขาไม่มองหน้า ไม่พูดกับนาง ทำเพียงรอจนกระทั่งประตูบ้านปิดสนิทดีแล้วจึงเดินหันหลังกลับไปยังทิศทางที่จากมา
ท่าทางเย็นชาราวกับคนไม่รู้จักกันทำให้เสวียนหนิงอันตระหนักได้แล้วว่าตนได้ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่ในเมื่อเขายังไม่กลับมา นางจึงทำได้เพียงรอฟังข่าวจากสาวใช้เจียอีอยู่ในเรือนเล็ก ทว่ารอจนกระทั่งต้นยามโหย่วแล้วสาวใช้คนโปรดก็ยังเงียบหาย นางจึงคาดเดาไปว่าหลี่จินหมิงยังอยู่ที่ร้านค้า นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะเลวร้ายกว่าที่คิด
เจียอีถูกโบยสิบไม้…
“ข้าจะไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง”
เสวียนหนิงอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน ไม่อยากเชื่อว่าท่านอาที่ใจดีในวันวานจะลงโทษสาวใช้อายุน้อยด้วยการโบยถึงสิบไม้ แล้วเจียอีตัวเล็กเท่านั้นจะทนรับความเจ็บปวดได้อย่างไร
“หากฮูหยินน้อยไปอาจทำให้เรื่องแย่ขึ้นนะเจ้าคะ” ซุนหยาเอ่ยเสียงเบา นางเองก็เสียใจที่เจียอีต้องถูกโบยมิต่างกัน
“ท่านอาไม่ควรทำเช่นนี้! เจียอีไม่ได้ทำผิด แต่เป็นข้าที่ตัดสินใจออกไปนอกบ้านเอง หากคิดจะโบยก็ควรโบยข้า!”
“ฮูหยินน้อยสงบสติอารมณ์สักนิดเถิดนะเจ้าคะ”
“เหตุใดจึงต้องใจเย็น ท่านอาสั่งโบยเจียอีโดยที่ไม่ถามข้าก่อนสักคำ!”
“ถามแล้วจะได้เรื่องอันใดล่ะเจ้าคะ ในเมื่อเจียอีออกไปข้างนอกกับฮูหยินน้อยทั้ง ๆ ที่ทราบดีแล้วว่านายท่านไม่อนุญาต ถูกโบยสิบไม้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว”
“ท่านป้าเห็นด้วยกับบทลงโทษโหดร้ายเช่นนั้นหรือ!”
เสวียนหนิงอันทำอันใดมิได้จึงทรุดตัวนั่งกับพื้น ดวงตาของนางแดงก่ำขณะกลั้นสะอื้น มองดูแล้วน่าสงสารจนซุนหยามิกล้าออกความเห็น ต้องรอจนกระทั่งนางควบคุมอารมณ์ได้บ้างแล้วค่อยเอ่ยความในใจออกมา
“ต่อให้ไม่ชอบใจ แต่กฎย่อมต้องเป็นกฎ ที่บ้านหลังนี้เรายึดถือโทษโบยสิบไม้เป็นโทษขั้นต่ำ นายท่านไม่สั่งโบยมากกว่านั้นก็ถือว่ามีเมตตาแล้ว ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ข้าไม่แน่ใจว่าที่บ้านของฮูหยินน้อยลงโทษสาวใช้ที่ขัดคำสั่งอย่างไร แต่สำหรับข้าแล้วโทษเพียงเท่านี้ถือว่าไม่รุนแรงมากนัก”
“ที่บ้านข้าไม่มีการลงโทษสาวใช้” เสวียนหนิงอันตอบอย่างมั่นใจ
“ไม่มี หรือว่าไม่เคยเห็นเจ้าคะ” ซุนหยาถาม “ในเรือนของฮูหยินน้อยเคยมีสาวใช้ที่หายตัวไปนาน ๆ หรือขอตัวกลับบ้านนาน ๆ หรือไม่เจ้าคะ”
คำถามนี้ทำให้เสวียนหนิงอันถึงกับอึ้งไป มีหลายครั้งที่สาวใช้ของนางลากลับบ้านโดยที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าจริง ๆ และหลังจากกลับมาก็มักจะอ้างว่าเพิ่งฟื้นจากไข้ ทำอันใดได้ไม่ค่อยสะดวกนัก
หรือว่าแท้จริงแล้วพวกนางล้วนถูกลงโทษสาหัส เพียงแต่ตวนอ๋องเฉินฟาหยางผู้เป็นบิดาปิดบังเอาไว้ เพื่อมิให้บุตรสาวสุดที่รักรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้สาวใช้ต้องถูกลงโทษ พอตรองดูให้ดีก็พบว่าเรื่องราวที่นางคาดเดามีความเป็นไปได้มากถึงแปดส่วน
“พวกนางหายไปครั้งละเกือบเดือน แต่ข้าไม่แน่ใจแล้วว่าพวกนางกลับบ้าน หรือว่า…”
“หากหายไปเกือบเดือน ขั้นต่ำก็น่าจะสักยี่สิบไม้นะเจ้าคะ” ซุนหยาอ้างว่าตนเองอยู่มานาน ย่อมทราบดีว่าบาดแผลมากน้อยใช้เวลารักษาตัวนานเท่าใด กับเจียอีเองก็เช่นกัน พักฟื้นไม่เกินสิบห้าวันก็คงหายแล้ว
“ข้าอยากไปหานาง ท่านป้าพาข้าไปได้หรือไม่”
“นายท่านไม่อนุญาตเจ้าค่ะ กล่าวว่าเรื่องนี้ฮูหยินน้อยเองก็มีส่วนผิด ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ” ซุนหยากลัวว่านายหญิงจะไม่สบายใจจึงกล่าวยืนยันไปว่าเจียอีได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ต้องเป็นกังวลให้มากความ
“ใจร้าย ใจร้ายจริง ๆ”
“เรื่องนี้โทษนายท่านคงไม่ถูกต้องนัก หากฮูหยินน้อยลดทิฐิและเข้าไปขอโทษนายท่านเสียตั้งแต่แรก ทุกอย่างก็คงไม่ยืดเยื้อหรือเดือดร้อนผู้อื่นต้องรับโทษด้วยเช่นนี้”
“ท่านป้าก็ดีแต่เข้าข้างเขา” เสวียนหนิงอันอดตัดพ้อมิได้
“ซุนหยาแก่แล้ว อยู่ไม่นานก็ตายจึงไม่จำเป็นต้องเข้าข้างผู้ใดเจ้าค่ะ” คำตอบง่าย ๆ ของซุนหยาทำคนฟังตกใจจนแทบแก้ตัวไม่ทัน
“ท่านป้าอย่าพูดเช่นนั้น… ข้ากำลังอารมณ์ไม่ดีจึงพูดไม่ทันระวังไปบ้าง ท่านป้าไม่โกรธข้าได้หรือไม่”
เสวียนหนิงอันขอร้องเสียงหวานเพราะสำนึกได้ว่าตนเพิ่งแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมต่อหญิงสูงวัย
“เป็นแค่บ่าวจะมีสิทธิ์โกรธนายได้อย่างไรกันล่ะเจ้าคะ”
“อย่าพูดเช่นนั้นเลย ข้าเคยเห็นท่านป้าเป็นบ่าวเสียตั้งแต่เมื่อใด ที่ผ่านมาก็มิได้ประพฤติตนไม่ดีกับท่านป้ามิใช่หรือ”
“เป็นเช่นนั้นจริงเจ้าค่ะ… แต่กับนายท่าน ฮูหยินน้อยปฏิบัติตนไม่สมกับเป็นภรรยาเลยแม้แต่น้อย” ซุนหยาเอ่ยออกมาอย่างหนักใจ
“นายท่านไม่ใช่เด็กหนุ่ม อายุมากกว่าฮูหยินน้อยถึงยี่สิบปี เรื่องจะให้มาออดอ้อนเอาใจหรือเป็นฝ่ายขอโทษเฉกเช่นคนรุ่นราวคราวเดียวกันย่อมเป็นไปไม่ได้ ทั้งยังไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม แต่กระนั้นนายท่านก็ยังยอมลงให้หลายส่วน”
“ท่านป้า…”
“เมื่อครั้งที่พวกท่านทะเลาะกัน นายท่านส่งข้าไปเชิญฮูหยินน้อยหลายครั้งหลายหน ทุกครั้งมักย้ำด้วยว่าถ้าไม่สะดวกก็มิเป็นไร ฮูหยินน้อยเจ้าคะ หากเป็นครอบครัวอื่น ภรรยาไม่เชื่อฟังคำของสามีเช่นนี้คงถูกลงโทษไปนานแล้ว แต่นอกจากไม่ลงโทษ นายท่านยังเป็นห่วงฮูหยินน้อย ถามเรื่อย ๆ ว่ากินอิ่มนอนหลับดีอยู่หรือไม่ ลองตรองดูเถิดนะเจ้าคะว่านายท่านใจร้ายหรือว่าใจดีอย่างมากกันแน่”
เสวียนหนิงอันก้มหน้าเพื่อซ่อนความรู้สึกผิด พอถูกเตือนให้คิดตามก็รู้แจ้งชัดแล้วว่าเป็นนางที่มองผ่านความหวังดีของเขาไป แรกเริ่มเขาโกรธจนไม่อยากมองหน้า แต่กระนั้นก็ยังถามไถ่ว่าขาดเหลืออันใดบ้าง ไหนจะเรื่องการใช้กำยานผ่อนคลายจนเกือบติดเป็นนิสัยนั่นเขาก็เตือนด้วยความหวังดี แผลต้องสะเก็ดไฟบนต้นแขนเล็กนิดเดียว เขายังทำราวกับเป็นเรื่องใหญ่โต จัดการอุ้มนางกลับเรือนเพื่อทำแผลให้ด้วยตนเอง
ที่ผ่านมาเสวียนหนิงอันมองข้ามเรื่องดี จดจำเรื่องแย่ นิสัยใช้ไม่ได้จริง ๆ
“เรื่องนี้เดิมทีซุนหยาไม่อยากยุ่งเกี่ยว แต่การปิดปากเงียบเฉยทั้งที่พอช่วยเหลือได้ย่อมมิใช่เรื่องสมควร” ซุนหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกล่าวออกไปอยู่ดี “ข้าขอถามเพียงประโยคเดียว ฮูหยินน้อยรักนายท่านหรือไม่เจ้าคะ”
เสวียนหนิงอันไม่ตอบ ทว่าพยักหน้ายอมรับอย่างปวดใจ
“หากรักก็จงปรับปรุงแก้ไขตนเองเถิดนะเจ้าคะ ชีวิตคู่จะได้ยืนยาว ไม่เลิกราหย่าร้างหรือทนอยู่อย่างอึดอัดเช่นที่ผ่านมาอีก”
“ข้ารักเขาแต่ไม่รู้ว่าต้องเปลี่ยนตนเองอย่างไร ไม่เคยมีใครสอนข้าว่าการเป็นภรรยาที่ดีควรต้องทำอย่างไรบ้าง ท่านป้า… ข้าเสวียนหนิงอันผู้นี้นอกจากความจริงใจแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ใช้ได้เลยสักอย่าง ทำผิดก็ไม่ยอมรับ โทษผู้อื่นแต่ไม่เคยโทษตนเอง ตอนนี้ท่านอาเกลียดชังข้าย่อมมิใช่เรื่องแปลก”
เสวียนหนิงอันยอมรับความผิด ไม่คิดโต้แย้งกับผู้ใดอีก
“การใช้ชีวิตคู่สำคัญที่สุดต้องมีความรักและความจริงใจ กอปรกับปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ที่อาวุโสกว่า หากฮูหยินน้อยไม่รังเกียจคำแนะนำของคนแก่อย่างข้า...”
“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจเลย ท่านป้าสอนข้าได้หรือไม่!” เสวียนหนิงอันขัดขึ้นอย่างมีความหวัง ดวงตาโศกเศร้าเปลี่ยนกลับมาทอประกายวาววับน่ามองอีกครั้ง
“ย่อมได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าวันใดฮูหยินน้อยไม่เชื่อฟัง ข้าคงต้องถอนตัว…”
“ข้าจะเชื่อฟัง ข้าจะไม่เถียงท่านเลยสักคำ!”
“เช่นนั้นเริ่มจากการไม่พูดขัดคู่สนทนา ฮูหยินน้อยทำได้หรือไม่เจ้าคะ”
เสวียนหนิงอันเม้มปาก พยักหน้าแรง ๆ ไม่พูดขัดซุนหยาที่ตกลงแล้วว่าจะช่วยให้คำแนะนำกับนาง หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ ซุนหยาจึงพอใจกับการทดสอบความอดทนของฮูหยินน้อย ยอมเอ่ยคำแนะนำในที่สุด
“เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจยังพอรอได้ สำคัญตอนนี้คือนายท่าน ฮูหยินน้อยทราบหรือไม่เจ้าคะว่าควรทำอย่างไร”
เสวียนหนิงอันลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าราวกับต้องการถ่วงเวลา ทว่าความจริงแล้วนางกำลังคิดอยู่ในใจว่าควรพูดกับเขาอย่างไรดี
“รักแล้วก็ต้องแสดงให้เห็นว่ารักด้วยเจ้าค่ะ” ซุนหยาเห็นนายหญิงคล้อยตามจึงกล่าวจี้ใจนางต่อทันที “หากฮูหยินน้อยยอมลดทิฐิลงบ้าง นอกจากจะสมหวังในเรื่องชีวิตคู่แล้ว บิดาของฮูหยินน้อยก็จะไม่ถูกพาดพิงถึงในแง่ร้าย ว่ามิได้อบรมบุตรสาวเหมือนครั้งก่อนอีกด้วยเจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว” นางเร่งฝีเท้าออกจากเรือนเล็กโดยไม่รอช้าอีก
แสงสว่างจากตะเกียงทำให้เสวียนหนิงอันมั่นใจว่าบุรุษที่นางต้องการพบยังอยู่ในห้องหนังสือ หลังจากยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเรียกออกไป
“ท่านอาเจ้าคะ” นางเห็นแสงในห้องนั้นวูบไหวคล้ายมีคนขยับตัว ทว่ามีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา
“ท่านอาเจ้าคะ หนิงเอ๋อร์ผิดไปแล้ว… หนิงเอ๋อร์เสียใจที่ไม่เชื่อฟัง ท่านอา ทำตัวไร้มารยาท หนีออกจากบ้านจนทำให้เจียอีต้องลำบากรับโทษไปด้วย ท่านอาโกรธจนไม่อยากพบหน้า ไม่อยากพูดคุยด้วย นับว่าเป็นเรื่องสมควรแล้วเจ้าค่ะ”
เสวียนหนิงอันมิเคยง้อผู้ใดยืดยาวเช่นนี้แม้กระทั่งบิดา แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ มีเพียงความเงียบสงบและสายลมที่ทำให้เรือนร่างของนางหนาวสะท้านจนเผลอลูบต้นแขนของตนเบา ๆ นางรอจนกระทั่งฟ้ามืดจึงกล่าวออกไปอีกครั้ง
“หนิงเอ๋อร์เข้าใจแล้วว่าตนเองดื้อด้านและเอาแต่ใจเป็นที่สุด ทำให้ท่านอาปวดหัวนับครั้งไม่ถ้วน หากท่านอาไม่หายโกรธวันนี้ก็มิเป็นไร พรุ่งนี้ หนิงเอ๋อร์จะมาใหม่…”
เสวียนหนิงอันชะงักเมื่อประตูห้องหนังสือเปิดกว้าง พร้อมกับเจ้าของร่างสูงที่เดินตรงมาหานางอย่างรวดเร็ว ในมือถือของบางอย่างมาด้วย
“ท่านอา ข้าขอโทษ…”
เสวียนหนิงอันเอ่ยคำว่าขอโทษออกมาอย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าปิดปากเงียบไม่ยอมพูดจา แต่พอเห็นสีหน้าเฉยชาแฝงความเสียใจของเขา นางกลับไม่รู้สึกว่าการขอโทษเป็นเรื่องยากดังเดิม
“ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ต่อให้ท่านอาไม่ยอมพูดกับข้า ไม่อยากมองหน้าข้า แต่ข้าก็ยังยืนกรานว่าจะขอโทษท่านไปเรื่อย ๆ จนกว่าท่านจะหายโกรธและยอมให้อภัย”
“อากาศเย็นแล้ว เจ้าเป็นคนหนาวง่าย ออกนอกเรือนควรสวมเสื้อคลุมกันหนาวด้วย” เขาคลี่เสื้อคลุมของตนบนไหล่บาง ไม่สบประสานดวงตากลมโต ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำขอโทษที่นางกล่าวออกมาซ้ำ ๆ
เขาไม่ต้องการให้ทุกอย่างง่ายจนเกินไป
“เจ้าค่ะ หนิงเอ๋อร์จะเชื่อฟังท่านอา… ท่านอาเจ้าคะ เจียอีถูกโบยเพราะมีนายไม่ดีเช่นข้า หากวันใดท่านอาโกรธน้อยลงแล้ว อนุญาตให้ข้าไปเยี่ยมนางได้หรือไม่เจ้าคะ”
“อยากทำอันใดก็ตามใจ บังคับใจไปสุดท้ายเจ้าก็หาทางไปพบนางอยู่ดี”
“หากท่านอาไม่อนุญาต หนิงเอ๋อร์ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้าค่ะ”
“หึ! อย่างเจ้าหรือจะเชื่อฟังใครได้ ยิ่งเป็นข้าด้วยแล้วคงสิ้นหวัง”
“หนิงเอ๋อร์แต่งกับท่านอาแล้ว ย่อมต้องเชื่อฟังสามี…”
“สามีชราเช่นข้าน่ะหรือจะทำให้เจ้าเชื่อฟังหรือพูดจาดีด้วยได้ เสวียนหนิงอัน คำพูดของเจ้าล้วนเชื่อถือไม่ได้ ปากบอกว่าจะปรับปรุง แต่กลับก่อปัญหาไม่เว้นวัน… เสวียนหนิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงไม่อนุญาตให้เจ้าออกนอกบ้านหลังนี้”
เสวียนหนิงอันส่ายหน้า ไม่พูดขัดตามที่ซุนหยาสอน
“หากมีผู้ใดจดจำได้ว่าเจ้าคือบุตรสาวของตวนอ๋องเฉินฟาหยางแล้วสืบเรื่องราวต่อจนพบว่าเจ้าเป็นภรรยาลับของพ่อค้าที่อายุมากกว่าถึงยี่สิบปี เจ้าว่าผู้ที่เสียหายจากเรื่องนี้คือข้าที่เป็นพ่อม่ายหรือเจ้าที่เป็นบุตรสาวของตวนอ๋องกันเล่า” หลี่จินหมิงถามอย่างอ่อนใจ
“ใช่อยู่กระดาษย่อมห่อไฟไม่มิด ปกปิดความจริงเนิ่นนานไม่ได้ แต่การไม่ขัดคำสั่งก็ยังพอชะลอไฟนั้นได้มิใช่หรือ”
“หนิงเอ๋อร์สำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ จากนี้ไปข้าขอให้คำสัตย์สัญญาว่าจะทำหน้าที่ภรรยาให้ดี ไม่ก่อเรื่องให้ท่านอาต้องปวดหัวอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เสวียนหนิงอันทราบดีว่าเขามิเชื่อ จึงกล่าวสำทับอีกประโยค
“ภายในเก้าเดือนนี้หากข้าทำให้ท่านอาพอใจไม่ได้ ข้าเสวียนหนิงอันจะคืนอิสรภาพให้กับท่าน เดินทางกลับตำหนักเยว่ฉี ไม่อยู่รบกวนบุรุษที่ถูกบังคับให้มาเป็นสามีต้องเหนื่อยใจอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เสวียนหนิงอันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หมายมาดยิ่งนัก