เขาจำได้ดีว่ามารดาของนางมีภาวะเสี่ยงในยามตั้งครรภ์ ต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงนานหลายสัปดาห์ และหลังจากประคบประหงมดูแลจนกระทั่งอายุครรภ์ได้เจ็ดเดือน ทารกน้อยเสวียนหนิงอันจึงลืมตาออกมาดูโลก เติบโตเป็นสาวงามที่มีเสน่ห์เย้ายวนชวนหลงใหล เผลอไผลยามใดก็รู้สึกราวกับถูกสะกดให้ลุ่มหลงอยู่ในภวังค์อันงดงาม
“ท่านอาเจ้าคะ ได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่”
“เจ้า… เจ้าว่าอย่างไรนะ” หลี่จินหมิงตกอยู่ในภวังค์ที่ว่านั่นแทบทุกครั้งที่เจอนาง
“ข้าพูดว่าดีใจที่ท่านอาจำได้ แต่หลังจากอายุสิบขวบข้าก็ไม่ได้แพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองแล้วเจ้าค่ะ”
“เป็นอย่างที่ตวนอ๋องเคยพูดไว้จริง ๆ”
อาการแพ้ถั่วเหลืองของเสวียนหนิงอันเบากว่าบิดาของนางหลายส่วน ทั้งยังสามารถหายดีได้เองไม่ต่างกัน “หลังสิบขวบจึงกินดื่มได้ไม่ต้องกังวล”
“เจ้าค่ะ ไม่ต้องกังวลแล้ว” เสวียนหนิงอันกลอกตา ไม่ได้สนใจรักษามารยาทอีก
เขาเห็นว่านางเป็นเด็กอายุสิบขวบอยู่หรอกหรือนี่!
“ว่าแต่เจ้ามีเหตุผลอันใดต้องส่งจดหมายให้กับท่านหมอหวงเล่า”
หลี่จินหมิงเดิมทีต้องทำตัวแข็งกร้าวไร้อารมณ์ แต่เพราะความเป็นห่วงว่านางจะเป็นอันตรายเพราะเรื่องอาหาร จึงเผลอถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจนคล้ายกับตัวเขาคนเดิมในอดีต เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนฟังจึงรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงยิ่งนัก
“ข้ามีนิสัยนอนหลับยาก ไม่ชินกับการนอนคนเดียว เมื่อวานกำยานผ่อนคลายอารมณ์หมดแล้ว จึงตั้งใจว่าจะส่งจดหมายไปขอท่านหมอเจ้าค่ะ”
เสวียนหนิงอันมิอยากร้องขออันใดมาก แต่เมื่อคืนที่ผ่านมานางนอนไม่หลับจริง ๆ
“หากใช้กำยานจนเป็นนิสัย ในอนาคตจะหลับได้ยากเสียยิ่งกว่าเก่า เจ้าได้คิดหาวิธีอื่นไว้บ้างหรือไม่”
หลี่จินหมิงคลายความวิตกเรื่องสุขภาพของนางแล้ว จึงเริ่มตรองเรื่องที่นางพูดอย่างละเอียด คิดไปคิดมาก็กลัวว่าตนจะตกหลุมพราง พ่ายแพ้ต่อความมากเล่ห์แสนกล หลงเชื่อในเรื่องที่ไม่ควรเชื่อ เผลอทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เฉกเช่นเมื่อหลายปีก่อนที่เขาถูกปั่นหัวโดยบิดาของนาง
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางร้ายกาจ บุตรสาวจะแตกต่างกันอยู่หรือ
“ถ้ามิต้องนอนตามลำพังคงดีขึ้น เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านอา…”
“หึ! สุดท้ายก็เปิดเผยสิ่งที่ต้องการออกมาจนได้ แสร้งเรียกหาท่านหมอเรียกร้องความสนใจ นี่คงให้เจียอีจงใจพูดเรื่องน้ำเต้าหู้เพื่อให้ข้าเป็นห่วงกระมัง” หลี่จินหมิงลุกจากเก้าอี้ เดินตรงเข้ามาใกล้จนใบหน้าแทบชิดกัน
“เสวียนหนิงอัน เหตุใดเจ้าจึงมารยาเก่งยิ่งนัก เรื่องดี ๆ ที่ควรได้รับมาจากมารดาของเจ้าไม่มีหรืออย่างไร เหตุใดจึงทำตัวร้ายลึกเช่นบิดา วางแผนหว่านเสน่ห์ ล่อลวงข้าไม่รู้จักจบสิ้น!”
“ท่านอา!” เสวียนหนิงอันตกใจแทบสิ้นสติ ถอยหลังออกห่างจากร่างสูงโปร่งราวสามก้าว ดวงตากลมโตกะพริบถี่อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ฟัง
“อยากนอนกับข้ามากถึงขั้นต้องสร้างเรื่องนอนไม่หลับ! มิแน่ใจว่า ตวนอ๋องได้อบรมสั่งสอนบุตรสาวบ้างหรือไม่!”
ชั่วชีวิตเสวียนหนิงอันมิเคยนึกว่าจะมีผู้ใดพูดจาว่าร้ายให้หัวใจรู้สึกปวดร้าวได้มากถึงเพียงนี้ แต่กระนั้นนางก็ยังรีบตั้งสติ เชิดหน้าตอบโต้กลับอย่างทันทีทันใด
“ข้าแค่จะขออนุญาตให้เจียอีมานอนด้วย หากเรื่องนี้ทำให้ท่านคิดว่าข้าเจ้าแผนการเหมือนท่านพ่อ ข้ายอมนอนเพียงลำพังไม่รบกวนสาวใช้ของท่านอีก กำยานนั่นก็เช่นกัน ข้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว!”
“นี่เจ้า!” หลี่จินหมิงถึงกับตะลึง มิรู้ว่าควรพูดอย่างไรเลยทีเดียว
“ในสายตาท่าน ข้าคงเป็นสตรีที่ร้ายกาจมาก ทุกครั้งที่พบกันท่านมักเบือนหน้าหนี แสดงทีท่าว่ารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง ขอถามสักหน่อยเถิดว่าเสวียนหนิงอันผู้นี้ไม่งดงามพอที่จะเป็นภรรยาของท่านหรือเจ้าคะ!”
“ไม่… ไม่ใช่เช่นนั้น” เขาจะตอบได้อย่างไรว่ามิกล้ามองเพราะกลัวว่าจะใจอ่อน ยอมทำทุกอย่างที่นางต้องการ
“แล้วเหตุใดจึงไม่มองล่ะเจ้าคะ!”
เสวียนหนิงอันเสียใจที่เขาอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ ขอบตานางยามนี้ร้อนผะผ่าวคาดเดาได้ว่าอีกไม่นานคงมีหยาดน้ำตาบนดวงหน้าสวยหวานเย้ายวนเป็นแน่ แต่นางจะไม่ยอมให้คนใจร้ายเห็นมันโดยเด็ดขาด
เมื่อคิดได้ดังนั้นนางจึงปราดเข้าไปหาเขาและใช้สองมือผลักอกกว้างอย่างไม่เบานัก “หากตอบไม่ได้ท่านก็ออกไป! ข้าไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้าย ท่านออกไป!”
“เสวียนหนิงอัน!”
“หากยังไม่ไป ข้าจะร้องไห้ใส่ท่าน หรือว่าชอบมองน้ำตาของสตรี อยากเห็นข้าร้องไห้ซ้ำ ๆ เพราะบุรุษที่ไม่รู้จักรักษาสัญญาเช่นท่านอีก!”
“ข้าไปสัญญาอะไรกับเจ้า!”
“บอกว่าจะมาเยี่ยมทุกปี แล้วท่านได้มาหรือไม่!”
หลี่จินหมิงแทบกระอักเลือด ภาพเสวียนหนิงอันในวัยเด็กปรากฏชัดขึ้นในความทรงจำอันเลือนราง นางร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางขอให้เขากลับต่างเมืองไปด้วยกัน แต่หลังจากอธิบายแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ นางก็พลันนิ่งเงียบ ไม่ยิ้มแย้มหรือออดอ้อนเขาดังเดิม
‘อาสัญญาว่าจะไปเยี่ยมบ่อย ๆ’
เขาจำได้ว่าพูดคำหวานปลอบใจนาง สัญญาว่าจะไปเยี่ยมให้บ่อย ช่วงแรกก็ไปหาปีละครั้ง แต่หลังจากแต่งงานกลับไม่ได้พบหน้านานกว่าห้าปี
เขาผิดสัญญา ทำนางเสียใจจนถึงขั้นร้องไห้จริงหรือ?
“ไป! สามีใจร้ายออกไปได้แล้ว!” เสวียนหนิงอันผลักเขาแรง ๆ อย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อร่างสูงใหญ่พ้นประตู นางก็รีบลงกลอนและขังตนเองไว้ตามลำพังทันที
“หนิงเอ๋อร์…”
“ไปให้พ้น!”
หลี่จินหมิงยืนตัวแข็งราวกับถูกสาปอยู่หน้าเรือนเล็กชั่วขณะและทันทีที่เขาตัดสินใจหันหลังหมายใจจะกลับเรือนใหญ่ หัวใจที่ด้านชามานานก็พลันถูกเสียงสะอื้นเบา ๆ บีบรัดจนปวดร้าว ควบคุมอารมณ์ของตนไม่ได้ดีอย่างที่เคย
หรือว่าเขามองนางในแง่ร้ายมากเกินไป?