บทที่ 3 สวนดอกเหมยกุ้ย 2

1662 Words
หลายวันผ่านไป เสียงกรีดร้องที่แว่วมาตามสายลมทำให้เสวียนหนิงอันหัวเราะอย่างขบขัน ความจริงนางมิได้ยิ้มกว้างเต็มใบหน้าหรือร่าเริงเช่นนี้หลายวันแล้ว หากจะชี้ให้ชัดก็น่าจะเริ่มจากวันที่นางล่อลวงหลี่จินหมิงให้มารับผิดชอบ บังคับท่านอามาเป็นสามี แต่ในวันนี้ภาพสาวใช้เจียอีที่ทำหน้าบิดเบี้ยวเพราะถูกหนอนตัวไม่เล็กนักเกาะบริเวณหัวไหล่ ทำให้นางกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ ลืมความทุกข์ใจไปชั่วคราว “เสียงดังไร้มารยาท!” ซุนหยา ยามนี้อายุย่างเข้าห้าสิบปีแล้ว นางมีรูปร่างอวบอ้วนตามวัย บนใบหน้ายังมีเค้าโครงความงามหลงเหลืออยู่บ้าง แต่เจียอีมักพูดเสมอว่าทุกครั้งที่หญิงสูงวัยอารมณ์ไม่ดี ส่วนที่น่าชมบนใบหน้าก็จะเลือนหายไป เจียอีจึงบอกกับฮูหยินน้อยเสมอว่าต้องอารมณ์ดีให้มาก “ท่านป้า ช่วยข้าด้วย!” เจียอีกระโดดไปตรงหน้าสตรีสูงวัยเพื่อขอความช่วยเหลือ นางไม่ชอบหนอนตัวนุ่มเอาเสียเลย ทว่าฮูหยินน้อยกลับบอกว่าพวกมันดูน่ารักดี “อย่ามาใกล้ข้า!” ซุนหยาตวาดเพราะตนเองก็มิได้ชอบสัตว์ประเภทนี้เช่นกัน แต่ก่อนที่จะได้ทำอันใด นายหญิงคนใหม่ก็ปราดเข้ามาใกล้ ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนบางคลุมลงบนตัวหนอนและนำมันออกจากร่างของเจียอีทันที “ฮูหยินน้อยฆ่ามันเลยเจ้าค่ะ น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก!” เจียอีกรีดน้ำตา แสบจมูกเล็กน้อยเพราะเมื่อครู่ตกใจจนเกือบร้องไห้ แต่พอตัวหนอนไม่อยู่บนร่างนางแล้วก็เปลี่ยนเป็นโกรธแค้นขุ่นเคืองแทน “อย่าทำบาปเลย มันเป็นหนอนผีเสื้อเท่านั้น ทำอันใดเจ้าไม่ได้หรอก” “แต่มันน่ากลัวนะเจ้าคะ” เจียอียืนยันตามเดิม “ยามนี้อาจไม่น่ามอง แต่พอถึงเวลาที่เหมาะสมก็งดงามน่าชมมิใช่หรือ” เสวียนหนิงอันก้าวให้ห่างจากเจียอีและซุนหยา สองมือยังคงถือเจ้าตัวปัญหาอย่างทะนุถนอม ราวกับกลัวว่ามันจะถูกสาวใช้ทุบให้ตายต่อหน้านาง “เจ้าอย่าโกรธมันเลยนะเจียอี เป็นข้าไม่ดีเองที่ไม่ได้ช่วยเอามันออกจากตัวเจ้าเร็วมากพอ หากจะโกรธ… เจียอีโกรธข้าแทนได้หรือไม่” “เรื่องแค่นี้เหตุใดจึงต้องพูดจาใหญ่โต ฮูหยินน้อยก็เช่นกัน เหตุใดจึงต้องกลัวว่านางจะโกรธ ที่นี่หากสาวใช้ทำเรื่องอันใดไม่ถูกใจก็โบยสักสิบไม้ เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ที่บ้านฮูหยินน้อยมิได้สอนหรือเจ้าคะ” ซุนหยาตัดบท นางไม่ชอบนายหญิงคนใหม่จึงไม่ต้องการฟังน้ำเสียงออดอ้อนอันตรายนานเกินความจำเป็น “ทำเช่นนั้นหาได้ไม่ ท่านแม่ข้าสอนว่ามีเรื่องอันใดก็จงใจเย็นให้มาก ค่อย ๆ พูดจา ไม่ผลีผลามโวยวาย เจียอีแม้เป็นสาวใช้แต่ก็มีหัวใจ อีกทั้งนางยังเด็ก ควบคุมความตกใจหรือความโกรธยังไม่ชำนาญ ให้เวลานางสักหน่อยก็คงดีขึ้น ท่านป้าเห็นด้วยกับข้าหรือไม่” วาจาของเสวียนหนิงอันไม่อ่อนน้อม ไม่แข็งกระด้าง ทว่าดวงตาที่ทอดมองไปยังซุนหยานั้นเย็นชาดุจน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย กดดันหญิงสูงวัยให้รู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ท่าทางราวกับพวกคุณหนูสกุลใหญ่ไม่ผิดเพี้ยน นางเป็นบุตรสาวพ่อค้ามิใช่หรือ? “เจียอียังเด็กอย่างที่ฮูหยินน้อยว่าจริง ๆ” ซุนหยายอมรับอย่างเสียมิได้ ก่อนเอ่ยเรื่องที่ทำให้ต้องเดินมายังเรือนเล็ก “นายท่านต้องการพบฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ” สามีของนางกลับมาแล้วหรือนี่! เสวียนหนิงอันพยักหน้ารับคำอย่างสงบนิ่งก่อนออกคำสั่งให้เจียอีไปทำความสะอาดเรือน ทว่าหัวใจดวงน้อยกลับเต้นโครมครามขณะเดินตามซุนหยาไปยังเรือนใหญ่ที่นางยังมิเคยได้ย่างกรายเข้าไปสักครั้ง นึกไม่ถึงว่าหญิงสูงวัยจะพานางเดินตรงไปยังเรือนเล็กที่อยู่ข้างกัน มิใช่เรือนใหญ่อย่างที่เสวียนหนิงอันเข้าใจ ‘จ้าวฮูหยินอยู่เรือนใหญ่กับนายท่านตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ’ นางผ่อนลมหายใจช้า ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ได้ฟังจากสาวใช้เจียอี อิจฉาคนที่จากไปแล้วไม่ใช่เรื่องสมควร จ้าวฮูหยินเป็นภรรยาผูกผมที่เขารักใคร่อย่างมาก ถึงขั้นให้อยู่เรือนเดียวกันไม่ยอมแยกจาก นางควรเคารพความรักของเขาสองคนให้มากจึงจะถูกต้องมิใช่หรือ “นายท่านอารมณ์ไม่ดีเจ้าค่ะท่านป้า ได้ยินว่ามีปัญหาเรื่องบัญชี” สาวใช้ที่เดินออกจากเรือนหลังเล็กกระซิบเสียงเบา เสวียนหนิงอันจึงถือโอกาสที่ประตูเปิดกว้างมองสำรวจอย่างรวดเร็ว พบว่าข้างในคือห้องหนังสือที่เขาน่าจะใช้เป็นห้องทำงาน “หากอารมณ์ไม่ดีย่อมต้องดื่มสุรา แต่สุราดอกท้อที่เก็บไว้มีเหลือไม่มากแล้ว เจ้าอย่าลืมส่งคนไปซื้อที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองเล่า” ซุนหยาสั่งงานอีกหลายคำ ปล่อยให้เสวียนหนิงอันยืนรออย่างอดทน แม้ในชีวิตนี้มิเคยต้องรอผู้ใดมาก่อน ทว่าเสวียนหนิงอันกลับไม่รู้สึกว่าการถูกปล่อยให้รอในครั้งนี้เป็นเรื่องลำบาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทราบดีว่าอีกไม่นานจะได้พบคนที่นางอยากพบหน้า แม้ในใจมีเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายกลับไม่รู้ว่าต้องพูดคุยเรื่องอันใดก่อนดี ยิ่งเขามิใช่ท่านอาใจดีอย่างที่จำได้ นางก็ยิ่งรู้สึกหน่วงหนักในหัวใจ เสวียนหนิงอันก้มมองชายกระโปรงที่ลอยสูงกว่าที่ควรเกือบสองชุ่น[1]แล้วพลันรู้สึกว่าตนเองน่าเกลียดอย่างมาก เสื้อผ้าของนางเก่าแล้ว บริเวณหน้าอกรัดจนหายใจลำบาก นางจึงตัดปัญหาด้วยการไม่สวมบังทรง เรื่องนี้มีเพียงเจียอีเท่านั้นที่รู้ สาวน้อยในวัยสิบสี่ปีเสนอว่าให้บอกเรื่องความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นต่อนายท่าน แต่เขาหายตัวไปหลังจากแต่งงานได้เพียงสองวัน นางจึงหาโอกาสที่ว่านั้นไม่ได้เสียที พูดแล้วก็น่าอาย เป็นถึงบุตรสาวของตวนอ๋องแต่กลับต้องพึ่งพาเงินทองของสามี “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ” ซุนหยาเรียกนายหญิงคนใหม่ถึงสามครั้งนางจึงได้สติและหันมารับถาดน้ำชาก่อนเดินเข้าห้องหนังสือ ทุกย่างก้าวหนักแน่นปราศจากความเขินอาย ต่างจากภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านของสามีโดยสิ้นเชิง “ท่านอาเจ้าคะ…” เสวียนหนิงอันกลั้นหายใจเมื่อเขาเงยหน้า พบว่าดวงตาสีเข้มวาววับชั่วพริบตาก่อนฉายแววชัดว่ามีเรื่องไม่สบอารมณ์ นางอยากถามว่ามีเรื่องใดให้ช่วยบ้างหรือไม่ แต่กลับกลั่นกรองคำพูดออกมาได้ยากยิ่ง เมื่อเรื่องเป็นเช่นนั้นนางจึงเลือกปิดปากเงียบ วางกาน้ำชาไว้บนมุมโต๊ะและถอยหลังไปสามก้าว “ตวนอ๋องมิได้สอนเจ้ารินน้ำชาหรือ” “หนิงเอ๋อร์เห็นท่านอากำลังตรวจสอบบัญชี กลัวว่าหากไม่ระวังน้ำชาอาจหกเลอะเทอะเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันเห็นว่าขอบตาของเขาแดงก่ำคล้ายคนไม่ได้นอน จึงแสดงความเห็นออกมาอย่างกังวล “เหนื่อยล้ามากไปอาจทำงานผิดพลาด ท่านอาเอนหลังพักผ่อนสักครึ่งชั่วยามเถิดนะเจ้าคะ” “เช่นนั้นจะพักสักหน่อย… แล้วเจ้าขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่” เขาถามโดยไม่มองหน้า จัดการสมุดบัญชีที่อยู่บนโต๊ะทำงานอย่างไม่รีบร้อน ก่อนพาร่างสูงโปร่งของตนไปนั่งพักบนตั่งริมหน้าต่าง “ยังขาดของใช้ส่วนตัวบางอย่างเจ้าค่ะ” “อยากได้อันใดเพิ่มเติมก็แจ้งซุนหยา… เจ้าไปได้แล้ว” หลี่จินหมิงกดขมับตนเองเบา ๆ พยักพเยิดเป็นเชิงให้นางออกจากห้องได้แล้ว แต่เจ้าของเรือนร่างบอบบางกลับยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “ต้องการสิ่งใดอีก” “ข้าอยากจะขออนุญาตท่านอาออกไปซื้อของข้างนอกเจ้าค่ะ” “ไม่อนุญาต อยากได้อันใดก็บอกซุนหยา หากไม่ชอบนางก็ให้เจียอีจัดการแทน” “ข้าไม่ได้ไม่ชอบท่านป้าซุนหยา แต่ของบางอย่างจำต้องเลือกด้วยตนเองเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันเว้นจังหวะ ก่อนกล่าวออกมาอย่างกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก “ท่านพ่อลงโทษข้า เสื้อผ้าในหีบที่ส่งมาล้วนเป็นของเก่า สวมใส่ไม่สบายตัว” “หึ! ที่แท้ก็ห่วงเรื่องความงาม” “มิใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันก้มมองอาภรณ์ที่สวมใส่อีกครั้ง ก่อนเอ่ยออกมาอย่างคับแค้นใจ “เรื่องเสื้อผ้าเก่าข้าไม่ว่าอะไร แต่บังทรงนั้นสวมไม่ได้ รัดแน่นจนหายใจแทบไม่ออก หากข้าสวมมันอยู่คงได้เป็นลมต่อหน้าท่านแล้ว” “เสวียนหนิงอัน!” หลี่จินหมิงผุดลุกจากตั่งแทบมิทัน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ มิแน่ใจว่าเพราะความโกรธหรือความอาย “ข้าไม่ได้โกหกนะเจ้าคะ หากท่านอาไม่เชื่อจะลองถามเจียอี…” “ออกไปได้แล้ว!” เสียงตวาดนั้นทำให้เสวียนหนิงอันวิ่งออกจากห้องหนังสือแทบไม่ทัน! [1] ๑ ชุ่น = ๑ นิ้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD