“อะแฮ่ม! พวกเราคงมาขัดจังหวะแล้วกระมัง” เสียงคุ้นเคยทำให้ซิงเยียนหันไปมอง ก็พบเข้ากับท่านลุง ท่านป้า และน้องสาว นางจึงรีบลุกออกจากตัวของสามีและวิ่งไปกอดน้องสาวทันที
“มาได้อย่างไร ท่านลุงไปรับหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าพาเสี่ยวเฟินและลู่ซิวมาเยี่ยมพี่หญิงด้วย ตอนนี้คงไปหาเสี่ยวหงกับลู่เป่าอยู่” เมื่อก่อนนางและพี่สาวอยู่ด้วยกันที่ตำหนัก เหล่าคนสนิทจึงได้อยู่กันพร้อมหน้า เมื่อพี่สาวแยกออกมาอยู่นอกวัง พวกเขาย่อมต้องคิดถึงเป็นธรรมดา
“คำนับท่านลุงและท่านป้าขอรับ ถวายพระพรองค์หญิง” จ้านโหรวลุกขึ้นมาคำนับญาติของภรรยา
“ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งงดงามราวเทพเซียน” เฟยหย่ากวาดตามองหลานเขย ก่อนจะยกยิ้มอย่างพอใจ
“เผื่อท่านป้าลืมว่าเขาเป็นสามีข้า”
“ฮ่าๆ แบ่งข้าดูบ้างมิได้หรืออย่างไร ข้าเองก็เป็นชาย มิมีสิ่งใดเสียหาย” คำพูดของหลานสาว ทำเอาป้าสะใภ้หัวเราะเสียงดังลั่น จนจ้านโหรวที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาทำตัวไม่ถูก
“ประเดี๋ยวเถิดเฟยหย่า สามีเจ้าก็ยืนอยู่นี่”
“พอเถิดเจ้าค่ะ พี่เขยทำตัวไม่ถูกแล้ว” เป็นหนิงเซียนที่เข้ามาช่วยหยุดการถกเถียงนี้ ทั้งคำพูดและสรรพนามที่ใช้เรียกขาน เปลี่ยนแปลงไปตามยศถาบรรดาศักดิ์ของซิงเยียนในปัจจุบัน
“เชิญนั่งก่อนขอรับ ประเดี๋ยวข้าจะไปสั่งบ่าวไพร่ให้เอาชาและขนมมาให้” จ้านโหรวกำลังจะเดินออกไปสั่งการบ่าวไพร่ แต่ก็ต้องหยุดเมื่อภรรยาบอกให้นั่งลงข้างกัน
“มิต้อง เสี่ยวหงคงจัดการแล้ว เจ้านั่งลงเถิด”
“นั่นสิ ข้าได้ยินว่าช่วงเช้า ท่านอาจารย์มาทดสอบเจ้า เป็นอย่างไรบ้างเล่า” เมื่อท่านเสนาบดีหวังเอ่ยถาม จ้านโหรวจึงมิเสียมารยาท นั่งลงเคียงข้างภรรยา ก่อนจะเอ่ยตอบไปตามความจริง
“ผ่านมาอย่างฉิวเฉียดขอรับ แหะๆ” เห็นใบหน้าเหยเกของสามี ซิงเยียนก็อดหัวเราะออกมามิได้
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว มีศาสตร์ใดที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ให้ลุงจัดหาอาจารย์มาสอนดีหรือไม่เล่า”
“เรื่องนั้นข้าจัดการเองดีกว่าเจ้าค่ะ ท่านลุงมีงานล้นมือ ไหนจะต้องดูแลป้าสะใภ้อีก ข้ามิอยากรบกวน” ซิงเยียนหันไปหยอกเย้าป้าสะใภ้แทน
“พี่หญิง เหตุใดจึงเอ่ยราวกับว่า ป้าสะใภ้เป็นเด็กมิรู้จักโตเช่นนี้เล่า”
“กระหม่อมว่าคนที่กล่าวเช่นนั้น คงจะเป็นองค์หญิงเจ็ดมากกว่านะพ่ะย่ะค่ะ” เสียงหัวเราะดังไปทั่วศาลา
จ้านโหรวที่พึ่งเคยได้พบครอบครัวสกุลหวังก็แปลกใจไม่น้อย เดิมทีคิดว่าเสนาบดีหวังคงจะเคร่งขรึมกว่านี้ แต่นี่กลับนั่งหัวเราะชอบใจไปกับภรรยาและหลานสาวทั้งสอง จนเขาเองก็อดยิ้มตามไม่ได้ หากว่ามารดาของเขาอยู่ด้วย นางคงมีความสุขเช่นเดียวกับที่เขาเป็นอยู่
ขอซิงเยียนพามารดามาอยู่ด้วยดีหรือไม่นะ
“ท่านลุงเพียงมาเยี่ยมเยือนข้าหรือเจ้าคะ” ซิงเยียนเงยหน้าขึ้นจากจานขนม ก่อนจะเอ่ยถามผู้เป็นลุง
“มิได้ ลุงมาบอกเรื่องที่ราชทูตจากแคว้นฉิน จะเข้ามาในอีกยี่สิบวันข้างหน้า อย่างไรก็หาข้อมูลเผื่อไว้เสียหน่อย”
“มาด้วยเรื่องใดเจ้าคะ”
“เรื่องนี้ลุงก็มิอาจรู้ได้ ทางแคว้นฉินมิได้แจ้งต่อเรา” ซิงเยียนพยักหน้าเข้าใจ เห็นทีนางจะต้องศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับแคว้นฉินไว้เสียบ้าง
“แคว้นฉินมีข้อพิพาทกับชาวบ้านแถบชายแดนของเราอยู่มิใช่หรือ…เอ่อ ขะ ข้าได้ยินตอนไปเที่ยวหอนางโลมขอรับ” อยู่ๆ จ้านโหรวก็พึมพำ เรื่องที่บุคคลทั่วไปมิรู้ออกมา
“ในหอนางโลมมีคนพูดเรื่องข้อพิพาท ระหว่างแคว้นด้วยหรือ” ป๋อเหวินขมวดคิ้วสงสัย ต่างจากซิงเยียนที่กระตุกยิ้มเล็กน้อย ที่นางสงสัยว่าชายหนุ่มปกปิดบางสิ่งไว้ คงจะเป็นเรื่องจริง
“ขอรับ ข้าบังเอิญได้ยินที่ผู้อื่นพูดกัน…จริงสิ ชากำลังจะหมด ประเดี๋ยวข้าไปเปลี่ยนมาให้นะขอรับ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ลุกออกไปทันที ไม่รอให้ผู้ใดได้ทักท้วง คนบนศาลามองดูแผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไปจนลับตา
“ข้อมูลที่หลานเขยเอ่ยเป็นเรื่องจริง ลุงพึ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน”
“เรื่องที่เจ้าสงสัย คงจะมีส่วนจริงเสียแล้ว” สองสามีภรรยาสกุลหวังต่างคิดเห็นไปในทางเดียวกัน คงมีเพียงหนิงเซียนเท่านั้นหันมองคนนั้นที คนนี้ที มิได้รู้เรื่องราวกับพวกเขาด้วย
“ข้าจะลองให้ลู่เป่าสืบเรื่องนี้ดูเจ้าค่ะ”
ลู่เป่าถูกเรียกเข้ามารายงานผล เรื่องที่ซิงเยียนให้ไปตามดูพฤติกรรมของจ้านโหรว ตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“ขออภัยขอรับฮูหยิน นายท่านหลบหลีกข้าได้ทุกครั้ง”
“ขนาดเป็นเจ้า เขายังสลัดหลุดอย่างนั้นหรือ” ลู่เป่ามิใช่องครักษ์ปลายแถว ฝีมือของเขาไม่ด้อยไปว่าองครักษ์รักษาพระองค์ของเสด็จพ่อเลย
จ้านโหรว เจ้าเป็นใครกันแน่
“ขอรับ เพราะรู้ว่าการสะกดรอยตามไม่ได้ผล ข้าจึงใช้การซุ่มดูเอาขอรับ เห็นนายท่านมักไปหอนางโลมหงฮัวอยู่บ่อยๆ ข้าจึงไปซุ่มดูที่นั่น”
“เหตุใดไปซุ่มดูที่หอนางโลมเล่า บุรุษก็เข้าไปเที่ยวที่นั่นเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ”
“มิได้ขอรับ สำหรับนายท่านแล้ว มีเรื่องแปลกอยู่บ้าง”
“อย่างไร” ทั้งซิงเยียนและเสี่ยวหงต่างตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ยามออกมาจากหอนางโลม นายท่านมิเคยแสดงอาการมึนเมาเลยขอรับ แต่พอข้า มาสอบถามกับทหารเฝ้ายามหน้าจวน พวกเขากลับบอกว่านายท่านเมาสุราจนเดินซวนเซไปทั่ว” และไม่ใช่เพียงวันเดียว ลู่เป่าสังเกตและคอยสอบถามทหารยามหลายครั้ง แต่คำตอบก็เป็นเช่นเดิม
“อืม… แปลกอย่างที่เจ้าว่า” เหตุใดต้องแสร้งทำท่าทีมึนเมา ให้ทหารยามเห็น ทั้งที่มิได้เมาสักนิด
“…”
“หรือในหอนางโลมจะมีบางอย่างที่เราไม่รู้ ลู่เป่า เจ้าเคยเข้าไปหรือไม่”
“เคยขอรับ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต เหมือนกับหอนางโลมทั่วๆ ไป” ลู่เป่าตอบไปตามที่เขาคิด
“ไม่แน่นะเจ้าคะ หากนายท่านมิได้เสเพลอย่างที่เขาพูดกัน นายท่านอาจจะใช้หอนางโลมเป็นที่พบปะพูดคุยเรื่องสำคัญก็ได้นะเจ้าคะ อย่างที่ขุนนางหลายคนทำอย่างไรเล่า” เสี่ยวหงอธิบายออกมาเป็นฉากเป็นตอน ซึ่งซิงเยียนเองก็เห็นด้วย ท่านลุงเองก็ไปนัดพูดคุยกับเหล่าขุนนางที่หอนางโลมอยู่บ่อยครั้ง
“สมกับเป็นคนของข้า ฉลาดหลักแหลมเสียจริง” เสี่ยวหงยิ้มเอียงอาย
“เช่นนั้น ฮูหยินจะให้ข้าน้อยทำอย่างไรต่อขอรับ”
“พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปดูให้เห็นกับตา ว่าจ้านโหรวได้นัดพบผู้อื่นเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญจริงหรือไม่ พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม” จากพฤติกรรมที่เห็นและคำบอกเล่าของลู่เป่า ซิงเยียนมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจ้านโหรว จะต้องซ่อนบางสิ่งไว้ที่หอนางโลมนั่น ไม่แน่ว่าอาจจะนัดพบใครบางคนอย่างเสี่ยวหงว่า
หึ! ดูซิว่าหากจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ จะยอมบอกความจริงกันหรือไม่
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ปลายยามโหย่ว (17:00 – 18:59 น.) ของอีกวัน ซิงเยียนจึงให้ลู่เป่าพานางและเสี่ยวหงมาที่หอนางโลมหงฮัว หลังจากที่จ้านโหรวออกไปได้สักพัก
หนึ่งนายกับอีกสองบ่าว ก็พากันเดินเข้าหอนางโลมหงฮัว ที่บัดนี้แน่นขนัดไปด้วยนักท่องราตรี ไม่ว่าจะเป็นเด็กหนุ่มหรือชายเฒ่าก็ล้วนมาเยี่ยมชมสถานที่นี้ สาวงามภายในร้านจึงต้องเดินต้อนรับแขกกันขวักไขว่
“ฮูหยิน!!!” แม่เล้าของหอหงฮัวรีบเข้ามาต้อนรับ ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็หันมามองร่างระหงที่ยืนอยู่ ว่าสาวงามในร้านสะสวยแล้ว สตรีที่มาเยือนกลับงดงามยิ่งกว่า ทั้งยังดูเย่อหยิ่ง น่าปราบพยศ จนชายบางคนถึงขั้นต้องถามเสี่ยวเอ้อของร้านว่าสตรีผู้นี้เป็นใคร แต่ซิงเยียนก็มิได้สนสายตาเหล่านั้นแม้แต่น้อย เร่งถามเอาความกับแม่เล้าของร้าน
“ข้ามาพบจงจ้านโหรว เขาอยู่ห้องใด”
“เอ่อ นายท่านจง- นายท่านไม่สะดวกเจ้าค่ะ เชิญฮูหยินนั่งรอตรงนี้สักครู่ แล้วข้าจะให้คนไปตามนายท่านให้” หญิงวัยกลางคนตื่นตระหนกไม่น้อย แต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ จะทำให้นายท่านลำบากมิได้เด็ดขาด
“ข้าต้องการพบเขาเดี๋ยวนี้ เจ้านำทางข้าไป”
“แต่นายท่านกำลังอยู่กับสาวงามของเราอยู่นะเจ้าคะ ข้ามิคิดว่าฮูหยินจะรับได้ ที่เห็นภาพเหล่านั้น ท่านรออยู่ที่นี่ดีกว่าเจ้าค่ะ”
“พา…ข้า…ไป” ซิงเยียนเน้นคำ ก่อนที่ลู่เป่าจะชักดาบออกเล็กน้อย แม่เล้าคนงามจึงจำใจต้องทำตามคำสั่ง ผายมือเชิญซิงเยียนและคนสนิทให้ตามขึ้นไปชั้นสองของร้าน
“ห้องนี้เจ้าค่ะ”
“อืม เจ้าไปได้แล้ว” ซิงเยียนสั่ง ก่อนจะยืนนิ่งอยู่หน้าประตู นางกำลังคิดว่าหากเรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างที่คิดจะทำอย่างไร นางต้องแสดงสีหน้าท่าทีอย่างไร มิให้เกิดความกระอักกระอ่วนต่อกัน
“ฮูหยินเจ้าคะ” ซิงเยียนได้ยินเสี่ยวหงเรียก จึงหลุดออกจากความคิดไม่เข้าท่านั่น อย่างไรจ้านโหรวก็ต้องซ่อนบางอย่างเอาไว้แน่ ไม่ก็ต้องนัดพบใครบางคน
“อืม ลู่เป่า” ซิงเยียนหันไปพักหน้าเป็นสัญญาณให้ลู่เป่าเลื่อนประตูออก
ปัง!!!
เมื่อประตูเปิดออก ก็เผยให้เห็นหญิงงามสองคนกำลังช่วยกันถอดอาภรณ์ให้ชายหนุ่มที่ซิงเยียนคุ้นหน้าเป็นอย่างดี
“ฮูหยิน! ท่านมาได้อย่างไร” เสียงประตูที่เปิดออก ทำให้จ้านโหรวหันไปมองคนที่มาใหม่ จนพบเข้ากับฮูหยินของตน มือหนารีบผละออกจากสตรีทั้งสอง ก่อนจะนำอาภรณ์ตัวนอกที่ตกบนพื้นขึ้นมาสวมใส่
ซิงเยียนหันมองภายในห้องรับรองจนทั่วห้อง แต่ก็ไม่พบใครอื่น นอกจากสามคนที่อยู่ตรงหน้านาง
จ้านโหรวมิได้นัดพบผู้ใด มิได้ใช้หอนางโลมเป็นที่พูดคุยกิจธุระสำคัญอย่างที่นางคิด เขาเพียงมาปลดปล่อยอารมณ์เฉกเช่นบุรุษมักมาก ถึงขนาดเรียกสาวงามมาปรนนิบัติถึงสองคน
นางคงคิดผิดไปจริงๆ
“มิมีอันใด เชิญเจ้าอยู่ต่อเถิด ข้าแค่มาคลายความสงสัยเท่านั้น…ที่แท้เจ้าก็เป็นอย่างที่ผู้อื่นว่า” เอ่ยเพียงเท่านั้น ร่างบางก็หันหลังกลับออกไปทันที
จ้านโหรวที่นั่งอยู่กลางห้อง มองตามแผ่นหลังบางไปจนลับตา สองมือยกขึ้นมาลูบหน้าอย่างหัวเสีย
“ในเมื่อฮูหยินใจกว้างถึงเพียงนี้ เรามามีความสุขกันเถิดเจ้าค่ะ ให้ข้าปรนนิบัตินายท่านต่อนะเจ้าคะ” สาวงามเคลื่อนกายเข้ามา หมายจะช่วยผู้เป็นนายถอดอาภรณ์อีกครั้ง แต่กลับต้องหยุดชะงักเมื่อถูกเสียงเข้ม ไม่สบอารมณ์เอ่ยสั่ง
“ออกไป”
“แต่นายท่านเจ้าคะ ข้า-”
“ข้าบอกให้ออกไป! อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สาม” สายตาแข็งกร้าวตวัดมองสตรีทั้งสอง จนพวกนางต้องรีบโกยเสื้อผ้าของตนออกจากห้องไป
นายท่านนี่อย่างไร ทั้งที่ฮูหยินก็อนุญาตแล้วแท้ๆ