งานสมรสผ่านไปนานถึงสิบวัน แต่ไม่มีวันใดที่จวนผิงจิ้งจะสงบสุขดังความหมายของชื่อจวน สองสามีภรรยาหาเรื่องกลั่นแกล้งเอาคืนกันเสียให้วุ่น อย่างเช้าวันนี้ เสียงร้องโอดครวญของราชบุตรเขยแคว้นจวิ้น ก็ดังลอดออกมาจากห้องเสียงดังลั่น
“โอ๊ยยยย ท่านทำอันใด!” จ้านโหรวสะดุ้งตื่นขึ้นจากเตียง มือหนาจับจมูกของตนเอง พร้อมถูกไปมาให้คลายความเจ็บ
“ข้าช่วยเจ้าถอนขนจมูกอย่างไรเล่า เป็นบุรุษรูปงาม ขนจมูกจะยาวเฟื้อยเช่นนี้ได้อย่างไร ฮ่าๆ” ซิงเยียนหัวเราะร่า นี่ยังน้อยไปสำหรับที่ชายตรงหน้าด่านางว่าไม่มีหัวคิด นางจำได้แม่น และจะเอาคืนให้เจ็บแสบเลยคอยดู
“มานี่เลยนะ มาให้ข้าตีท่านเสียดีๆ พระสนมตรัสว่าหากท่านดื้อให้ตักเตือนได้” ได้ยินไม่ผิด…พระมารดาของซิงเยียนเอ่ยเช่นนั้นจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้ นางได้พาสามีไปพบน้องสาวและมารดา
ทั้งที่ก่อนหน้าทั้งสองพากันมิเห็นด้วยกับการสมรส แต่พอได้พูดคุยกับจ้านโหรวไม่กี่คำ ก็หลงคารมของเขาเสียแล้ว
“อย่าเข้ามานะ ข้าบอกเจ้าแล้วว่ามิอนุญาตให้เจ้าแตะตัวข้า”
“แล้วเหตุใดท่านจึงแตะตัวข้าได้”
“นั่นก็เพราะว่าเป็นข้า ข้าทำได้ทุกอย่าง ส่วนเจ้าต้องได้รับการอนุญาตก่อน เข้าใจหรือไม่”
“เหอะ! ข้ามิอยากจับตัวท่านนักหรอก ข้าไปจับสาวงาม ช่างออดช่างอ้อนดีกว่า” จ้านโหรวลอยหน้าลอยตาเอ่ยหยอกเย้าภรรยาคนงาม
“ตามใจเจ้า ตราบใดที่เจ้ายังไม่เป็นของข้า ข้าให้สิทธิ์เจ้าเต็มที่ แต่เมื่อใดที่เจ้าเป็นของข้าแล้ว อย่าหวังจะมีผู้ใดมาแตะตัวเจ้า ข้าจะสั่งให้ลู่เป่าตัดมือพวกนางทิ้งให้หมด!”
“…”
“ส่วนเจ้าก็…” ซิงเยียนหยุดพูด พลางเอานิ้วปาดไปที่คอตนเองเป็นการข่มขู่ชายตรงหน้า
เรื่องการแต่งอนุ หรือการเข้าหอนางโลมเป็นเรื่องธรรมดาของบุรุษ เดิมทีนางก็คิดว่ามิใช่เรื่องผิดแปลกอันใด แต่เมื่อได้พูดคุยกับป้าสะใภ้ นางก็มองเรื่องนี้เปลี่ยนไป คนเราควรที่จะให้เกียรติซึ่งกันและกัน ในเมื่อภรรยามีสามีเพียงคนเดียว สามีก็ต้องมีภรรยาเพียงผู้เดียว
“อึก! ขะ ข้าว่าเรารีบเตรียมตัวไปพบท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเถิด ประเดี๋ยวจะสายเอาได้” เห็นท่าไม่ค่อยจะดี ร่างสูงก็เปลี่ยนเรื่องและลุกออกจากเตียงไปอาบน้ำอาบท่าทันที
รถม้าคันหรูเคลื่อนเข้ามาจอดในเรือนสกุลจง วันนี้จ้านโหรวพาซิงเยียนเข้ามาเยี่ยมครอบครัว เพราะตั้งใจจะให้นางได้รู้จักและพูดคุยกับมารดาของเขา
แน่นอนว่าการมาเยี่ยมครอบครัวของสามีวันนี้ ซิงเยียนต้องเจอกับพี่สาวต่างมารดาด้วยเช่นกัน และก็เป็นไปตามคาด เมื่อประมุขของเรือนอย่างจงห่าวอู๋สั่งให้คนจัดสำรับอาหารมากมาย เพื่อต้อนรับสะใภ้ผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง บนโต๊ะอาหารจึงมีทั้งเจ้าบ้าน ฮูหยินเอก ฮูหยินรอง เหล่าอนุ และคู่รักที่พึ่งผ่านพิธีสมรสมาไม่กี่วันร่วมโต๊ะอยู่ด้วย
“อยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้ถือเป็นเรื่องดี มาเถิด ทานอาหารร่วมกัน” จงห่าวอู๋ลงมือทานอาหารก่อน จากนั้นทุกคนบนโต๊ะก็ทานอาหารกันด้วยความเงียบสงบ
“อาหารรสหวาน” อยู่ๆ จงห่าวหรานก็ยกอาหารที่มีรสหวาน มาวางไว้ตรงหน้าของซิงเยียน ทั้งยังจงใจมองมาที่นางอย่างไม่ปิดบัง ทำให้สายตาทุกคู่บนโต๊ะต่างหันมาสนใจ
ซิงเยียนมิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงคีบอาหารเข้าปากต่อ แม่ทัพใหญ่ของแคว้นคงจะจดจำได้ว่านางชอบทานอาหารรสหวานและขนมหวานเป็นพิเศษ
“ท่านพี่ช่างรู้ใจน้องเสียจริง นำอาหารรสหวานที่น้องไม่ชอบออกไปไว้ที่อื่น” ซูหนี่ยิ้มเขิน เพราะคิดว่าสามีรู้ใจนาง ห่าวหรานจึงได้แต่พยักหน้ารับภรรยา
หลังจากที่ทุกคนทานอาหารกันเสร็จสิ้น จึงได้มีเสียงสนทนาดังขึ้นเบาๆ ซิงเยียนที่มิได้สนิทชิดเชื้อกับครอบครัวสกุลจง ก็ทำได้เพียงรับฟังเรื่องต่างๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่น่าอึดอัดใจที่สุดคงหนีไม่พ้นสายตาแปลกๆ จากน้องชายสามีอย่างจงห่าวหราน ที่จดจ้องมายังนางอย่างเปิดเผย
“อาโหรวไปอยู่นอกเรือนเช่นนี้ มารดาเจ้าคงจะเหงาแย่ เอ้~ หรือว่าไม่เหงา เพราะปกติเจ้าก็อยู่แต่หอนางโลมอยู่แล้ว” สวีฮวา ฮูหยินรองของสกุลจงเอ่ยขึ้นมากลางโต๊ะ ตั้งใจสร้างความร้าวฉานให้กับคู่สามีภรรยาที่พึ่งตบแต่งกันไป
“ฮูหยินรองใส่ร้ายข้าแล้ว ข้าไปหอนางโลมเพียงตอนเย็นเท่านั้น เวลาอื่นข้าอยู่โรงสุรา ฮ่าๆ”
“เห้อ ข้าเหลืออดเหลือทนกับเจ้าเสียจริงจ้านโหรว ภรรยาเจ้าก็นั่งอยู่ด้วย ยังจะพูดเป็นเล่นไปเสียหมด” ห่าวอู๋ส่ายหัว พลางถอดถอนหายใจเบื่อหน่ายกับบุตรชายคนโต แม้เขาจะไม่รักใคร่มารดา แต่เขาก็มิเคยละเลยบุตร ไม่ว่าอยากเล่าเรียนอันใด เขาก็จะส่งเสียให้ถึงที่สุด
“ท่านพ่ออย่าได้กังวลเรื่องนั้น ข้ามีเงินทองมากมายให้เขาผลาญเล่น ตราบใดที่เขามิทรยศข้า เขาจะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข”
“อะ อืม เช่นนั้นก็คงต้องฝากจ้านโหรวให้สะใภ้ใหญ่ดูแลแล้ว” อดีตแม่ทัพใหญ่ชะงักไปเล็กน้อย ทั้งแววตาและคำพูดตีความได้ว่า ซิงเยียนจะเอาคืนพวกที่ทรยศต่อนางให้หมด มิรู้ว่าคนทรยศในที่นี้ ได้รวมบุตรชายคนรองและสะใภ้รองไปด้วยหรือไม่
“ท่านพ่อ ท่านแม่ และพวกท่านทุกคน อย่าได้เป็นห่วงข้าเลย ฮูหยินของข้าแสนดีถึงเพียงนี้ ข้ามิคิดทรยศต่อนาง จนนำภัยมาสู่ครอบครัวแน่” จ้านโหรวส่งยิ้มให้ทุกคนบนโต๊ะอาหาร รวมถึงน้องชายต่างมารดา ที่บัดนี้นั่งทำหน้าเรียบเฉย มิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
หึ! คิดว่าเขาไม่รู้หรือ ว่าเจ้าน้องน่าชังนั่นตั้งใจเลื่อนอาหารรสหวาน มาให้ภรรยาของเขา
เสียงพูดคุยหยุดลง เมื่อบ่าวรับใช้นำขนมหวานเข้ามา ทุกคนจึงหันไปทานขนมกันจนหมด เมื่อทานเสร็จซิงเยียนก็นึกขึ้นได้ว่าอยากพูดคุยกับมารดาของสามี
“จริงสิ ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าคิดว่าจะขออนุญาตให้ท่านแม่ไปช่วยสอนเรื่องการบ้านการเรือน และจะพาท่านแม่ออกไปทานมื้อเย็นด้านนอกด้วย”
“อืม ไปเถิด”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” จ้านโหรวได้แต่หันไปมองซิงเยียนด้วยแววตาสงสัย ก่อนหน้าภรรยาของเขาก็มิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่บอกว่าจะไปพบครอบครัวด้วยเท่านั้น
หลังจากที่ซิงเยียนพาสามีและแม่สามีมาที่จวนผิงจิ้ง นางก็แนะนำให้ทุกคนในจวนรู้จัก ก่อนจะพากันมานั่งพูดคุยที่ศาลากลางสวน
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแม่ ที่นี่งดงามหรือไม่” จ้านโหรวเอ่ยถามมารดาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“งดงามยิ่งนัก มองไปที่ใดก็มีแต่ความชุ่มชื้น” ด้วยซิงเยียนมิชอบอยู่ในที่ร้อน นางจึงสั่งให้คนสร้างน้ำตกจำลองไว้ในสวน ปลุกต้นไม้ และดอกไม้ไว้โดยรอบ วันใดที่อ่านตำราในห้องแล้วรู้สึกอุดอู้ นางก็จะเปลี่ยนมานั่งท่ามกลางละอองน้ำจากน้ำตกเช่นนี้
“จ้านโหรว ท่านไปเอาขนมมาให้ท่านแม่ทานสิ” คำเรียกขานจาก “เจ้า” ถูกเปลี่ยนเป็น “ท่าน” ทันที เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น
“เหตุใดข้าต้องไป ให้บ่าวไปเอาก็ได้”
“เห้อ ท่านจะต้องให้ข้าพูดหรือ ว่าข้าต้องการพูดคุยกับท่านแม่เพียงลำพัง” จ้านโหรวหรี่ตามองภรรยาอย่างไม่ไว้ใจ แต่เมื่อมารดาเอ่ยว่ามีเรื่องจะพูดคุยกับซิงเยียนเช่นกัน เขาจึงได้แต่พยักหน้ารับ แล้วเดินไปเอาขนม
“องค์หญิง” เสียงหวานเอ่ยเรียกสะใภ้
“ท่านแม่เรียกข้าว่าเยียนเอ๋อร์ก็ได้เจ้าค่ะ”
“เยียนเอ๋อร์”
“เอ่อ ข้าทราบมาว่าท่านเป็นคนจากเผ่าเอ๋อร์หลัว” ซิงเยียนถามไถ่ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มพูดคุยเรื่องใดแต่นั่นกลับทำให้แม่สามีรีบคุกเข่าลงกับพื้นด้วยสีหน้าหวาดผวา จนซิงเยียนและเสี่ยวหงที่นั่งอยู่ตกใจไปด้วย
“องค์หญิงอย่าได้นำเรื่องนี้ไปกล่าวโทษแก่อาโหรวเลยเพคะ เรื่องนี้จ้านโหรวมิมีความผิดแม้แต่น้อย”
“ท่านแม่ใจเย็นลงก่อนเจ้าค่ะ ลุกขึ้นมานั่งเถิด ข้ามิได้จะเอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อน ที่ถามเพราะมิรู้จะสนทนาเรื่องใดเท่านั้น”
“จะ จริงหรือ” เอ๋อร์เล่อเถียนปาเงยหน้ามองลูกสะใภ้ ก็พบว่าใบหน้างามมิได้มีท่าทีเกรี้ยวโกรธเลยแม้แต่น้อย
“จริงเจ้าค่ะ เรื่องราวของเผ่าเอ๋อร์หลัวข้ารับรู้มาก่อนที่จะสมรสด้วยซ้ำ”
“เช่นนั้นที่ท่านเอ่ยว่ามีเรื่องจะพูดคุยกับข้า…”
“ข้าเพียงอยากสนิทสนมกับแม่สามีเท่านั้นเจ้าค่ะ ท่านแม่คิดเสียว่ามีบุตรสาวอีกคนเถิด” ซิงเยียนหมายความตามที่พูด ในเมื่อชายหนุ่มต้องการให้นางทำดีกับมารดาของเขา นางก็จะทำ อีกอย่างพอมาดูๆ แล้ว มารดาของจ้านโหรว มีนิสัยใจคอคล้ายกับมารดาของนางไม่น้อย อ่อนโยน จิตใจดี ยอมให้ผู้อื่นกดขี่ไปเสียหมด
“…ได้สิ หากเจ้าคิดเช่นนั้น แม่ก็ยินดียิ่ง”
“เอาเป็นว่า ท่านเล่าเรื่องของจ้านโหรวตอนเด็กให้ข้าฟังได้หรือไม่” เมื่อสะใภ้ขอ มีหรือแม่สามีจะปฏิเสธ
เถียนปาเอ่ยเล่าเรื่องราวของจ้านโหรวให้ซิงเยียนฟังจนหมด ตั้งแต่เกิด จนเติบโตมาอย่างทุกวันนี้ ทั้งวีรกรรมแสบซน เรื่องตลกขบขันก็มิเว้น
“เมื่อก่อนแม้จะดื้อ แต่ก็ยังพอจะเชื่อฟังแม่อยู่บ้าง มาตอนนี้แม่ดุด่าก็รับฟัง แต่มิเคยจะทำตาม” เถียนปาส่ายหัวอย่างยิ้มๆ
จากที่ฟัง ซิงเยียนคิดว่าชายหนุ่มคงต้องการเรียกร้องความสนใจจากบิดา แม่สามีเล่าว่าพวกเขาอยู่ที่เรือนกันสองคน จ้านโหรวเติบโตมากับมารดาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายเลือดของชนเผ่าที่คิดจะทรยศต่อแคว้นจวิ้น ชีวิตในวัยเด็กของจ้านโหรวจึงยากลำบาก เพราะไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากเข้าใกล้สายเลือดกบฏ ไม่เว้นแม้แต่บิดาผู้ให้กำเนิด
“เยียนเอ๋อร์ แม้จ้านโหรวจะมีสายเลือดของชนเผ่าเอ๋อร์หลัว แต่เขาก็มิได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ขอเจ้าอย่าได้รังเกียจเขาเลย อาโหรวเติบโตมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมไปด้วยเงินทองก็จริง แต่เขามิเคยได้รับความรัก ความใส่ใจเช่นท่านแม่ทัพใหญ่เลยสักครั้ง จึงได้ต่อต้านบิดาด้วยการประพฤติตัวเช่นนี้”
“…”
“ขอเจ้าอย่าได้ละทิ้งเขาเลย แม่จะช่วยเจ้าตักเตือนเขาด้วยอีกแรง”
“ท่านแม่อย่าได้กังวล ข้าจะดีต่อเขา”
“เอ่อ แล้วเรื่องของเจ้ากับท่านแม่ทัพ…” เถียนปาเห็นสายตาของแม่ทัพใหญ่ที่มองลูกสะใภ้ของนางแล้ว ไม่น่าไว้ใจสักนิด
“เรื่องนั้นท่านมิต้องใส่ใจ ในเมื่อข้าเลือกแล้ว ข้าจะมิมีทางเปลี่ยนใจ”
“ขอบใจเจ้ามาก” เถียนปายิ้มทั้งน้ำตา ขอให้บุตรชายพบที่พึ่งพิงเสียทีเถิด เมื่อใดที่นางจากโลกนี้ไปจะได้หมดห่วงเสียที
“ฮูหยินเจ้าคะ เรื่องเรือนเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าวเตือน
“จริงสิ ท่านแม่เจ้าคะ เรือนที่อยู่ถัดจากเรือนใหญ่ยังว่างอยู่ วันใดที่ท่านแม่เหงา จะแวะมานอนที่นี่ หรือท่านจะย้ายมาอยู่ที่นี่เลยก็ได้นะเจ้าคะ” หลังจากที่สามีขอให้นางดีต่อมารดาของเขา ซิงเยียนก็ตั้งใจให้บ่าวมาทำความสะอาดเรือนอีกหลังเอาไว้ หากว่าแม่สามีไม่ได้มีพิษสงอันใด นางก็จะให้เป็นที่พักยามที่แม่สามีมาเยี่ยมเยือนบุตรชาย
“เรือนให้แม่หรือ”
“เจ้าค่ะ แต่ข้ายังไม่มีเครื่องเรือน เพราะมิรู้ว่าท่านแม่ชอบอย่างไร”
“มิเป็นไรๆ แม่มิอยากรบกวน”
“ฮูหยินจงอย่าได้ปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ วันหน้าคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยคงอยากให้ท่านย่ามาอยู่ด้วย” เสี่ยวหงช่วยเกลี้ยกล่อม แต่นั่นกลับทำให้ซิงเยียนถลึงตาใส่คนสนิท
“คิกๆ เช่นนั้นแม่รับไว้ วันหน้าจะได้มาช่วยเลี้ยงหลานๆ”
“หลานผู้ใดขอรับท่านแม่” จ้านโหรววางขนมลงบนโต๊ะ พลางเอ่ยถาม
“ก็หลานแม่อย่างไรเล่า เจ้าก็รีบเสียหน่อย แม่อยากอุ้มหลานเต็มทน”
“อย่างนั้นคืนนี้ ลูกจะมิทำให้ท่านแม่ผิดหวัง โอ๊ยๆๆ” สีข้างของจ้านโหรวถูกมือเล็กของภรรยาบิดเสียเต็มแรง
เถียนปาเห็นท่าทีหยอกเย้ากันของบุตรชายและสะใภ้ ก็สุขใจไปด้วย แม้จะเป็นการหยอกเย้าที่รุนแรงไปเสียหน่อยก็เถิด