บทที่ ๑ วิวาห์ป้าประทาน
เพียงออหรือชื่อเล่นน่ารักน่าชังว่าโอมเพี้ยงก้มลงกราบสุภาวัยหกสิบเศษที่หยิบยื่นชีวิตใหม่ให้แล้วยังหยิบยื่นคำว่าเจ้าสาวว่าที่นายผู้หญิงของตระกูลวีระวัทน์มาให้ด้วย จากเด็กกำพร้าพุงโลที่ตายายนำไปฝากไว้ที่สถานสงเคราะห์แล้วไม่รับกลับบ้านอีกเลยหรือจะเรียกให้ถูกก็คือตายายนำไปทิ้งไว้ที่นั่นสู่บ้านเศรษฐีคหบดีใหญ่เมื่อสุภาและหลานๆ นำอาหารไปเลี้ยงเด็กๆ เนื่องในวันเกิด สุภาถูกชะตากับโอมเพี้ยงมากตั้งแต่แรกเห็น แต่หลานชายคนเล็กกลับรังเกียจเด็กหญิงตัวผอมพุงป่องและหัวยุ่งจนเผลอพูดว่า
‘เหมือนหมาเน่า’
‘พีก็ น้องแค่ไม่ได้สระผมหวีผมแล้วมัดจุกสวยๆ เหมือนพี่รดาก็เท่านั้น’ สุภาติง
‘โอย ป้าอย่าเอามาเทียบกับรดาสิ’ พีรดาในวัยยี่สิบกำลังเป็นสาวสะพรั่งรีบค้านก่อนเดินหนีไปช่วยหยิบจับขนมและน้ำหวานแจกเด็กๆ สุภามองตามหลานสาวแล้วส่ายหน้าช้าๆ ไม่ได้เคืองโกรธแต่เอ็นดูมากกว่า
‘โอมเพี้ยงไปล้างมือก่อนแล้วค่อยมากินข้าว’ ครูพี่เลี้ยงในสถานสงเคราะห์เดินมาจูงเด็กหญิงวัยห้าขวบเจ้าของชื่อน่ารักน่าชังนั้น
‘ผมพาไปเอง’พีรพงศ์ในวัยยี่สิบเอ็ดที่กลับมาจากต่างประเทศในช่วงปิดภาคเรียนเดินมาจูงเด็กน้อยไปล้างมือที่อ่างล้างมือ โดยครูพี่เลี้ยงยังเดินตามไปอยู่ดีเพราะมีเด็กๆ อีกหลายคนกำลังล้างมืออยู่
‘เด็กมาใหม่หรือครับ ท่าทางยังตื่นคน’ พีรพงศ์ถามพลางถูง่ามนิ้วน้อยๆ ให้อย่างเบามือ
‘ก็ไม่ใหม่เท่าไหร่ค่ะ มาอยู่ได้เกือบสองสัปดาห์แล้ว แต่ทีแรกตายายเอามาฝากเช้าเย็นมารับกลับเพราะต้องทำงานทั้งคู่ แต่วันที่สามนี่มาฝากไว้แล้วหายไปเลยไม่ยอมมารับกลับ มีคนไปดูที่บ้านก็เห็นว่าย้ายออกไปแล้ว’
‘อ้าว! ตั้งใจทิ้งหรือครับ’
‘คงงั้นค่ะ เพราะไม่มีใครติดต่อมาอีกเลย’ ครูพี่เลี้ยงหน้าเศร้าลงเพราะความสงสารเด็กหญิงตัวน้อย
‘พ่อแม่เด็กละครับ’ พีรพงศ์ยังสงสัย
‘ตาของน้องบอกว่าแม่ตายตอนคลอด ส่วนพ่อไม่รู้ว่าเป็นใคร ลูกสาวเคยทำงานบ้านเศรษฐีพอท้องก็กลับมาอยู่บ้านเฉยๆ ให้พ่อแม่เลี้ยงจนคลอดแล้วตาย พ่อแม่ก็ต้องเลี้ยงหลานต่อ’
‘แล้วตายายก็เอามาทิ้งเพราะเลี้ยงไม่ไหว น่าสงสารนะ’ สุภาแทรกขึ้น
‘ไม่เชิงค่ะ มีคนบอกว่าตาบุญพากับยายกองลาภกลัวหลานสาวจะเป็นเหมือนแม่เลยไม่อยากเลี้ยงไว้’ ครูพี่เลี้ยงบอกทำเอาสองคนป้าหลานหันสบตากันเหมือนต่างเข้าไปนั่งอยู่ในใจของกันและกันแล้วสุภาก็เป็นคนเอ่ยขึ้น
‘อ้าว! หลานบุญพากับกองลาภหรอกเหรอ’ สุภาเอ่ยพลางพิศมองเด็กน้อยอีกครั้ง
‘ท่านรู้จักหรือคะ’ ครูพี่เลี้ยงถามอย่างแปลกใจ
‘คนงานเก่าที่ไร่นะ ลาออกไปทำมาค้าขายเลยไม่ได้ติดต่อกันอีก ถึงว่าสิหน้าคุ้นๆ ใช่ไหมตาพงศ์’ สุภาหันไปถามหลานชายคนโตแต่หลานชายคนเล็กที่ยืนห่างออกไปกลับตอบน้ำเสียงกวนๆ
‘ไม่เห็นจะคุ้นเลย’
‘เอ้า ตาพีก็เรายังเด็กจะจำคนงานเก่าแก่ได้ยังไงกัน’ สุภาพูดยิ้มๆ แล้วหันไปพูดกับเด็กหญิงตัวน้อย
‘ไปอยู่กับยาย อืม เรียกป้าก็พอนะยายมันแก่ๆ ยังไงไม่รู้ ไปอยู่กับป้าไหมลูก’สุภาย่อตัวลงนั่งยองๆ จ้องตาใสแจ๋วของเด็กหญิงที่จ้องตนเองสลับกับหลานชายแล้วพยักหน้า สุภาจะดึงเข้ามากอดแต่เด็กหญิงโอมเพี้ยงกลับโผไปกอดขาพีรพงศ์แทน
‘แรดแต่เด็ก’ พีรวัสพูดขึ้น สุภาหันขวับมาปรามหลานชายทันที
‘ตาพีพูดอะไรออกมา น้องตัวเท่านี้จะรู้ประสาอะไร’
‘ไม่รู้ประสาแล้วทำไมเลือกกอดผู้ชาย’ ตามด้วยเหยียดมุมปาก ก่อนจะวิ่งหนีเมื่อพีรพงศ์ก้มลงไปกระซิบอะไรบางอย่างแล้วเด็กน้อยวิ่งตรงมาที่เขาพลางกางมือเหมือนจะโอบกอด
‘เฮ้ย! หมาเน่า ไม่เอาอย่าเข้ามานะ ไปให้พ้น อย่าตามมา’
แต่ในวันนี้ยายหมาเน่าตัวนั้นกำลังจะเป็นเจ้าสาวแสนสวยของพีรวัส คนชอบดูแคลน
งานวิวาห์จากคำสั่งของสุภาเพราะกลัวพีรวัสจะคว้าผู้ชายที่ไหนมาเป็นหลานเขยหรือหลานสะใภ้ให้แกอีกคนเหมือนที่พีรพงศ์ทำจึงเกิดขึ้น
“นี่เป็นสมบัติส่วนตัวของป้า ป้าให้เพี้ยง” สุภาส่งกล่องกำมะหยี่สีแดงให้ เพียงออรับมาแล้วเปิดออกดูทันที ข้างในเป็นสร้อยข้อมือเส้นเล็กตรงกลางเป็นรูปหัวใจสองดวงไขว้กันฝังเพชรเม็ดเล็กๆ แต่น้ำงามจับใจ
“ชอบไหมลูก” ป้าสุภาถามเมื่อเด็กสาวทำตาโต
“สวยจังเลย แต่เพี้ยงคงไม่กล้าใส่ กลัวทำหาย”
“เอาไว้ใส่เวลาออกงานไงลูก ยังไงเราก็ต้องออกงานกับพี่พีเค้าอยู่แล้วในฐานะเมีย”
“แต่เพี้ยงมีเครื่องประดับที่เป็นของหมั้นแล้วนี่คะคุณท่าน”แม้สุภาจะสั่งสอนให้เรียกป้าเหมือนหลานคนอื่นๆ แต่เพียงออไม่อาจเอื้อมยังเรียกว่าคุณท่านตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ในปกครองของป้าสุภา
“นั่นเป็นของที่เจ้าสาวสมควรจะได้ตามสิทธิ์อยู่แล้ว แต่นี่เป็นของป้า ป้าให้รางวัลเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่ มาป้าใส่ให้ใส่ออกงานคืนนี้เลยก็แล้วกัน”สุภาหยิบสร้อยข้อมือจากกล่องเพื่อสวมให้เพียงออ
“แล้วนี่ก็เป็นของจากพี่” เสียงพีรพงศ์ดังมาก่อน แล้วเดินเข้ามาพร้อมกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดใหญ่กว่ากล่องของสุภานัก
“พี่พงศ์” เพียงออเรียกเสียงหลง วิ่งไปกอดเขาทันที สุภาอดมองไปด้านหลังหลานชายไม่ได้ และพีรพงศ์ก็เห็นสายตาของป้าจึงบอกให้คลายกังวล
“ผมมาคนเดียวครับ ว่าจะมาให้ทันพิธีเช้าแต่ไม่มีตั๋ว” เขาดันตัวเพียงออออกห่าง มองสำรวจเด็กสาวแล้วยิ้ม
“โตขึ้นมากนะสาวน้อย สวยมากๆ ด้วย”
“ขอบคุณค่ะ เพี้ยงดีใจที่พี่พงศ์มา ดีใจจริงๆ” ก่อนจะแบะปากใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ แต่พีรพงศ์กับสุภารีบห้าม
“อย่าร้องนะยัยเพี้ยง”
“ไม่ร้องจ้ะ เดี๋ยวหน้าเลอะหมด” พีรพงศ์ว่าแล้วดึงเด็กสาวมากอดอีกครั้ง ลูบศีรษะที่มีมวยผมสูงเพื่อให้เข้ากับชุดราตรีเปิดไหล่ที่สวมใส่
“คนดีใจเขามีแต่ยิ้มหรือหัวเราะ ไม่มีใครร้องไห้แบบเราหรอกนะ” พีรพงศ์ดันตัวเพียงออออกห่างแล้วเปิดกล่องกำมะหยี่ที่ถือมา
“ของขวัญแต่งงานสำหรับเจ้าสาวคนสวย พี่สวมให้นะ”
“อะไรหรือไหนขอดูหน่อย” สุภารีบเดินมาดู สร้อยพร้อมจี้เพชรรูปหัวใจไขว้กัน ช่างเข้ากันกับสร้อยข้อมือที่นางให้อย่างลงตัว
“สวยดี ซื้อของแพงให้น้องแบบนี้แฟนเราไม่ว่าเอารึ”
“ไม่ว่าครับ ยังช่วยผมเลือกเสียด้วยซ้ำ” เขาหยิบสร้อยจากกล่อง มาทาบที่คองามระหงของเพียงออ
“สวย ออร่ามาเต็มเลยเพี้ยงเอ๊ย” สุภาชื่นชม เพียงออรีบไหว้ขอบคุณพีรพงศ์ทันที
“ขอบคุณมากค่ะ”
“จ้ะ มาพี่สวมให้”
“ผมสวมให้เอง นี่เจ้าสาวของผม” พีรวัสที่ใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เดินเข้ามาแย่งสร้อยในมือพีรพงศ์แต่เจ้าของไม่ยอม
“ของขวัญพี่ให้ พี่สวมให้เพี้ยงเอง” พีรพงศ์ยืนกราน
“แต่นี่เจ้าสาวผม คืนนี้ก็เป็นเมียผม ทำไมผมจะสวมให้ไม่ได้”
“ก็เพราะมันเป็นของขวัญจากพี่ไงนายพี อีกอย่างแกก็เมาเดี๋ยวทำสร้อยขาด”
“ไม่ได้เมาเสียหน่อย แค่มึนๆ” เจ้าบ่าวเถียงเสียงอ้อมแอ้มจนคนในห้องต่างลอบยิ้ม
“ตาพีมาล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยมา เดี๋ยวจะได้ลงไปรับแขก” ป้าสุภาเดินมาดึงมือเจ้าบ่าว ที่ยอมเดินตามไปโดยดี ทว่ายังอดหันไปมองเจ้าสาวของตัวกับญาติผู้พี่ไม่ได้
พีรพงศ์สวมสร้อยคอให้เพียงออเสร็จก็จูบริมผมพร้อมอวยพร“ขอให้มีความสุขในชีวิตแต่งงานนะเพี้ยง พี่คงให้เพี้ยงได้เท่านี้” น้ำเสียงเต็มตื้นจนเพียงออเงยหน้ามองสงสัย แต่ยังไม่ได้พูดอะไรพีรพงศ์ก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“พี่ไปนะ”
“อ้าว! ทำไมรีบจังคะ”
“จริงๆ แล้วโทนี่รอพี่อยู่ในรถ” เขาบอกสั้นๆ เป็นอันเข้าใจกัน ไม่ว่าเวลาล่วงมากี่ปีป้าสุภาก็ทำใจยอมรับชีวิตแต่งงานของเขากับแฟนหนุ่มไม่ได้
เพียงออไหว้ลาพีรพงศ์อีกครั้งแล้วเดินไปส่งที่ประตู พอหันกลับมาก็เห็นเจ้าบ่าวของตนยืนพิงประตูห้องน้ำมองอยู่สายตาไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย จนอยากถามกลับไปว่า
โกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางไหนไม่ทราบคะคุณขา