สุภามองหลานชายอุ้มร่างพี่สาวที่ต่างเปียกปอนเข้าบ้านอย่างสงสัย รีบวางหนังสือที่กำลังอ่านแล้วขยับที่ให้พีรวัสวางร่างพีรดาลง พลางเรียกให้เด็กสำลีหาผ้าเช็ดตัวมาให้ทั้งสองคน สุภามองหน้าพีรวัสแต่ไม่เอ่ยปากถามเพราะรู้ว่าหลานชายจะต้องเล่าให้ฟังแน่ๆ แต่จังหวะนั้นสำลีวิ่งกลับมาพร้อมผ้าขนหนูสองผืน สุภาจึงรับมาไว้เองแล้วปัดมือไล่ ก่อนส่งให้พีรวัสหนึ่งผืน
“เช็ดเสียก่อนเดี๋ยวจะเป็นหวัด” แล้วเอาอีกผืนเช็ดเนื้อตัวให้พีรดา
“คือมีเรื่องเข้าใจผิดเลยทะเลาะกับยายหมาเน่า”พีรวัสเอ่ยขึ้นเมื่ออยู่กันลำพัง
“ไม่ใช่เข้าใจผิด แต่มันเล่นชู้กันจริง”พีรดารีบแย้งหลังได้สติเพราะสุภาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้
“ใครเล่นชู้ รดา” สุภาถามแล้วส่งผ้าให้หลานสาวเช็ดเนื้อเช็ดตัวเอาเอง
“ก็นังเด็กกำพร้านั่นกับวินัย”
“เหลวไหล ป้าบอกกี่ครั้งแล้วอย่าเรียกน้องแบบนั้น เพี้ยงเป็นน้องสะใภ้เรานะ”
“รดาไม่รับมันเป็นญาติ รดาเกลียดมัน มันแย่งทุกอย่างไปจากรดาแม้กระทั่งความรักจากป้า ป้ารักมันมากกว่าพวกเราทุกคน หรือว่าที่เขาพูดกันคือเรื่องจริง นังเพี้ยงมันเป็นลูกกิ๊กเก่าของป้าถึงรักมันยิ่งกว่าหลานในไส้ โอ๊ย!” พีรดาหน้าสะบัดเพราะฝ่ามือป้าที่หล่อนพูดฉอดๆ ใส่หน้า
“ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะทั้งสองคน” สุภาไล่ แล้วเดินไปมองนอกหน้าต่างเห็นเม็ดฝนเริ่มลงหนาตาอีกครั้ง
“เพี้ยงกลับมาหรือยังครับป้า” พีรวัสตามมาถามใกล้ๆ สุภาส่ายหน้าแทนคำตอบโดยไม่ได้หันกลับมามอง
“ตาพีขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ต้องไปตามหามันนะ เห็นไหมละถ้ามันไม่ผิดมันจะหนีไปทำไม ทำไมไม่กล้ากลับบ้าน” พีรดาออกคำสั่งเสียงเกรี้ยวกราด แล้วเดินกระทืบเท้าปังๆ ขึ้นบันไดจนสุภาต้องหันไปมองอย่างอ่อนใจยิ่งเห็นหลานชายเดินคอตกตามพี่สาวไปยิ่งอ่อนใจมากขึ้นดูท่าพีรวัสเกรงกลัวพี่สาวเอามากๆ จนนึกห่วงเพียงออขึ้นมาครามครัน
ใกล้ค่ำลงทุกทีแล้วฝนก็ยังโปรยปรายไม่หยุดหย่อน ทำให้ท้องฟ้าครึ้มมืดเร็วกว่าปกติแต่เพียงออยังไม่กลับเข้าบ้านโทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ พีรวัสบอกว่าเพียงอออาจทิ้งโทรศัพท์ไว้ในรถซึ่งรถน่าจะอยู่ที่บ้านวินัยหรือบางทีอาจมีใครขับกลับไปสำนักแล้วก็ได้ ส่วนคนในสำนักงานก็ไม่มีใครเห็นเพียงอออีกหลังจากหล่อนขับรถออกมาตอนเที่ยง
“รดาหิวแล้วนะป้า” พีรดานั่งหน้างอที่โต๊ะกินข้าวพูดขึ้น สุภาที่คอยชะเง้อมองออกนอกบ้านหันมามองช้าๆ แล้วว่า
“กินไปสิ”
“พีมากินข้าว พี่รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว กินข้าวเสร็จว่าจะกินยาเสียหน่อย” พีรดาสั่งน้องชายเสร็จก็ตักอาหารใส่จานให้เป็นการบังคับให้มากินกลายๆพีรวัสแตะข้อศอกสุภาเบาๆ แล้วเอ่ยชวนให้ไปกินข้าวพร้อมกัน แต่คนเป็นป้าส่ายหน้า
“ไปกินกับพี่เขาก่อนเถอะ ป้าจะรอเพี้ยง ฝนก็ตกฟ้าก็มืด แล้วเนื้อตัวก็เปียกเหมือนกันไม่ใช่หรือ ถ้ายังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าป่านนี้ไข้กินไปแล้วมั้ง” สุภากังวลไปเสียหมด
“ดีให้มันตายๆ ไปซะ”
“ยายรดา หุบปากแล้วกินข้าวไป” สุภาหันไปตวาดเสียงดัง เวลานี้คงไม่ต้องกลัวคนงานในบ้านได้ยินอีกต่อไปเพราะคาดว่าคงเห็นถึงความผิดปกติแล้ว ทั้งพีรดาก็ยังก่นด่าเพียงอออยู่ไม่ขาดปากแม้เจ้าตัวไม่อยู่ก็ตามที
“คุณท่าน” สำลีวิ่งผ่านโต๊ะกินข้าวไปหาสุภา
“มีอะไร”
“มีคนบอกว่าตอนบ่ายเห็นคุณเพี้ยงวิ่งออกมาจากสวนปาล์มแล้วขึ้นรถกระบะสีดำของใครไปก็ไม่รู้ เห็นวิ่งเข้ามาในไร่มันเลยคิดว่ามาส่งคุณเพี้ยงที่บ้าน”
“กระบะสีดำของใคร บ้านเรามีแต่รถสีขาว” สุภาพูดแล้วใจหายเป็นห่วงเพียงออขึ้นมาอีกหลายเท่า
“จะรถใคร ก็ไอ้วินัยไง บอกแล้วมันเป็นชู้กัน” พีรดาพูดปนหัวเราะทั้งที่อยากร้องไห้
“หยุดเลยนะรดา กินข้าวไป” สุภาหันมาชี้นิ้วสั่ง แล้วหันกลับ
“ไปไหนครับ” พีรวัสรีบเดินตามไปทันที ไม่ฟังเสียงห้ามของพีรดา
“ป้าอยู่เฉยไม่ได้หรอก เพี้ยงหายไปแบบนี้มันไม่ปกติแล้ว”
“ผมไปเอง” พีรวัสรีบบอกแต่สุภายังเดินต่อ
“นายพีกลับมากินข้าวกับพี่ นายพี นายพี” พีรดากรีดร้องเสียงดังอย่างขัดใจเมื่อน้องชายไม่ยอมเชื่อฟัง แล้วยังเดินไปหยิบกุญแจรถตามสุภาไปอีก
“ขอให้มันตายๆ ไปซะ อีเด็กมาร มารความสุขของฉันตลอด” พีรดายังพร่ำพูด หากไม่ติดว่ารถยังติดหล่มอยู่ในสวนปาล์มหล่อนจะรีบตามไปดูหน้าพวกมันสองคน อยากจิกหัวเด็กที่แย่งผัวมาตบสักฉาดสองฉาด
ผัวหรือเราคิดว่าวินัยคือผัวหรือ ที่เจ็บที่รู้สึกแบบนี้เพราะรักเขาหรือ พีรดาถามตัวเองแล้วน้ำตาไหล ถึงรักก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะหล่อนตัดสัมพันธ์กับเขาไปแล้ว และคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ก็คือเพียงออ
“อีเด็กมาร”
“พี่พงศ์รู้ได้ยังไงว่ายายหมาเน่าป่วย” พีรวัสรีบเอ่ยถามทันทีที่เห็นสุภาจบการสนทนากับลูกผู้พี่ของเขา
“เพี้ยงโทรไปขอให้ช่วย”
“ไม่โทรหาผัวแต่โทรไปหาพี่พงศ์ที่โน่น มันจะให้พี่พงศ์หายตัวมาช่วยหรือยังไง” ตามด้วยเสียงฮึดฮัดไม่พอใจในลำคอ
สุภาเหลียวไปมองแล้วอดยิ้มในอาการหึงหวงของพีรวัสไม่ได้แม้ปากจะบอกว่าแต่งงานตามคำขอร้องของนางก็ตาม
“ไม่ใช่อย่างนั้นพีเอ๊ย น้องมันจำเบอร์ใครไม่ได้หรอก แต่เบอร์ตาพงศ์จดเอาไว้ที่ออฟฟิศไง น้องมันเลยโทรบอกตาพงศ์ให้ช่วยติดต่อแก ตาพงศ์โทรเข้าบ้านแล้วถูกยายรดาวางสายใส่ ส่วนมือถือป้าก็ไม่มีคนรับ เลยโทรเข้าเบอร์แกนี่ไง”
“ยายหมาเน่าจำเบอร์ผมไม่ได้” พูดเสียงแกนๆ นึกน้อยใจ แต่ไม่แน่ใจนักว่าถ้าเพียงออโทรมาหาจริงเขาจะรับสายไหมในเมื่อเขาเคืองหล่อนอยู่ไม่น้อย
พีรวัสก้มลงมองคนในอ้อมกอดยังคงครางเบาๆ ลมหายใจร้อนผ่าวและตัวร้อนจัดจนต้องกอดกระชับแน่นขึ้นแม้ความคลางแคลงใจยังไม่จางหาย
“ทำกันท่าไหนถึงไข้ขึ้นจนเพ้อ” เขาโพล่งถาม รู้ว่าวินัยเข้าใจคำถามดี
“ยังไม่เข้าใจอีกหรือนายว่าน้องเพี้ยงไม่สบายอยู่ในห้องทำงานคนเดียวจนต้องโทรขอความช่วยเหลือจากคุณพงศ์ไง ส่วนผมนั่งแดกเหล้าจนเย็นแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาเห็นออฟฟิศมืดเลยแวะเข้าไปดูเครื่องตัดไฟยามผ่านมาพอดีเลยเข้ามาช่วย พอไฟติดถึงได้เห็นน้องเพี้ยงนอนครางอยู่ในห้องนาย”
“แล้วทำไมไม่โทรบอก พาออกมาเองทำไม แกขี่มอเตอร์ไซค์จะพายายหมาเน่าไปโรงพยาบาลได้ยังไง” พีรวัสถามน้ำเสียงกวนๆ
“เอ้า ก็บอกว่ายามมาพอดี มันจอดรถกระบะอยู่นายไม่เห็นหรือไง ขอเถอะนายอย่าหึงแล้วพาลแบบนี้ ผมกับน้องเพี้ยงไม่มีอะไรกันจริงๆ ตอนบ่ายนะน้องเพี้ยงตั้งใจใช้ทางลัดให้ถึงบ้านเร็วๆ เลยไปโผล่หน้าบ้านผม ผมเห็นฝนตกเลยชวนไปกินข้าวในบ้านพ่อแม่ผมก็อยู่ข้างใน แต่คุณรดามาพอดีแล้วก็อย่างที่นายเห็นนั่นแหละ” วินัยเล่ายาวให้หายแคลงใจตามด้วยถอนหายใจเฮือกใหญ่
“วินัยฉันไม่ใช่พี่รดาไม่ต้องอธิบายละเอียดขนาดนี้ก็ได้” พีรวัสว่าพลางหัวเราะ เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนว่าทำไมเชื่อทุกคำพูดและปลดล็อกความกินแหนงแคลงใจออกจนหมดอย่างง่ายดายขนาดนี้
คำพูดของพีรวัสทำเอาวินัยกับสุภาพลอยหัวเราะไม่ด้วย แต่วินัยยังแอบชายตามองสุภาที่นั่งคู่กับเขาไม่ได้ และเหมือนสุภาก็รู้สึกว่าถูกมองจึงหันมายิ้มแล้วพยักหน้าให้เล็กน้อยเหมือนครอบครัวพีรดายอมรับในความสัมพันธ์ของเขามานานแล้ว คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่ยังปกปิดและสุดท้ายก็สะบั้นความรักของเขาลง วินัยใช้คำว่าความรักของเขาเพราะอาจเป็นเพียงเขาที่รักพีรดาฝ่ายเดียว