บทที่๘ ทางที่ไม่อยากเดิน

1450 Words
บทที่๘ ทางที่ไม่อยากเดิน แสงไฟที่สาดเข้าหน้าพร้อมเสียงบีบแตรดังลั่นทำให้วินัยที่กำลังอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกแต่ร้อนเหมือนถ่านติดไฟดีๆ ก้อนหนึ่งชะงักแล้วถอยตั้งหลักสองสามก้าวและเมื่อรถจอดสนิทใกล้ปลายเท้าอย่างเฉียดฉิวเขาก็เผลอถอนหายใจออกมา ก่อนเดินไปหาทั้งที่เห็นว่าอีกฝ่ายเปิดประตูลงมาหน้าตาขึงขัง พร้อมเงื้อหมัดขึ้นสูงจนต้องตวาดปราม “อย่านะนาย นี่น้องเพี้ยงตัวร้อนเป็นไฟเลย” “อะไรๆ เพี้ยงเป็นอะไร” สุภาที่รีบลงมาจากรถได้ยินเข้าจึงรีบถามกลับ “ไข้ครับ ตัวร้อนนอนเพ้ออยู่ในห้องทำงาน” วินัยบอก จังหวะนั้นยามที่ปิดไฟปิดประตูห้องทำงานพีรวัสเสร็จก็วิ่งออกมา คนมาใหม่จึงเห็นว่าวินัยกับเพียงออไม่ได้อยู่กันตามลำพัง พีรวัสรีบเอามือลงแล้วรับเพียงออมาอุ้มเสียเองพลางสั่ง “แกไปขับรถ” “ครับนาย” วินัยรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องผู้โดยสารตอนหลังให้ แล้วร้องบอกยาม “ปิดประตูให้ดีนะ แล้วฝากรถพี่ด้วย” “ครับหัวหน้า” “ไปเร็วๆ สิวะ” พีรวัสเร่งเพราะคนในอ้อมกอดตัวร้อนเป็นไฟเหมือนวินัยว่าทั้งยังครางฟังไม่ได้ศัพท์ จับใจความได้แต่คำว่าหนาว กลัว ‘กลัวอะไรยายหมาเน่า พี่พีอยู่ตรงนี้แล้ว’เขาพูดในใจแต่จูบหน้าผากหล่อนหนักๆ พีรดากระชากโทรศัพท์จากมือสำลีทันทีที่เด็กสาวนำมายื่นให้แล้วบอกว่าพีรพงศ์โทรมา ก่อนปัดมือไล่ให้ไปห่างๆ แล้วกรอกเสียงแข็งกลับไป “สวัสดีค่ะ มีอะไรหรือคะถึงโทรมาบ้านนี้ได้ ปกติก็ติดต่อแต่กับนังเด็กกำพร้านี่คะ” พีรดายิ้มมุมปากอยากให้ปลายสายเห็นนักจะได้รู้ว่าหล่อนไม่ได้ไยดีเขาอีกต่อไปแล้ว แต่เสียงถามกลับของพีรพงศ์ทำให้รอยยิ้มนั้นหายไปทันที “อยู่กันยังไงเพี้ยงไม่สบายอยู่ที่ออฟฟิศไม่มีใครไปดู นายพีอยู่ไหนบอกให้ไปรับเพี้ยงหน่อย” เสียงห้วนๆ ที่ตอบกลับมาทำใบหน้าพีรดาง้ำลงเรื่อยๆ จนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อพีรพงศ์พูดจบ “พี่พงศ์อยู่เมืองนอกมารู้ดีได้ยังไงว่านังเพี้ยงไม่สบายอยู่ที่ไหน” “รู้เพราะเพี้ยงโทรขอความช่วยเหลือไง คนบ้านนี้ไปไหนกันหมดถึงปล่อยให้เพี้ยงไม่สบายอยู่ที่ออฟฟิศคนเดียว ไปบอกนายพีให้ไปรับเพี้ยงเดี๋ยวนี้ หรือไม่ก็ให้มันมาพูดสายกับพี่” เสียงตอบกลับมากราดเกรี้ยวเช่นกันแต่พีรดาไม่ใส่ใจหล่อนรีบกดวางสายทันทีแล้วเดินไปดึงสายโทรศัพท์ออกจากตัวเครื่อง “ไม่ต้องต่อสายนะเข้าใจไหม” พีรดาร้องสั่งสำลีที่ทำลับๆ ล่อๆ คาดว่าคงแอบฟังอยู่ แต่หล่อนก็ไม่แคร์แล้วเดินขึ้นบันไดไปทันทีไม่นานเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของสุภาก็ดังขึ้น สำลีวิ่งมาจะรับสายแต่พีรดาตวาดลงมาเสียก่อน “ไม่ต้องรับ ใครรับโทรศัพท์ไม่ว่าของใครฉันไล่ออกทันที” พีรพงศ์เดินงุ่นง่านเพราะติดต่อใครไม่ได้อีกแล้วโทรเข้าสำนักงานตอนนี้ก็ไม่มีใครรับสาย แต่เขายังคงกระหน่ำโทรอยู่อย่างนั้นจนโทนี่ต้องเดินมาแตะข้อศอกแล้วจับมือไว้ “ใจเย็นๆ สิครับ น้องสาวของคุณคงปลอดภัยแล้ว” “แต่ตอนที่เพี้ยงโทรมาบอกว่าอยู่คนเดียวเสียงอ่อนแรงมาก ผมเป็นห่วงเกรงว่าจะหมดสติมากกว่าเลยไม่รับสาย” พีรพงศ์บอกสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด โทนี่บีบมือให้กำลังใจแล้วดึงโทรศัพท์ในมือพีรพงศ์ไปโทรให้เอง พลางจูงเขาไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารซึ่งเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ได้ลงมือกิน “คุณกินอาหารก่อน ผมโทรให้เองเผื่อมีคนรับสาย” โทนี่บอกแล้วนั่งลงข้างกันไม่ให้พีรพงศ์ลุกหนีและไม่ยอมรับประทานอาหาร “ขอบคุณครับ ที่บ้านคงไม่มีใครกล้ารับสายหรอกไม่ต้องโทรให้เสียเวลา”พีรพงศ์ว่า “ทำไมละครับ เมื่อสักครู่คุณคุยกับคนที่บ้านไม่ใช่หรือ” โทนี่ถามแปลกใจอยู่ในที พีรพงศ์เงยหน้ามาสบตาสามีหนุ่มแล้วพยักหน้าเบาๆ “เด็กสำลีบอกว่ามีเพียงพีรดาที่อยู่บ้าน เลยให้ผมคุยกับพีรดา แต่พอผมบอกเรื่องเพี้ยงพีรดากลับไม่สนใจแล้ววางสายไป ผมโทรอีกครั้งก็ไม่มีคนรับ โทรเข้ามือถือป้าสุภาก็ไม่มีคนรับ ผมคิดว่าป้าสุภาอาจลืมมือถือไว้ที่บ้าน ส่วนคนงานในบ้านก็ไม่กล้ารับโทรศัพท์ถ้าหากพีรดาสั่งไว้” “ทำไมเธอคนนั้นถึงเกลียดน้องสาวคุณ” โทนี่ถาม วางมือบนไหล่พีรพงศ์แล้วบีบเบาๆ “เขาไม่ได้เกลียดเพี้ยงตั้งแต่แรก แต่พอเขาเกลียดผมเพี้ยงเลยรับเคราะห์ไปด้วย” พีรพงศ์บอกซึ่งโทนี่เข้าใจถึงสาเหตุของการเกลียดนี้อยู่แล้ว “แล้วคุณโทรหาน้องชายหรือยัง” “ยังครับ ขอบคุณมากที่เตือนสติ” พีรพงศ์เอ่ยเริ่มมีรอยยิ้ม แล้วขอโทรศัพท์เคลื่อนที่คืนแต่โทนี่ทำสัญญาณให้รอยามตนเองตั้งใจฟังเสียงปลายสาย ก่อนส่งให้ “น้องชายคุณรับสายแล้ว” “นายพีแกอยู่ไหน” คำแรกที่ถามไปด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “อยู่ในรถกำลังพาเพี้ยงไปโรงพยาบาลครับ พี่พงศ์มีธุระอะไรค่อยคุยได้ไหม” “อ้าว! เจอเพี้ยงแล้วหรือ แล้วเพี้ยงเป็นยังไงบ้าง ไข้สูงไหม” “ทำไมพี่พงศ์พูดเหมือนรู้ละ ไว้คุยทีหลังเถอะผมไม่ว่าง” “เดี๋ยวสิ แกขับรถอยู่หรือ” พีรพงศ์รีบถาม แต่เสียงตอบกลับกลายเป็นเสียงป้าสุภา “ป้าเอง พีมันไม่ได้ขับรถแต่มันอุ้มเพี้ยงอยู่ วินัยขับรถให้ฝนก็ตกไม่ลืมหูลืมตาเลย ที่นั่นเป็นยังไงบ้างตาพงศ์” “ทางนี้โอเคครับ ว่าแต่เพี้ยงเป็นยังไงบ้างครับ ตอนโทรมาหาผมเสียงสั่นบอกว่าหนาวสงสัยเป็นไข้ ผมเป็นห่วงมากโทรไปที่บ้านรดาก็วางสายใส่ โทรเข้ามือถือป้าก็ไม่มีคนรับ” “อะไรนะ เพี้ยงโทรหาเราหรือโทรตอนไหนแล้วทำไมไม่โทรไปที่บ้าน” “เพี้ยงบอกว่ามีเรื่องทะเลาะกันนิดหน่อยแล้วเพี้ยงลืมกระเป๋าไว้ในรถ จำเบอร์คนอื่นไม่ได้นอกจากเบอร์ผม” “เออหนอ เบอร์คนใกล้ๆ มันจำไม่ได้จำได้แต่เบอร์แกตัวเลขตั้งเยอะแยะแต่จำได้” น้ำเสียงเอ็นดูของสุภาที่ได้ยินทำให้พีรพงศ์มีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง เช่นเดียวกับโทนี่ที่เห็นเขายิ้มก็ยิ้มตาม “ไม่ใช่ครับป้าคือสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ที่ออฟฟิศมีเบอร์ที่ผมจดไว้ให้นายพีจะโทรปรึกษาเรื่องงานนะครับไม่ใช่ว่าเพี้ยงจำได้เอง” เขารีบแก้ต่างให้เด็กสาวแล้วถามต่อ “แล้วตอนนี้เพี้ยงเป็นยังไงครับ” “มันไข้สูงจนไม่ได้สติแล้ว โชคดีที่วินัยมาดูไฟเจอเข้าพอดี ไม่อย่างนั้นตาพีกับป้าก็คงยังขับรถวนหากันอยู่” “แสดงว่าทะเลาะกันจริงๆ สิครับนี่” “ก็มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ต่างก็ใจร้อนแยกย้ายกันไปคนละทางทั้งที่ฝนตก เลยได้ไข้มานี่ไง ไม่ต้องห่วงนะพงศ์ใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้วลูก” “ขอบคุณครับป้า ฝากเพี้ยงด้วยนะครับ” “จ้า แค่นี้นะ อยู่ทางนั้นดูแลตัวเองดีๆ เจ็บไข้ก็รีบไปหาหมอหาหยูกหายากินนะลูก” “ครับ ป้าก็ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ ไว้ผมจะโทรไปใหม่ สวัสดีครับ” พีรพงศ์วางสายแล้วหันไปสบตากับคู่ชีวิต ก่อนยิ้มให้แล้วดึงเขามากอด “เพี้ยงอยู่กับนายพีกับป้าสุภาแล้ว พวกเขากำลังพาไปหาหมอ หายห่วงได้ครับ”พีรพงศ์ว่าแล้วดันตัวออกห่าง โทนี่เชยคางแล้วสบตาก่อนพูด “แต่ท่าทางคุณยังห่วงอยู่นะ หน้านิ่วอยู่เลย” นิ้วมือขาวอมชมพูของฝรั่งหนุ่มไล้แนวแก้มคู่ชีวิตก่อนก้มลงจูบเบาๆ แล้วบอก “รับประทานอาหารเถอะครับ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD