ผมมองไปที่ควายครับ เบื้องหน้าของผมที่เวลานี้มีไม่ต่ำกว่าห้าร้อยตัว ที่อยู่บนอาณาจักรของบ้านผม เจ้าของคือ คุณย่าของผมเอง คือ แม่ใหญ่ที่ทุกคนรู้จักและเรียกท่าน คุณย่าหรือแม่ใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลของที่นี่ นางเก่งกาจและแข็งแกร่ง ไม่แพ้ชายอกสามศอกเลยทีเดียว คุณปู่ของผมเสียไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
คุณย่ามุ่งมั่นสนใจแต่ทำกิจการของตัวเอง จนไม่มีเวลาสนใจเพศตรงข้ามอีกและท่านเลี้ยงดูลูกทุกคนให้เติบโตและมีอนาคตเป็นคนดี
ผมเป็นหลานของย่า คนเดียว ที่เกิดจากลูกชายคนโต คือพ่อของผม ส่วนที่เหลือคือหลานๆที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผม
ควายที่เห็นคือทั้งตัวผู้ตัวเมียอาณาจักรใหญ่กว้างขวางที่ล้อมรั้วลวดหนาม นั้นมีทุ่งหญ้าให้ควายเหล่านี้และเล็ม และหญ้าที่ปลูกนอกจากเป็นหญ้าธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองแล้ว
ยังมีหญ้าที่ปลูกคือเนเปียร์ เพราะจำนวนควายเยอะแยะมหาศาลอย่างนี้ ส่วนหนึ่งคือต้องจ้างคนเลี้ยง คือปล่อยไปตามทุ่งเหมือนควายของครอบครัวอื่น
ในหน้าแล้งจะไม่เป็นไรเพราะไม่มีพืชผลเสียหาย แต่ถ้าหน้าฝนต้องนำมากักรวมกันที่นี่ เพราะหากปล่อยไปไปกินพืชพรรณการเกษตรของชาวบ้าน จะมีเรื่องฟ้องร้องถึงขนาดเจ้าของไร่เจ้าของนาเอาเรื่องเลยทีเดียว คุณย่าท่านเคยเจอมาแล้ว เรื่องฟ้องร้องกัน เลยไกล่เกลี่ยยอมความและคุณย่าของผมยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ นั่นคือบทเรียนที่แสนเข็ด
"ลัค" เสียงเรียกผมจากใต้ถุนเรือน ทำให้ผมต้องรีบลงมาจากบ้าน บ้านของผมนั้นคือเกษตรกรเช่นเดียวกับคุณย่า แต่ผมมีสำนักงานอยู่ที่ตัวจังหวัดด้วย คือผมเป็นทนายความเรียนจบทางด้านนิติศาสตร์และจบทางด้านเกษตรด้วยเช่นกัน ปริญญาตรีสองใบ
ส่วนทนายนั้นผมเป็นเนติบัณฑิต ได้ตั๋วทนายมาพร้อมเสร็จสรรพรับว่าความทั่วราชอาณาจักรครับ งานของผมจึงมีมากวุ่นวายและมีมาตลอด
คุณย่าถือซองใส่เอกสารแบบเก่าคร่ำคร่าแต่ที่ใส่ใหม่เป็นถุงขนาดใหญ่ หนาใส ยื่นมาให้ผม
"ช่วยอ่านสัญญาพวกนี้ให้แม่ใหญ่ฟังหน่อยสิ ลัค" ผมรับมาอ่านแล้วพิจารณาตาม
สัญญากับนายแผน ชื่อนี้ผมรู้สึกคุ้น เมื่ออ่านเรื่องคร่าวๆพิจารณาในการลงชื่อ หลังจากทำสัญญาไว้แล้วนั้นเ หตุการณ์ที่ผ่านไปนานเกือบสี่สิบปี สัญญาระบุไว้ว่านายแผนยืมเงินจากข้าพเจ้า คือผู้เป็นย่าของผมนั้น ประมาณ ล้านสองในเวลานั้น ใช้ทั้งเป็นทุนการศึกษาและทำธุรกิจ
"นายแผน" ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่ใหญ่เมื่อนึกถึงชื่อนี้
"ลูกบุญธรรมของแม่ใหญ่เอง"
คุณย่าบางครั้งท่านไม่ชอบเรียกแทนตัวเองว่าย่า มักจะเรียกตัวเองว่าแม่ใหญ่ เพราะท่านเป็นพี่สาวคนโตของตระกูลยังจะมีน้องสาวที่คลานตามกันมาวัยไล่เลี่ยกันอีกสองคน แต่ตอนนี้อยู่กันคนละบ้าน เพราะไปแต่งงานมีครอบครัว ได้ดีมั่งมีอยู่ในถิ่นอื่น แต่ไม่ไกลจากหมู่บ้านสักเท่าใด
เรียกว่า คนละอำเภอ จังหวัดเดียวกัน แต่ห่างไกลกัน ประมาณสี่สิบกิโล ถึงห้าสิบกิโล น้องสาวของคุณย่า ที่ผมเคยได้ทราบข่าวจากทางคุณพ่อและคุณย่าเอง ชื่อว่า ย่าเผียน หรือแม่กลาง กับ ย่า เพา หรือแม่เล็ก ซึ่งไม่ค่อยได้พบปะกันนัก คืออยู่ไกล และต่างต้องทำมาหากิน ย่าเล็กคนสุดท้องไปมีครอบครัว คือ ปู่เป็นคนรกรากแถวชายแดนติดภูเขาพนมดงรัก แถวกาบเชิง
"เขาติดหนี้ย่าตั้งนานแล้วนะ ลัค มันผ่านไปถึงสามสิบเก้าจวนจะสี่สิบปีแล้ว ที่แม่ใหญ่เลี้ยงเด็กคนนี้มาตั้งแต่เกิด ตอนนี้เขาใหญ่โตได้ดิบได้ดี เป็นถึงรัฐมนตรีชื่อดังของประเทศ แต่ทำไมลืมชดใช้หนี้ย่าก็ไม่รู้ แม่ใหญ่เลยอยากให้ ลัคช่วยจัดการ"
บางทีคุณย่าก็เผลอติดปากเรียกตัวเองทั้งย่าหรือแม่ใหญ่กับหลานชายคนนี้
ลัคสิทธิ์พยักหน้าเข้าใจเขาเพิ่งเรียนจบและทำงานปัจจุบันอายุ ยี่สิบห้าปี ในวัยเบญจเพสพอดี และถือว่าเขาเป็นทนายความที่อายุน้อยมาก เรียนจบครบตามเกณฑ์และได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากคณะนิติศาสตร์จากรั้วพ่อขุ่น และได้อันดับสองจากมอเกษตร เมื่อสามปีที่แล้วมีการรับปริญญาที่กรุงเทพฯ ย่าหรือแม่ใหญ่นั้นขนญาติเกือบทุกคนขึ้นรถตู้ของบ้าน ให้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ นั่นคือดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกของย่าที่เข้ามาในกรุงเทพฯ
ผมขมวดคิ้วตามอีกครั้ง
"ติดหนี้แม่ใหญ่หรือครับ เงินจำนวนไม่น้อยเลยนะครับ ตั้งสองล้านกว่า นี่แม่ใหญ่ให้เขาไปทำไม ถึงกล้าให้ขนาดนั้นครับ" ผมเป็นหลานแต่ก็ถามเพราะอยากรู้ความจริงจากปากย่า หรือแม่ใหญ่
"ก็เค้ามาขอ อ้อนวอนตอนนั้น เรียนหนังสือด้วย แล้วย่าก็สงสาร เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยเป็นญาติห่างๆ พ่อแม่เขาตายหมด ก็เลยอดสงเคราะห์ไม่ได้" นางพูดไปอย่างนั้นเมื่อรำลึกถึงอดีตที่เคยเลี้ยงดูนายแผนในฐานะนางเป็นแม่ นายแผนเป็นบุตรบุญธรรม ที่ไปรับตัวมาจากหลวงอา ที่ดูแลเด็กคนนั้นตั้งแต่ทราบว่าพ่อแม่ของเด็กตายด้วยพิษไข้ป่าทั้งสองคน หลวงอาเป็นอาแท้ๆของแม่ใหญ๋
"คุณย่าจะเอาเรื่องมั้ยครับ" ผมถามคุณย่าให้แน่ใจ
"ลัค คนเป็นลูกน่ะ แม่น่ะอยากได้เงินจากลูกเหรอ แต่มันนานแล้วล่ะ นานเกิน จนเหมือนกับว่าแผนมันลืมหมดแล้ว ลืมทั้งบ้านช่อง ลืมแม่ ลืมว่าตัวเป็นใครมาเติบโตอยู่ที่นี่แล้วลืมถิ่นฐานจนไม่เคยกลับบ้านช่อง"
"แม่ใหญ่ครับผมคิดว่า เขาจงใจหนีหนี้ของแม่ใหญ่หรือเปล่า" ผมถามท่านอีก
"อาจจะเป็นไปได้นะลัด แม่ใหญ่คิดอย่างนั้น"
"งั้นเราต้องจัดการตลบหลังเอาเขาให้เด็ดขาด ในฐานะที่เป็นลูกหนี้แล้วลืมจ่าย" ผมตอบแทน ท่านขมวดคิ้วถามผม
"แล้วจะเอายังไงล่ะ อย่ารุนแรงไปนะลูก นั่นก็เป็นคนที่ย่าเลี้ยงเองมากับมือเหมือนกัน"
คุณย่ายังเห็นใจและใจอ่อนเหมือนเดิม ถึงจะเกลียดสุดท้ายอดไม่ได้ที่จะปราณีและรัก เนื่องจากเคยเลี้ยงดูมา
ผมนิ่งคิดจะเอากับคุณย่ายังไงดี ปกติท่านไม่ใช่คนใจอ่อน
"คุณย่าจะใจอ่อนไม่ได้ คุณย่าต้องทำตามความจริง ให้กฎหมายเล่นงานเขา"
"เขาใหญ่โตถึงขนาดเป็นรัฐมนตรีเลยนะเดี๋ยวนี้" คุณย่าเอ่ยอีก
"เป็นรัฐมนตรีนั่นสิครับดี ฟ้องง่ายมีชื่อเสียง ถ้าเขาไม่จัดการคืนให้คุณย่า ครบทุกบาททุกสตางค์"
ผมพูดในลักษณะนักกฏหมายพูด
"แต่ย่าก็๋พอได้ข่าวเหมือนมีญาติสักคนแถวกรุงเทพบอกว่า ฐานะการเงินเขาไม่ค่อยดีนัก มีลูกสาวสองคนกำลังกินกำลังใช้เรียนหนังสือ" ผมว่าคุณย่าหรือแม่ใหญ่เริ่มใจอ่อนแล้วเมื่อพูดแบบนี้
"สรุปแล้ว คุณย่าจะให้ลัคทำยังไง"
"เอาเรื่องกับเขาก็ได้ ให้เขาชดใช้หนี้มา ดอกเบี้ยย่าไม่คิด แต่อย่าใช่วิธีรุนแรงนะลูก"
ผมถอนหายใจอีกครั้ง นี่คุณย่าใจอ่อนมากมายเลย ไม่สมกับเป็นผู้หญิงแกร่งของที่นี่ที่ทรหดอดทนทุกอย่าง แต่กับนายแผนคนที่ติดหนี้แล้วไม่ยอมใช้คุณย่านี่ ท่านกลับเห็นใจ สงสารและใจอ่อน
"คุณย่าเอ้อ แม่ใหญ่จะให้ผมทำยังไงครับ เอาแบบสรุปและตอนนี้คุณย่าต้องการให้ผมจัดการแบบไหน"
"ไม่ต้องถึงกับฟ้องร้องเขา เรียกให้เขามาเจรจาเรื่องนี้ น่าจะพอมีทางออกได้"
คุณมธุรส แม่ใหญ่ของบ้านบอกหลานชายคนเดียว
"งั้นคือให้ลัคดำเนินเรื่องด้วยการส่งจดหมายไปถึงบ้านเขา"
"ใช่ ที่อยู่มี แต่โทร.ไม่ค่อยรับดูเหมือนเขาจะมีกิจการงานยุ่งมากกว่า"
"กิจการยุ่งหรือว่าจงใจเลี่ยงหนีเจ้าหนี้กันครับ"ผมตอบคุณย่า