บ่าวมารายงานว่าองค์ชายห้าเสด็จมา ซ่งซยาอวิ๋นก็ดีใจมาก เขาคงคิดถึงนางจนทนไม่ไหวกระมัง ซ่งซยาอวิ๋นเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดสีขาว แซมลายดอกไม้เล็กๆ ที่ชายกระโปรง ยามเยื้องกายงามมากนัก เสมือนดอกไม้มีชีวิต หากท่านแม่รู้ว่านางไปซื้อชุดจากร้าน ของเถ้าแก่ฟ่านคู่แข่งของมารดานางๆเอาตายแน่ๆ
ร่างบางเดินเยื้องกายเบาๆ ราวกับว่าหากเดินเร็วไปแข้งขาข้อต่อจะหลุดออกจากกัน เมื่อมาถึงก็ยอบกายทำความเคารพคนตรงหน้า
“อวิ๋นเอ๋อร์ถวายพระพรองค์ชายห้าเพคะ มิทราบว่าลมอันใดทรงพัดพาองค์ชายมาถึงนี่”
เว่ยหย่งหมิงหันกลับมามองสตรีตรงหน้า นางงามอยู่หรอก แต่ไร้เสน่ดูแล้วจืดชืด กิริยาที่แสดงออกมาเหมือนเหล่าสตรีในหอคณกาที่พยายามยั่วยวนเขา เว่ยหยางหมิงยอมแต่งนางเป็นชายารองเพราะหน้าตาที่สวยที่สุดในเมืองหลวงของนางนี่แหละ เสียดายนางงามไม่ได้ครึ่งหนึ่งของซ่งจื่อเหยียน
“คุณหนูรอง ที่ข้ามาวันนี้มิได้มารำพึงรำพันถึงความเสน่หาอันใด มีคนแอบอ้างชื่อน้องชายเจ้า ขโมยหยกเสด็จอาไปจำนำที่บ่อนของข้า เจ้าก็รู้ข้าเปิดบ่อนพนัน คนผู้นั้นกู้เงินข้าไปสองแสนตำลึง ทางจวนซ่งจะชดใช้อย่างไร”
ซ่งซยาอวิ๋นถึงกับหน้าซีด น้องชายนางอายุเจ็ดขวบ จะไปบ่อนไนด้อย่างไรกัน สองแสนตำลึงเชียวหรือ นี่มันๆ
“องค์ชาย ทรงมีเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่เพคะ เหยียนจื่อเพียงเจ็ดขวบ จะไปที่แบบนั้นได้อย่างไร อีกอย่างเขาเพิ่งจะเรียนหนังสือ จะรู้จักเรื่องการกู้เงินอย่างไรกันเพคะ ต้องมีคนคิดทำลายสกุลซ่งของหม่อมฉันแน่ๆ”
“แปลว่าพวกเจ้ามีศัตรูงั้นหรือ”
“หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ แต่อาจจะมีคนกลั่นแกล้งก็ได้”
“อ้อ..มีคนแอบอ้างชื่อน้องชายเจ้าไปกู้เงินที่บ่อนพนันของข้าสองแสนตำลึง ทางสกุลซ่งจะชดใช้เช่นไร คุรหนูรองเจ้าลองว่ามาสิ”
“ชะ ชดใช้หรือเพคะ เงินเยอะเพียงนั้นหม่อมฉันขอปรึกษาท่านแม่กับท่านพ่อก่อนได้หรือไม่เพคะ”
“มิต้องหรอกคุณหนูรอง เอาเช่นนี้เถอะ สินสอดเจ้าคืนข้ามางานแต่งเจ้าจะแต่งต่อหรือยกเลิกดีแล้วแต่เจ้าข้าไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว แต่สองแสนตำลึงข้าต้องได้คืน”
“องค์ชายจะทรงเรียกสินสอดคืนหรือเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันจะทำเช่นไร พรุ่งนี้ก็จะแต่งแล้ว”
“นั่นเป็นปัญหาของเจ้า หากหาเงินมาคืนข้าสองแสนห้าได้เรื่องนี้จบลงที่เจ้าแต่งเข้าจวนข้า”
ซ่งซยาอวิ๋นถึงกับเข่าทรุด เว่ยหยางหมิงจากไปแล้ว หากไม่คืนสินสอดก็ต้องหาเงินมาใช้หนี้เขา ทำอย่างไรดี นางจะทำอย่างไร ซ่งซยาอวิ๋นรีบไปหามารดาทันทีเพื่อขอเงินไปคืนองค์ชายห้า นางไม่แต่งงานไม่ได้นะ ทุกคนทั้งเมืองหลวงรู้แล้วว่าพรุ่งนี้นางจะขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปจวนองค์ชาย
“ท่านแม่ๆ เจ้าคะ ท่านแม่ช่วยลูกด้วยฮือๆๆๆๆ”
จูอี้จินเห็นบุตรสาวร้องห่มร้องไห้มาหาก็ตกใจ นางวางผ้าในมือทันที กำลังเลือกแบบผ้าที่จะออกใหม่ ไม่รู้ว่าฟ่านหลินไปหาคนออกแบบมาจากที่ไหน เพียงสามเดือนทำยอดขายร้านนางตกลงมาเหลือยอดขายไม่ถึงสามหมื่นตำลึง ซ่งซยาอวิ๋นร้องไห้กอดมารดาแน่น
“มีอะไรกันอวิ๋นเอ๋อร์ ใครทำอันใดเจ้ากัน ร้องไห้ทำไม พรุ่งนี้จะเป็นพระชายาแล้วลูกควรนั่งอย่ในห้องรอเกี้ยวจวนองค์ชายมารับมิใช่หรือ”
“ฮือๆๆ ...ท่านแม่มีคนใส่ร้ายพวกเรา เขาอ้างชื่อเหยียนจื่อไปเล่นพนันที่บ่อนองค์ชายเจ้าค่ะ อีกทั้งยังกู้เงินไปสองแสนตำลึง องค์ชายบอกว่าหากไม่คืนพระองค์สองแสนห้าหมื่นตำลึง จะทรงเรียกสินสอดคืนเจ้าค่ะฮือๆๆๆ”
“อะไรนะ!!? เรียกสินสอดคืน ทรงหมายความว่าอย่างไรกัน สินสอดส่งมาแล้วเรียกคืน หึมิใช่การค้าขาดทุนหรือฝ่าบาทจับได้ว่าเปิดบ่อนหรอกหรือจึงได้มาหาเราเพื่อไปเติมถุงเงินตนเอง ไม่แต่งก็ไม่แต่งสิ”
“ท่านแม่ แต่ลูกรักองค์ชายนะเพคะ ท่านย่าๆ เจ้าขาท่านย่าอยู่ที่ไหนช่วยอวิ๋นเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ ฮือๆๆๆ”
ซ่งซยาอวิ๋นเรียกหาท่านย่าของตนทันที ท่านย่าตามใจนางมากนัก เมื่อได้ยินเสียงหลานสาวไท่ฮูหยินก็มาทันที ซ่งซยาอวิ๋นกอดหญิงชราเอาแต่ร้องไห้ จนนางต้องหันไปถามสะใภ้
“ลูกสะใภ้เกิดอะไรขึ้นกับอวิ๋นเอ๋อร์ วันพรุ่งนี้เกี้ยวจะมารับแล้ว เหตุใดปล่อยให้ร้องจนตาบวมเช่นนี้กัน”
แม่สามีคาดคั้นจนจูอี้จินถอนหายใจก่อนจะเอ่ยปากเล่าเรื่องทั้งหมด
“เรื่องก็เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะท่านแม่ เงินสองแสนห้ามิใช่น้อยๆ เหยียนจื่อเพิ่งจะเจ็ดขวบจะไปบ่อนได้อย่างไร อีกอย่างคนนอกไม่ค่อยรู้จักลูกเหยียน มีคนปลอมเป็นเขา คนอื่นไม่รู้แต่องค์ชายห้าจะไม่รู้ได้หรือเจ้าคะ”
“เฮ้อ..สกุลซ่งเราจะไปมีศัตรูที่ไหนกันเล่า”
“ฮึกๆๆ ท่านย่าหรือเป็นนางแพศยาซ่งจื่อเหยียนเจ้าคะ”
“เหลวไหลน่า ลูกสาวนังหญิงชั่วนั่นถูกชินอ๋องไล่ไปจวนร้างป่านนี้ตายคาจวนไปแล้วกระมัง ครั้งที่นางถูกไล่ไปใหม่ๆ เราไปมาครั้งหนึ่งจำไม่ได้หรือ นางเดินไหวที่ไหนนอนเหมือนคนใกล้คายอยู่บนเตียง”
“ถ้าเช่นนั้นต้องถามบิดาเจ้าว่าไปสร้างศัตรูที่ไหนมาหรือไม่”
“ท่านย่า ท่านจ่ายให้องค์ชายไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ หากคืนสินสอด ต่อให้แต่งเข้าไปจะไม่ถูกบรรดาชายาด้วยกันกับอนุเยาะเย้ยทุกวันหรือเจ้าคะ ฮือๆๆ”
ไท่ฮูหยินจำต้องยอมจ่ายไปก่อน สองแสนห้าหมื่นตำลึง หึ สินสอดที่จ่ายมาไม่ถึงแปดหมื่นตำลึงด้วยซ้ำ เว่ยหยางหมิงคนนี้ช่างน่านัก หากไม่ติดว่าเป็นองค์ชายนางไม่อ่อนข้อให้หรอก
ในที่สุดทางจวนซ่งก็เสียเงินสองแสนห้าหมื่นตำลึงให้กับองค์ชายห้า เพื่อที่งานแต่งงานจะยังคงดำเนินต่อไป
************
ทางด้านเว่ยเซียวหยางให้คนกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกรอบ ถามหาบุรุษหนุ่มลักษณะเช่นนี้ ลุงหูรู้ดีว่าหมายถึงอาซ้อซ่งแต่เขาไม่เอ่ยออกไป แต่กลับบอกอีกอย่าง
“ท่านเจ้าหน้าที่บุรุษที่ท่านตาหาเขามาที่นี่เพื่อพาบิดามาพัก ทุกๆ สามเดือนจะพาบิดามาหาหมอที่หมู่บ้านถัดไป และจะมาเช่าห้องบ้านข้าทุกครั้ง เมื่อวานเขาเอาผักที่ปลูกเองไปส่งเพื่อหาค่ายาให้บิดา เมื่อได้ยาก็พากันกลับไปแล้วขอรับ”
เหวินเปียวกับเหวินชางพากันกลับไป ทั้งคู่ควบม้าผ่านจวนร้าง เหวินเปียวเห็นเย่วเล่อที่เปิดประตูจวนออกมาก็กระตุกม้าไปใกล้ๆ ก่อนจะเตะที่ท้องมันจนม้าตกใจ ตะกายขาหน้าห่างนางเพียงหนึ่งจั้งเท่านั้น
เย่วเล่อตกใจตะกร้าหลุดมือทันที นางลงไปนั่งก้นกระแทกก่อนจะเงยหน้า เหวินเปียวหัวเราะอยู่บนหลังม้า ทันทีที่เย่วเล่อเห็นหน้าเขานางคว้าก้อนหินได้ก็ขว้างใส่ก้นม้าทันที ม้าตกใจดีดไปมาจนเหวินเปียวเกือบจะตกจากหลังมัน ดีที่เขามีความสามารถในการปราบม้าพยศ ทันทีที่อาชาคู่ใจสงบเขาก็ลงมากระชากแขนเย่วเล่อทันที
“เจ้าทำอันใด นี่เป็นม้าศึก กล้าดีอย่างไรทำร้ายมัน”
“ม้าศึกหรือ รับใช้สุนัขเช่นเจ้าน่าเสียดายจริงๆ”
“จางเย่วเล่อเจ้าพูดใหม่สิ”
เหวินชางขยับม้ามาใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ย
“อาเปียวพอแล้ว เป็นเจ้าหาเรื่องนางก่อนนะ”
“เป็นพวกนางต่างหาก ท่านอ๋องต้องมาเสียชื่อเสียงเพราะคุณหนูผู้หวังสูงของนาง”
เพียะๆๆๆ!!เย่วเล่อตบหน้าของเหวินเปี่ยวติดๆ กันหลายทีจนมือตัวเองแดง ก่อนจะเดินเข้าจวนปิดประตูใส่หน้า เหวินเปียวที่ถูกตบก็จะเข้าไปเอาคืนแต่พี่ชายขวางไว้ก่อน
“เจ้าเป็นคนก่อเรื่องนะ นางอยู่ดีๆ แค่เจ้าควบม้าผ่านไปก็จบแล้ว กลับได้แล้วท่านอ๋องรออยู่”
เหวินเปียวจับใบหน้าข้างที่ถูกตบก่อนจะเอ่นลอดไรฟัน
“ฝากไว้ก่อนเถอะจางเย่วเล่อ”
จากนั้นก็ควบม้าออกไป เหวินชางที่กำลังจะไปก็เห็นสตรีอีกคนที่เพิ่งเดินมาจากทางชายป่า บนหลังมีตะกร้าสะพายอยู่ ดูเหมือนจะเป็นรวงข้าวของชาวบ้านที่เกี่ยวแล้วตกหล่น นางดูน่ารักมากนักเด็กบ้านไหนกัน หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักเหลือเกิน
เย่วหลีที่เห็นมีคนขี่ม้าขวางประตูจวนก็ยืนมองก่อนจะเอ่ยถาม
“คุณชายท่านนี้ ท่านผ่านทางมาหรือเจ้าคะ”
“อะ อ้อใช่แล้วแม่นางพักที่นี่หรือ”
เย่วหลีแม้จะเด็กแต่ก็รู้อะไรควรพูดไม่ควรพูด
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้ามาหารวงข้าวไปเลี้ยงไก่ ที่จวนร้างแห่งนี่ต้นไม้เยอะดีอยากนั่งพักสักหน่อย”
“อ้อ..นอกจากบ้านท่านป้าหูคนนั้นยังมีบ้านชาวบ้านอีกหรือ”
“ท่านรู้จักท่านย่าของข้าด้วยหรือเจ้าคะ”
เย่วหลีสมอ้างเป็นคนของบ้านหูไปเลย เหวินชางจึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางอยู่แถวนี้ ก่อนจะกระตุกบังเ**ยนเดินขึ้นหน้าแล้วเอ่ยกับนาง
“ไว้เราคงได้เจอกันบ่อยนะแม่นางน้อย ข้าชื่อเหวินชาง”
“ข้าชื่ออาเย่วเจ้าค่ะ หลี่อาเย่ว”
เหวินชางพยักหน้าก่อนจะรีบควบม้ากลับไปรายงาน เย่วหลีรอจนกระทั่งไม่เห็นร่างเขาแล้วจึงได้เปิดประตูเข้าจวน