“ฉานเอ๋อตื่นแล้วหรือ เจ้าไม่เป็นอะไรมากใช่หรือไม่” สายตาของผู้เป็นพี่ชายคลายความกังวลลงไปในทันทีที่เห็นว่าน้องสาวรู้สึกตัว หลิวฝานคนนี้ก็ยังคงตามไม่ทันน้องสาวต่างสายเลือดเหมือนอย่างเคย
คนที่แกล้งเป็นลมรู้สึกละอายใจที่หลอกลวงคนนิสัยดีอย่างหลิวฝาน “ข้าขออภัยพี่ใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ” หลิวยุ่นฉานย่นจมูกและสบตามองพี่ชาย
สตรีลงมายืนด้วยตัวเองแล้วหันไปยอบตัวลงเพื่อทำความเคารพองค์รัชทายาทแต่เมื่อนางช้อนนัยน์ตาหงส์ขึ้นมองก็ต้องตกใจจนหน้าซีดไร้สี พลันสมองก็ปรากฏภาพก่อนตายเมื่อชาติก่อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลี่ซู่เฟิงคนนั้นตอนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าราวกับภาพฝัน หัวใจของสตรีโฉมสะคราญเต้นแรงแทบหลุดออกมาจากอก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ทว่าความรู้สึกนั้นไม่ใช่ทั้งความหวาดกลัวไม่ใช่ทั้งความสุขสมหวัง และไม่ใช่ทั้งความอาลัยอาวรณ์โหยหา หากแต่เป็นความว่างเปล่าที่รู้สึกติดค้างในใจอย่างหนึ่งที่สลัดไม่ออกไปจากความคิดและจิตใจ
“ฉานเอ๋อ...เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” หลิวฝานเห็นน้องสาวทำสีหน้าไม่ดีจึงรีบสะกิดชายแขนเสื้อเพื่อสอบถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ” สตรีหันไปยิ้มตอบพี่ชายด้วยท่าทางเป็นกันเอง แต่พอหันกลับมาสบตามององค์รัชทายาท นางหุบยิ้มลงเสียอย่างนั้นและดึงสายตากลับมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย
รัชทายาทเห็นคุณหนูใหญ่ผิดปกติ เพราะนางทำหน้าเหมือนเคยเจอกับเขามาก่อนทั้งที่เป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน
“นางคือฉานเอ๋อที่เจ้าพูดถึงบ่อย ๆ ใช่หรือไม่” หลี่ซู่เฟิงสอบถามหลิวฝานแก้เก้อ
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” แต่ก่อนที่หลิวฝานจะแนะนำให้องค์รัชทายาทและน้องสาวรู้จักสนิทสนมกัน คนที่รู้สึกว่าตนเป็นส่วนเกินก็เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า
“...หม่อมฉันต้องขอตัวก่อนเพคะ” แล้วก็รีบเดินกลับไปยังเรือนหลักพร้อมอาอิ๋งที่รีบเดินตามไปด้วยสีหน้างุนงง
ราวกับวิ่งหนีความเจ็บปวดที่ฝังอยู่ในใจมาช้านาน ไม่น่าเชื่อว่าหลายสิ่งหลายอย่างติดตามมาหลอกหลอนไม่จบสิ้น ตั้งแต่ที่เจอหน้าซ่งหยวนก็รู้สึกขยะแขยงมากพออยู่แล้ว มิหนำซ้ำตอนนี้ยังมาเจอกับคนที่ติดอยู่ในสายตาก่อนตายอีก หลิวยุ่นฉานจึงรู้สึกสับสนมาก ตอนนี้นางต้องการตั้งสติเพราะรู้ว่าหลี่ซู่เฟิงไม่เคยชอบหรือใส่ใจกันเท่าไรนัก
“คุณหนูเจ้าคะ” อาอิ๋งที่รับรู้แล้วว่าคุณหนูใหญ่เปลี่ยนไปมากจึงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
หลิวยุ่นฉานหยุดเดินแล้วหันหน้าเข้าหากำแพงเรือน ใช้มือทุบไปที่กำแพงนั้นโดยไม่กลัวความเจ็บปวดสักนิดเหมือนว่าเจ็บใจที่หนีชีวิตอัปยศไม่พ้น เมื่อตั้งสติได้ก็หันหน้ามามองสาวใช้ข้างกาย
“เจ้าว่าข้าชีวิตอาภัพไหม เคยมีคนรักแต่ถูกหักหลังใส่ร้าย คนที่เคยรักกลับไม่ได้รัก” สตรีพูดออกมาด้วยแววตาเลื่อนลอย อาอิ๋งส่ายหน้าไม่เข้าใจรีบมาประคองตัวคุณหนูที่ดูผิดปกติตั้งแต่ตื่นนอนมาแล้ว
“คุณหนูอย่าทำร้ายตัวเองเลยนะเจ้าคะ” อาอิ๋งลูบที่มือเรียวสวยนั้น แม้ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่คุณหนูพูดแต่รับรู้ได้ว่านางกำลังทุกข์ใจ
หลิวยุ่นฉานเงยหน้าไล่น้ำตาที่ทำท่าจะรินไหลออกมาจากหางตาให้กลับคืนไป ฉันจะอ่อนแอไม่ได้ ต้องเข้มแข็งเท่านั้นถึงจะอยู่อย่างมีความสุขได้
“ข้าจะไม่ทำร้ายตัวเองอีก พวกเรากลับกันเถอะ” หลิวยุ่นฉานพาบ่าวรับใช้กลับเรือนลี่หมิงไปตามปกติ ส่วนสายตาที่สอดส่องอยู่ในที่ที่ไม่ห่างไกลเมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วก็ไม่ได้เอ่ยคำใด ทำเพียงหมุนเท้ามุ่งหน้ากลับไปยังเรือนคุณธรรม
ณ เรือนลู่จื้อ ซึ่งเป็นที่พำนักของคุณชายใหญ่แห่งจวนเสนาบดี สองบุรุษนั่งหลังตรงและถูกคั่นกลางด้วยกระดานหมากไม้เนื้อดีที่เพิ่งได้มาจากท่านราชครูที่มอบให้เนื่องในวันเกิดปีที่ยี่สิบเอ็ด
“เจ้าไม่มีสมาธินะ” เป็นรัชทายาทที่ตำหนิสหายร่วมเรียน
หลิวฝานส่งยิ้มเจื่อน ๆ ไปให้หลี่ซู่เฟิง
“น้องสาวหม่อมฉันปกติร่าเริงมากกว่านี้ อาจเป็นเพราะคนแซ่ซ่งคนนั้นแน่ ๆ ที่ทำให้นางดูแปลกไป” หลิวฝานแววตาแข็งกร้าวขึ้น
หลี่ซู่เฟิงวางหมากตัวสุดท้ายเพื่อจบเกมก็เหลือบตามองสหายที่ไม่มีสมาธิเล่นหมากกระดานนี้ด้วยกันสักเท่าไร “ข้าคิดว่าน้องสาวเจ้าไม่ชอบที่ต้องอภิเษกสมรสกับข้าต่างหาก”
แม้เรื่องนี้จะมีความจริงปะปนถึงแปดส่วนแต่หลิวฝานก็ไม่อาจเห็นด้วยกับคำพูดของรัชทายาท “ไม่ใช่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ฉานเอ๋อไม่ได้เต็มใจหมั้นหมายกับซ่งหยวน เป็นเพราะท่านแม่ของข้าเลอะเลือน โชคดีแล้วที่ตอนนี้น้องสาวกระหม่อมจะได้องค์ชายดูแล”
หลี่ซู่เฟิงยกมุมปากยิ้ม “ข้าหรือจะดูแลนางได้”
“ได้สิพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้กระหม่อมต้องขอร้ององค์ชายแล้ว” หลิวฝานรีบลุกขึ้นจากที่นั่งมายืนค้อมศีรษะต่อหน้าองค์รัชทายาท
“หลิวฝาน เจ้าคิดบีบบังคับข้าหรือ” บุรุษองอาจปรายตามองแต่ไม่ได้จริงจังเท่าไรนัก
“มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ” หลิวฝานก้มหน้าลงมองพื้น
“พอเถิด ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับตำหนักแล้ว” แน่นอนว่ารัชทายาทไม่ได้รับปากสหาย ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่าพวกเขาจำเป็นต้องเกี่ยวดองกันเพื่ออำนาจและความมั่นคง ยังดีที่หลิวฝานเป็นสหายคนสนิท ถึงตัวเขาเองไม่ได้ชอบหลิวยุ่นฉานนักแต่ก็ไม่ได้เกลียดชังกัน
ระหว่างที่ขบวนรถม้าของรัชทายาทกำลังเดินทางกลับตำหนักบูรพา องครักษ์ที่ถูกส่งไปจับตาดูคุณหนูใหญ่ก็มารายงานรัชทายาทข้างหน้าต่างรถม้าที่กำลังตัวเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าไม่ได้รีบร้อนมากนัก
“นางตัดพ้อชีวิตอย่างนั้นหรือ” บุรุษองอาจที่นั่งนิ่งหลับตาอยู่ในรถม้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ยังทำร้ายตัวเองอีกด้วยแต่สาวใช้ข้างกายเป็นคนห้ามเอาไว้” องครักษ์ไม่ได้ยินสิ่งที่หลิวยุ่นฉานพูดชัดเจนนัก แต่พอจะจับใจความได้ว่านางตัดพ้อเรื่องที่ถูกซ่งหยวนใส่ร้ายป้ายสี และนั่นคือเรื่องที่รัชทายาทต้องการรู้
เมื่อองครักษ์รายงานจบหลี่ซู่เฟิงก็เปิดเปลือกตาขึ้น แววตาที่เย็นชาอยู่ตลอดวูบไหวเล็กน้อยเหมือนคลื่นที่ไหลกระทบฝั่งจากนั้นก็เลือนหายไป เพียงแค่ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ทำร้ายตนเอง
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปสืบข่าวมาว่านางถูกใส่ร้ายเรื่องอะไร” แน่นอนว่าเขาต้องการหาจุดอ่อนคุณหนูใหญ่ผู้นี้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ใช้ควบคุมนางและตระกูลหลิวได้ในอนาคต
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ย้อนกลับมาจวนเสนาบดีฝ่ายขวาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน หลิวยุ่นฉานเก็บตัวอยู่ในเรือนลี่หมิงก็ได้รับแจ้งว่าพี่ชายมาหา พร้อมทั้งนำของฝากมากมายจากต่างแคว้นมาให้
“ลองเปิดดูสิ ข้าแอบท่านแม่เอาสิ่งนี้มาให้เจ้าเลยนะ” หลิวฝานนั้นรู้ว่าน้องสาวถูกจำกัดการกินมานานหลายปี ถึงทำให้นางนั้นมีรูปร่างบอบบางเช่นนี้ ซึ่งช่วงนี้หลิวยุ่นฉานก็ล้มป่วยบ่อย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องบำรุงร่างกายให้มากสักหน่อย
เมื่อได้กลิ่นหอมสีหน้าของหลิวยุ่นฉานนั้นก็ดูดีขึ้นมาในฉับพลัน อาจเป็นเพราะร่างกายขาดหวานก็ได้ถึงทำให้มีอารมณ์แปรปรวนแบบนี้
“น่ากินมากเลยเจ้าค่ะ” สตรีส่งยิ้มให้พี่ชายแต่พอจะหยิบขนมมาลิ้มรสชาติ ก็มีเสียงของบ่าวรับใช้ชายดังขึ้นมาเสียก่อน
“คุณชายขอรับ!”
หลิวฝานได้ยินเสียงบ่าวรับใช้ร้อนรนก็สั่งให้อาอิ๋งรีบเอาขนมไปซ่อน แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้น หลิวยุ่นฉานมองภาพนั้นด้วยสายตาตระหนกแวบหนึ่งแล้วก็หัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก
หลิวฝานรู้ว่าฮูหยินใหญ่ส่งคนมาตรวจสอบเพราะคิดว่าเขาต้องนำของว่างติดตัวมาด้วยอย่างแน่นอน
“เอาไว้พี่ใหญ่พาข้าออกไปกินข้าวข้างนอกนะเจ้าคะ” การมีอยู่ของหลิวฝานนั้นทำให้หลิวยุ่นฉานอบอุ่นใจ แต่ปัญหาสำคัญก็คืออีกไม่กี่วันนางต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับรัชทายาทเสียแล้ว
เมื่อคนของฮูหยินใหญ่ที่มาดูลาดเลาเดินกลับไปแล้ว อาอิ๋งก็เอาขนมออกมาให้คุณหนูลิ้มรสชาติ จากนั้นก็ส่งสายตาให้คุณชายใหญ่ไปคุยกันที่ด้านนอก หลิวยุ่นฉานก้มหน้ากินขนมหวานอย่างเอร็ดอร่อยเลยไม่ได้สนใจสองคนนั้น ร่างกายของคุณหนูใหญ่ผ่ายผอมดูไม่ดีนัก เมื่อกินขนมในกล่องจนหมดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
“โอ๊ย!” หลิวยุ่นฉานยกมือกุมศีรษะเพราะรู้สึกปวดที่บาดแผล