จื่อรั่วอิงหน้าตึงอย่างไม่พอใจทันที
"ท่านย่าเจ้าคะ ข้าอยากแต่งเข้าจวนลี่หมิงอ๋องท่านกลับไม่อนุญาต แต่กลับยินดีที่ข้าจะแต่งเข้าจวนซื่อจื่อที่มีอนุอยู่ก่อนมากมาย ยังคิดถึงเรื่องกลัวเสียชื่อเสียงทั้ง ๆ ที่ข้าบอกว่าถูกลี่หมิงอ๋องลวนลามพวกท่านกลับไม่เอ่ยถึง การกระทำกับคำพูดของพวกท่านช่างย้อนแย้งกันเป็นอย่างยิ่ง ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ เลย"
"หุบปากเสีย อย่าเสียงดังโวยวายจนคนอื่นได้ยิน ข้าบอกแล้วว่าเรื่องที่เจ้าพูดไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อของเจ้าเพียงลำพัง หากยังพูดอีกข้าจะให้ท่านพ่อของเจ้าขังเจ้าจนกว่าจะถึงวันแต่งงาน โชคดีที่วันนี้ข้าอารมณ์ดียิ่งจึงไม่อยากให้วันดี ๆ ของข้าต้องมาเสียเพราะเจ้า หยุดทำตัวเหลวไหลแล้วเตรียมตัวแต่งงานให้ซื่อจื่อสกุลถัง อย่าได้คิดแต่งกับผู้ใดอีก"
"ท่านย่า ข้าไม่แต่งกับซื่อจื่อนั่น ข้าจะแต่งกับลี่หมิงอ๋อง ท่านคืนสินสอดเขาไปเถิดคนผู้นี้จะร่ำรวยกว่าลี่หมิงอ๋องได้อย่างไร ท่านย่าข้าจะหาสินสอดมาให้ท่านมากกว่านี้อีกข้ารับรอง ท่านชอบเงินชอบทองไม่ใช่หรือ ข้าสัญญาถ้าท่านเชื่อข้า ข้าจะหามาให้ท่านเป็นสองเท่ามากกว่าที่ได้รับวันนี้เลย"
สิ่งที่ได้รับคืออาการเจ็บแปลบที่ลำแขนของตน ด้วยบัดนี้นางถูกมือเหี่ยว ๆ ของท่านย่าบิดอย่างแรง
"เจ้าหลานคนนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้าเห็นข้าเป็นสตรีเห็นแก่เงินหรือ ด้วยฐานะลูกอนุอย่างเจ้ายังหวังให้ผู้ใดส่งสินสอดจำนวนมากเช่นนี้มาให้อีก จะให้ข้าเอาไปคืนหรือฝันไปเถิด นับจากนี้ข้าจะให้คนมาสั่งสอนเจ้าให้ดี สตรีออกเรือนต้องทำเช่นใด คงหวังพึ่งแม่เจ้าให้สั่งสอนไม่ได้ หากยังมีนิสัยเช่นนี้แต่งเข้าจวนคนอื่นคงได้ถูกแม่สามีรังเกียจเอาเป็นแน่ อย่างไรเจ้าก็ต้องคิดหน้าตาสกุลจื่อของข้าด้วย"
ท่านย่าโมโหจนควันออกหู ไม่คิดว่าหลานสาวปากร้ายผู้นี้จะกล้าว่านางเห็นแก่เงินเช่นนี้ ทั้งหมดนี่ต้องโทษเลือดไพร่ของอนุหลินผู้เป็นมารดา
อนุหลินได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าเอ่ยคำใด ทุกครั้งที่บุตรสาวต่อล้อต่อเถียงกับฮูหยินผู้เฒ่านางก็มักจะยืนดูอยู่ห่าง ๆ ด้วยรู้ดีว่าหากยื่นมือเข้าไปยุ่งก็ยิ่งทำให้เรื่องราวบานปลาย
ถึงแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ค่อยชอบจื่อรั่วอิงที่ซุกซนเกินไปแต่ การลงโทษที่บุตรสาวได้รับ นอกจากคุกเข่า ถูกบิดแขน แล้วก็มีเพียงกักบริเวณเท่านั้น ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกับเรื่องที่จื่อรั่วอิงก่อเอาไว้ก็นับเป็นการลงโทษสถานเบานัก
"คุกเข่าลง ฟังคำของข้าให้ดี"
ท่านย่ากล่าวจบก็เริ่มต้นสั่งสอนหลานสาวตัวดีให้ได้รู้สำนึก คนแก่เอ่ยแต่ละคำเชื่องช้าและยืดยาด แรก ๆ จื่อรั่วอิงก็ผงกศีรษะฟังอยู่บ้าง แต่ประโยคหลัง ๆ ก็เริ่มไม่เข้าหู เวลาผ่านไปไม่นานจื่อรั่วอิงก็เริ่มหาว
เมื่อเห็นหลานสาวตั้งใจฟังคำอย่างดี ท่านย่าผู้มีความรู้อันมากมายก็เริ่มพรั่งพรูคำสอนออกมาไม่หยุด หลังจากสั่งสอนจื่อรั่วอิงชุดใหญ่ผู้ชราก็พักเหนื่อยจิบน้ำชาไปหลายอึกเนื่องจากคอแห้ง ท่านยาวางถ้วยน้ำชาลงแล้วเอ่ยต่อ
"จื่อรั่วอิง คำของย่าที่พูดไปเมื่อสักครู่เข้าใจหรือไม่"
เงียบ...
มารดาของจื่อรั่วอิงกระแอมเล็กน้อยแล้วเอ่ยเรียกเบา ๆ
"อิงเอ๋อร์ ท่านย่ากำลังถามเจ้า"
คร่อก...ฟี้....
เมื่อเสียงกรนเบา ๆ ดังขึ้น สตรีชราถึงกับโกรธจนหน้าสั่น
"จื่อรั่วอิง!"
คราวนี้ฮูหยินชราถึงกับแผดเสียงจนจื่อรั่วอิงสะดุ้งตื่น นางหันไปรอบ ๆ พร้อมกับยกหลังมือปาดน้ำลายที่เกือบจะหยดลงมาทั้งอ้าปากหาวจนน้ำตาคลอเบ้า
"ท่านย่า ท่านเรียกข้าทำไมเจ้าคะ"
จื่อรั่วอิงมองท่านย่าอย่างงุนงง แน่นอนว่าท่านย่าของนางบัดนี้รู้ได้ว่า หลานสาวคนนี้ไร้หนทางเยียวยาแล้วกระทั่งคุกเข่าอยู่เช่นนี้ยังนอนหลับได้อย่างน่าอัศจรรย์ ท่านย่าส่ายหน้าไปมาทั้งลุกขึ้นด้วยความรู้สึกหมดหวังในตัวหลานสาวผู้นี้
"ช่างเถิด สตรีที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนกับน้ำที่สาดออก ต่อไปเรื่องของเจ้าหลังแต่งงานจะไม่เกี่ยวข้องกับจวนเสนาบดีอีกเฮ้ย เหนื่อยใจเหลือเกิน"
กล่าวจบท่านย่าก็ถูกท่านแม่ของนางและบ่าวรับใช้คนนั้นพยุงออกจากเรือนช้า ๆ ไปโดยไม่หันมามองนางอีก
จื่อรั่วอิงยังมึนงงแคะขี้ตาที่ดูเหมือนว่าจะติดที่หางตาเล็กน้อยแล้วปัดมือทำท่าจะลุกขึ้น ทว่าเสียงเย็นเยียบจากผู้ชราที่หันหลังให้นางกลับดังขึ้น
"ผู้ใดให้เจ้าลุกขึ้น คุกเข่าเช่นนั้นจนกว่าจะพ้นยามซวีวันนี้[1] พวกเจ้าไปนับสินสอดให้ดีแล้วเอาไปเก็บที่เรือนข้างของข้า อย่าให้นังเด็กตัวดีเอาสินสอดไปคืนจวนถังอ๋องได้เป็นอันขาด"
ท่านย่ารู้ทันนิสัยหลายสาว ก่อนจากไปแล้วทิ้งน้ำเสียงอำมหิตเอาไว้ให้คนกลัว
จื่อรั่วอิงชะเง้อคอมองท่านย่ากระทั่งไม่เห็นแผ่นหลังของผู้ชราแล้วจึงได้ปัดมือแล้วลุกขึ้น
"หึ จะให้ข้านั่งทั้งวันทั้งคืนเลยหรือไร ผู้ใดเชื่อฟังก็โง่แล้ว แค่เผลอหลับไปแป๊บเดียวเองทำไมท่านย่าต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยนะ ไร้สาระจริง ๆ สินสอดไม่คืนก็ไม่คืนสิ ข้าต้องหาวิธีจนได้แน่ ๆ"