“ไม่จ้ะ แต่แม่กับพ่อและทุกคนอยากให้หนูทำความรู้จักกับเขาก่อน”
“เอาเป็นว่าหนูจะลองศึกษานิสัยใจคอของเขาดูก็ได้ค่ะ” เห็นสีหน้าเศร้าๆ ของมารดาก็ทำให้เธอต้องเอ่ยปากเช่นนั้นออกไป แต่คิดเอาไว้แล้วว่าจะหาทางชิ่งอีกรอบ และเธอก็ควรจะคุยกับอีตาพ่อเลี้ยงนั่นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
อย่างที่ภูบอกเธอว่ามีปัญหาไม่ควรวิ่งหนีแต่ควรเผชิญหน้ากับมัน
“เขาอยู่ที่ไหนล่ะคะ หนูจะไปคุยกับเขา”
“อยู่ในสวนกับคุณพ่อน่ะ เวลามาหาก็คุยกันเรื่องต้นไม้เป็นนานสองนาน ชอบต้นไม้เหมือนเราเลย”
“ชิ! ประจบคุณพ่อน่ะสิคะ” เธอย่นจมูกใส่
“พ่อเลี้ยงไม่ใช่คนแบบนั้นนะลูก”
“จะไปรู้เหรอคะ นั่นพี่นวลจะเอาน้ำไปเสิร์ฟให้แขกของคุณพ่อเหรอจ๊ะ” ท้ายประโยคนิลยาหันไปถามสาวใช้ประจำบ้าน
“ใช่ค่ะคุณนิล”
“เดี๋ยวฉันเอาไปเอง” นิลยาคิดในใจว่าจะแกล้งทำน้ำหกหรือซุ่มซ่ามให้อีตาพ่อเลี้ยงนั่นเห็น จะได้ไม่ประทับใจที่ได้พบกับเธอครั้งแรก
สีหน้าของบุตรสาวทำให้นันทกากังวลอยู่ไม่น้อย แต่คิดว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด จึงปล่อยเลยตามเลย พยักหน้าให้นวลทำตามที่บุตรสาวต้องการ
นิลยาเดินเข้าไปในสวนก็ได้ยินบิดานั้นหัวเราะอย่างชอบใจ เธอคิดไปว่าอีตาพ่อเลี้ยงนั่นคงติดสินบนหรือขี้ประจบมากๆ เพราะปกติแล้วบิดาของเธอไม่ค่อยจะหัวเราะหรอกเนื่องจากท่านเป็นคนขรึม นี่คงเข้าทางบิดา รู้ว่าท่านชอบต้นไม้ก็เอาใจใหญ่
“น้ำค่ะ” เธอนำน้ำเย็นๆ เข้าไปเสิร์ฟให้คนทั้งคู่ ตั้งใจที่จะสะดุดขาตัวเองทำน้ำหกใส่เขาเต็มๆ และมันก็หกจริงๆ เมื่อเขาหันมา เธอตกใจจนสะดุดขาตัวเองที่ได้เห็นหน้าคู่หมั้นของตัวเอง
เขารับร่างของเธอที่เซถลาไปหา นิลยาตาโตเมื่อได้เห็นคนที่โอบรัดร่างของเธอเอาไว้
เป็นเขาได้ยังไงกัน!!!
เธอกะพริบตาปริบๆ หลับตาและลืมตาใหม่ คิดว่าตัวเองฝันไป อย่าบอกนะว่าคู่หมั้นของเธอคือคนที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้จากโจร เธอเรียกเขาว่าคุณภู เขาคือภูษิตอย่างนั้นเหรอ
“เป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย จนเธอต้องรีบดีดตัวออกมาจากอ้อมแขนของเขาในทันที
“ไม่เป็นอะไรค่ะ”
“เรานี่ซุ่มซ่ามจริงๆ เลย ดูสิพ่อเลี้ยงเลอะหมดเลย เราพาพ่อเลี้ยงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เลยไป เลอะแบบนี้นั่งกินข้าวไม่ได้แน่เอาชุดตาชัชก่อนแล้วกัน”
หลังจากโดนบิดาดุ นิลยาก็ต้องพาพ่อเลี้ยงหนุ่มไปเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ เธอหน้าบึ้งไปตลอดทาง เดินเร็วๆ จนภูษิตต้องรีบเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิครับ เดินไม่รอแบบนี้เดี๋ยวผมหลงนะ”
“พ่อเลี้ยงรู้ว่านิลเป็นใครทำไมไม่บอก ให้นิลหลอกด่าอยู่ได้ตั้งนานสองนาน” เธอพูดอย่างโกรธๆ
“ถ้าผมบอก นิลก็หนีไปอีก ผมกลัวนิลจะมีอันตราย”
“ก็น่าจะบอกความจริงกับนิล ปล่อยให้นิลด่าพ่อเลี้ยงอยู่ได้”
“ผมเข้าใจ คุณไม่อยากโดนบังคับให้แต่งงาน เป็นผมก็คงไม่ชอบใจเหมือนกัน”
“รู้ด้วยเหรอคะ ในเมื่อรู้แล้วก็ไปบอกคุณพ่อคุณแม่ของนิลด้วยว่านิลไม่อยากแต่งงานด้วย”
“จะไม่ให้โอกาสผมสักหน่อยเหรอครับ”
“เอ๊ะ! ไหนบอกว่าไม่บังคับไงคะ”
“ไม่บังคับสักหน่อย แต่เราไม่ลองมาศึกษานิสัยใจคอกันสักหน่อยเหรอครับ ถ้าไม่โอเคก็ค่อยว่ากันอีกที คุณจะปิดโอกาสผมขนาดนี้เลยเหรอ”
“แต่นิล”
“หรือคุณกลัวผม”
“นิลเหรอจะกลัวคุณ” เธอตาวาวใส่เขา นั่นทำให้ภูษิตถึงกับอมยิ้ม
“อมยิ้มอะไรของคุณ” เธอทำหน้างอใส่เขา
“คุณก็ชอบเอาชนะเหมือนกันนะ”
“นิลไม่ยอมแพ้แน่ๆ และนิลจะไม่มีวันหลงรักพ่อเลี้ยงเด็ดขาด”
“ผมจะคอยดูครับ” เขาเดินเข้าหาจ้องตาเธอ นิลยาจ้องตาไม่หลบ ก่อนที่จะรู้สึกใจสั่นแปลกๆ เลยรีบเบี่ยงหนีพาเขาไปเปลี่ยนเสื้อ
“นิลยืนรอหน้าห้องน้ำนะคะ พ่อเลี้ยงไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ” เธอยื่นเสื้อให้เขา
“ตั้งใจทำน้ำหกใส่เสื้อผมหรือเปล่าครับ”
“ทำไมนิลต้องทำแบบนั้นด้วย” เธอตาโตใส่เขา เมื่อเขาดันรู้ทันว่าเธออยากแกล้งเขาแบบนี้
“ก็อยากให้ผมกอดไง”
“โหย... คนอะไรโคตรหลงตัวเอง” เธอสะบัดหน้าพรืดก่อนที่เขาจะงับประตูเข้าไปเปลี่ยนเสื้อในห้องน้ำ
คนถูกรู้ทันถึงกับหน้าแดง เธอยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองไปมา ชิ! เกลียดคนรู้ทันนัก แรกเริ่มเดิมทีน่ะอยากแกล้ง แต่เธอนี่แหละ ตกใจที่เห็นเขา ดันสะดุดขาตัวเองจริงๆ
“นิลดูให้ผมหน่อยได้ไหมครับว่าเสื้อมันคับไปหรือเปล่า” เขาเรียกเธออยู่ในห้องน้ำ
“จะให้นิลดูยังไงล่ะคะ พ่อเลี้ยงเปิดประตูออกมาก่อนสิคะ”
“นี่ครับ คับไปไหม” เขาเอ่ยถาม ขณะมองเธอตาปริบๆ
นิลยาหัวเราะก๊ากออกมา เธอเป็นคนหยิบเสื้อตัวนี้มาให้เขาเอง ตัวเล็กที่สุด เป็นเสื้อตอนที่พี่เขยผอมสุดๆ ตัวเลยเล็กกว่าปกติ ภูษิตไม่ได้อ้วนแต่เขาตัวหนาและมีกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกายมากกว่าพี่เขย จึงทำให้ใส่แล้วดูตึงๆ คับๆ แต่มันก็พอดีตัวแหละ
คิดจะแกล้งเขาแท้ๆ แต่เธอกลับพบว่าหน้าอกกว้างของเขามันเซ็กซี่เหลือร้าย คนไม่ได้ตั้งใจจะคิดลามกหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหูเมื่อเธอคิดทะลึ่งไปว่าอยากจะซบอกกว้างของเขาเสียเหลือเกิน
“แกล้งผมเหรอ”
“เปล่าค่ะ เดี๋ยวไปเอาตัวใหม่มาให้นะ”
“แต่จริงๆ ตัวนี้ก็น่าจะได้นะ” เขาลองขยับดูก็พอใส่ได้ จึงดึงมือเธอมากดที่กระดุมเสื้อ
“กลัดกระดุมให้หน่อยสิ” พอเขาลองขยับมันก็ดูพอดีตัวและไม่ได้อึดอัดอะไรมาก เธอก็ใจลอยเผลอกลัดกระดุมให้เขาจนหมดรัง และพบว่ามือสั่นไปตลอดการกลัดกระดุมให้เขา
“ก็ใส่ได้นะ” เขาลองขยับตัวไปมาหน้ากระจก
“นิลว่าไหม” เขาหันมาเอ่ยถาม เธอก็อืมๆ หน้าแดง ก่อนจะเดินหนี ทำให้ภูษิตต้องเดินตามไปด้วยรอยยิ้ม
“มากันแล้วเหรอ มากินข้าวกันจ้ะ อาหารตั้งโต๊ะเสร็จพอดีเลย” นันทการีบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นภูษิตกับบุตรสาวเดินมาถึงห้องอาหารในเวลาไล่เลี่ยกัน
“เสื้อดูคับไปไหมคะ” นิลรัตน์ผู้เป็นพี่สาวของนิลยาเอ่ยถาม
“พอดีเลยครับ ผมใส่ได้ครับ” ภูษิตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ตักอาหารให้พ่อเลี้ยงสิลูก” ประโยคของมารดาทำให้นิลยาตักอาหารให้อีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เธอโกรธจริงๆ ที่เขารู้ทุกอย่างแต่ไม่ยอมบอกความจริงกับเธอ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้น บิดามารดายังให้เธอเดินออกมาส่งเขาที่รถอีก ภูษิตกะพริบตาปริบๆ ที่รถของเขายางแบนหมดทั้งสี่ล้อ
“อ้าว... มีอะไรเหรอ” นทีเอ่ยถามสองหนุ่มสาวที่เดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง
“รถยางแบนน่ะครับ ทั้งสี่ล้อเลย” ภูษิตพูดอย่างเป็นกังวล
“อ้าว... แล้วทีนี้จะกลับยังไงล่ะ” นันทการ้องขึ้น
“ก็ตามช่างมาเปลี่ยนยางสิคะคุณแม่”
“ไร่เราอยู่ไกลจากอู่นะลูก กว่าจะเปลี่ยนเสร็จใช้เวลานาน หรือพ่อเลี้ยงจะค้างที่นี่สักคืนดีไหมคะ” นันทกาเอ่ยถาม
“หนูไปส่งก็ได้ค่ะ” เธอไม่อยากให้เขานอนค้างที่บ้านเพราะคิดว่าทุกอย่างเป็นแผนของบิดามารดาจะให้เขานอนพักค้างอ้างแรมเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับเธอ ไม่มีวันเสียหรอก
“เดี๋ยวผมโทร. ให้คนที่ไร่มารับก็ได้ครับ” ภูษิตพูดอย่างเกรงใจ
“กว่ารถจะมารับคงอีกนาน ให้ยายหนูไปส่งก็ดีนะคะพ่อเลี้ยง ให้นวลนั่งรถไปเป็นเพื่อนลูกก็ได้นะ ไม่อยากให้ไปคนเดียว” ประโยคหลังนันทกาหันไปพูดกับบุตรสาว
“ก็ได้ค่ะ” จริงอย่างที่มารดาพูด เธอขับรถไปส่งภูษิตก็คงกลับมาค่อนข้างเย็น ให้นวลนั่งไปเป็นเพื่อนด้วยน่าจะดีกว่า
ดังนั้นหญิงสาวจึงขับรถไปส่งภูษิตที่ไร่ แต่ระหว่างทางมีท่อนไม้ขวางอยู่ ทำให้เธอต้องบ่นออกมา
“ท่อนไม้อะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวนิลลงไปดูนะคะ”
“อย่าลงไปครับ” ภูษิตเอ่ยปรามแต่ดูเหมือนจะไม่ทันกับคนใจร้อนที่รีบเปิดประตูรถลงไปดูแล้วกลุ่มชายฉกรรจ์ก็บุกเข้ามาหา พวกมันจ่อปืนมาตรงศีรษะ ในขณะที่ภูษิตล้วงปืนออกมาแต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว