เจ้าของดวงตาสีดำที่อภิยาลงความเห็นว่าดุ หันมองเธออย่างสำรวจเฉกเช่นเดียวกัน แค่เสี้ยววินาทีเขาก็เลิกสนใจ ตั้งท่าจะเดินเลยเข้าไปด้านในเสียอย่างนั้น “เอาของไปเก็บ พรุ่งนี้ค่อยไปที่ออฟฟิศ ให้ทางนั้นจัดหางานให้”
ได้ยินว่าเขาจะส่งไปที่ออฟฟิศ อภิยาก็อึกอัก เพราะผิดจากที่ตั้งใจไว้ แล้วเสียงของหญิงคนนั้นก็ท้วงเขาว่า “แต่คุณพุธคะ งานในออฟฟิศคนทำเต็มแล้วนะคะ ทำไมไม่ให้ทำงานที่นี่ไปก่อน งานในบ้านก็เยอะเหมือนกัน คนทำแค่หยิบมือเดียวเองค่ะ”
หญิงคนนั้นบอกจบ พสุธาหันมาถามว่า
“คุณน้อมหรือผมกันแน่ที่เป็นเจ้าของไร่”
คุณน้อมเงียบ สีหน้าไม่สบอารมณ์นักขณะตอบไปว่า
“คุณพุธค่ะ”
เขามองคุณน้อมด้วยสายตาเรียบนิ่งอึดใจเดียว ไม่ได้หันมองที่เธอด้วยซ้ำ แล้วเดินเข้าบ้านไป
คุณน้อมรอจนเขาคล้อยหลังแล้ว หันมาบอกเธอด้วยน้ำเสียงแบบเดิม “เอาของเข้าไปเก็บในห้อง แล้วออกมาที่นี่ ยังไม่ได้งานที่อื่น ก็ช่วยงานในบ้านไปก่อน”
อภิยายิ้มรับ บอกตัวเองว่าเธอทำงานได้หมด เธอพร้อมทำงานอยู่แล้ว ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้เรียนรู้งานในสวนเกษตรอินทรีย์ แต่ได้ทำงานอื่นไปก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
หลังจากเอากระเป๋าที่มีเพียงใบเดียวเข้าไปเก็บในห้องที่มีคนพาไป ก็รีบออกมาที่ด้านนอกทันที คุณน้อมสั่งงานให้เธอช่วยคนที่ทำอยู่ก่อนหน้า อภิยาไม่อิดออดรีบเข้าไปช่วยหลังจบคำสั่ง
“เพิ่งมาใหม่หรือไง เราน่ะ” คนถามเป็นคนที่เธอกำลังช่วยทำงานอยู่ อภิยาตอบรับอย่างต้องการผูกมิตรด้วย
“ใช่จ้ะ หนูชื่อหยิน พี่ล่ะ”
“พี่ชื่อต่อง”
พูดคุยกันอีกสองสามประโยค เธอก็ถามต่องไปว่า “ที่นี่มีงานอะไรให้ทำบ้างจ๊ะพี่”
“งานในสวน ส่วนใหญ่เป็นคนงานที่ทำประจำอยู่แล้ว คุณพุธไม่รับคนเพิ่มหรอก แล้วก็งานในออฟฟิศกับตรงคาเฟ่แล้วยังมีร้านขายของตรงข้างหน้านั่น เราเห็นไหมล่ะ ตอนเข้ามาน่ะ”
อภิยาพยักหน้าว่าเห็นแล้ว ถามต่อไปอีกว่า “แล้วที่นี่มีสวนเกษตรอินทรีย์ไหมพี่ต่อง”
“มีสิ นั่นน่ะ สุดหวงของคุณพุธแกเลยนะ”
“อย่างนั้นหรอกหรือ” พึมพำเบา ๆ ถามต่องอีกว่า “แล้วพี่ต่องทำงานตรงไหนบ้างหรือ ได้ไปทำในสวนบ้างไหมจ๊ะ”
“พี่ต่องทำทุกอย่าง ทำทุกที่ที่คุณพุธเรียกใช้”
อยากถามจังเลยว่าหากอยากไปทำงานในสวนเกษตรต้องทำอย่างไร แต่เอาไว้ก่อน เอาไว้ค่อยคุยกับทางลูกชายของคุณลุงอรรถพลอีกทีน่าจะดีกว่า แล้วชวนต่องคุย เพื่อเก็บข้อมูลของเขาเพิ่มเติม
“คุณพุธนี่ เขาดุไหมจ๊ะ”
“ไม่หรอก” ต่องตอบเร็วแบบไม่ต้องคิด
ได้ยินอย่างนั้นเธอก็ค่อยสบายใจ “จริงหรือพี่”
“ไม่ดุหลอก ๆ น่ะสิ ดุจริง ๆ เลย ดุชิ-หายเลยแหละ” ต่องกระซิบ ไม่กล้าพูดเสียงดัง “พี่จะบอกให้ ว่าถ้าไม่จำเป็นน่ะ ก็อย่าเดินผ่านไปให้คุณพุธเห็น ถ้าแกไม่เรียกหา อย่าได้เจ๋อไปเสนอหน้าเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะพี่”
ต่องเข้ามากระซิบกระซาบใกล้กว่าเดิม “พี่ได้ยินมาว่าแกเป็นพวกอารมณ์ไม่คงที่ เขาเรียกอะไรนะ ไบโลล่าใช่ไหม”
“ไบโพลาร์ไหม” อภิยาช่วยแก้ไขให้ “ไบโพลาร์น่ะเป็นพวกอารมณ์แปรปรวนแบบสอง...”
ต่องโบกมืออย่างไม่ต้องการฟังคำอธิบายของเธอ พูดถึงเจ้านายต่อเพราะไม่อยากให้ขาดตอน “แกขี้โมโห วันดีคืนดีแกก็ไล่คนงานออก ทั้ง ๆ ที่คนงานไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ”
ได้ยินก็ขมวดคิ้ว ไม่ได้นึกเชื่อในทีแรกที่ได้ยิน เท่าที่เห็นเมื่อตอนเขาเดินเข้าบ้านมา เขาก็ไม่ได้มีท่าทีแบบนั้นเลยนี่นา จึงถามกลับไปว่า “ทำไมเขาถึงเป็นไปได้ขนาดนั้นล่ะ ไม่สบาย เป็นโรคอะไรร้ายแรงหรือเปล่าพี่”
“ไม่ได้เป็นโรคเป็นเริคอะไรทั้งนั้นแหละ แต่คงเป็นนิสัยของแกมั้ง” ต่องเล่าไป ทำหน้าแหยง ๆ กลัว ๆ ไปด้วย “พี่จะเตือนเราไว้นะ ว่าคุณพุธน่ะ แกจำชื่อคนงานไม่ได้หรอก จำได้แค่คนสนิทของแก แล้วถ้าเผลอไปสบตาตอนแกสั่งงานเมื่อไร ก็แสดงว่าแกสั่งเรา ต้องรีบทำตามที่แกสั่งทันที ไม่อย่างนั้นนะ...”
ต่องยกมือทำท่ามีดเอาขึ้นมาปาดคอตัวเอง
อภิยามองต่องแล้วก็ถามออกไป “จะโดนฆ่าเลยหรือพี่ต่อง”
“ไม่ใช่” ต่องร้องบอกเสียงดังอย่างลืมตัว ก่อนจะลดเสียงลง “โดนไล่ออกต่างหากล่ะ”
เอาอย่างไรดี อภิยาครุ่นคิดเงียบ ๆ ต่อจากนั้น
เธอเคยหลบ เคยเลี่ยงไม่กล้าพบหน้าเจ้านาย ตอนที่ไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ก็ถูกสอนตั้งแต่ตอนนั้น ว่าหากไม่ได้ผิด ไม่คิดอู้งาน จะหลบหน้าเจ้านายไปทำไม
ไม่กล้าเจอหน้าเจ้านาย จะทำงานได้อย่างไร
คนที่เอาแต่หลบหน้านายจ้าง ก็เป็นคนไม่สู้งานเท่านั้น
เธอเห็นพ้องด้วย แล้วก็ไม่เคยหลบหน้านายจ้างอีกเลย
คงต้องเข้าไปคุยเรื่องงานกับเขาตรง ๆ แล้ว จะหลบเขาคงไม่ได้เรื่อง แล้วค่อยถามวันหลังว่าเขาจะให้เธอไปเรียนรู้ ไปฝึกงานในสวนเกษตรได้เมื่อไร จึงหันไปหาต่อง เพื่อถามต่อ “แล้ว...” ยังไม่ทันได้ถามจนจบประโยคดีเลยด้วยซ้ำ เสียงของคุณน้อมก็ฝ่าวงล้อมเข้ามา ทำเอาวงสนทนาที่มีกันแค่สองคนแตกฮือในทันที
“จะคุยกันอีกนานไหม แล้วเมื่อไรงานจะเสร็จ”
ต่องรับว่าค่ะ ๆ แล้วขมีขมันทำงานต่อ ไม่คุยอะไรอีกหลังจากนั้น
เธอช่วยงานจนเสร็จก็ล่วงเข้าช่วงค่ำไปแล้ว ได้กินข้าวกับคนงานคนอื่น ๆ จนอิ่มดี ถึงได้กลับเข้าห้อง อาบน้ำ เตรียมเข้านอน หัวถึงหมอนเธอก็หลับเป็นตาย ก่อนจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงกรนของเพื่อนร่วมห้อง
นอนพลิกไปมาก็ไม่หลับ เลยขยับตัวลุกจากที่นอน ออกมาที่ด้านนอก พบว่าอากาศข้างนอกเย็นกว่าในห้องเสียอีก แล้วหาที่นั่ง นั่งมองดาวที่ห้อยประดับอยู่เกือบเต็มท้องฟ้า พ่อกับแม่ของเธอเป็นดาวดวงไหนกันนะ
มองไปมองมา ตาเริ่มเคลิ้มจะหลับลงในที่สุด แล้วค่อยลุกขึ้นจะกลับเข้าห้อง
“เดี๋ยว! เธอ เธอนั่นแหละ”
อภิยาชะงักกับเสียงเรียกห้วนห้าวนั่น หันไปมองหา ก็ค่อยเห็นชายร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากเงามืด ๆ และตอนนี้เขาก็กำลังตรงมาที่เธอนี่แล้ว