EP.01 เรือนแห่งความหลัง

1219 Words
EP.01 พระจันทร์สีเหลืองนวลลอยเด่นอยู่กลางห้วงนภา สาดทอแสงกระทบเรือนทรงไทยล้านนาที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางมวลไม้น้อยใหญ่ กลายเป็นเงาทะมึนน่าเกรงขาม บริเวณโดยรอบมืดครึ้ม ม่านหมอกเส้นบางๆ ลอยควะคว้าง ขณะมวลผกายามดึกต่างส่งกลิ่นหอมขจรไกล ท่ามกลางความมืดมิดปรากฏร่างหนึ่งยืนเคว้งคว้างอยู่กลางลานหน้าเรือน เส้นผมดำขลับปลิวสยายไปกับสายลม สายตาของเธอเหม่อมองผ่านสายหมอกเส้นบางๆ ไปยังเรือนหลังใหญ่ด้วยอาการสงสัย หากภายในความรู้สึกบางคราวกลับคุ้นตา คล้ายดั่งว่าเธอจะเคยมาที่นี่ในเวลาใดเวลาหนึ่ง นานมาแล้ว...นานเท่าไร สุดคร้านจะคาดเดา บัดนั้น... กรุ่นแก้ว กลิ่นแก้วกราย       หอมบ่วาย วิเวกใจ ดุจห้วง แห่งอาลัย                 ว่ากลิ่นแก้ว เจ้าเรียกหา...    เสียงลำนำหวานสุดซึ้งดังแว่วมาตามสายลม เคล้ากับเสียงเครื่องดนตรีล้านนาที่คลอครวญชวนวังเวง ราวกับต้องการเชิญชวนให้นึกอยากจะไปพิสูจน์ถึงที่มาของเสียงเหล่านั้นว่าดังมาจากใคร และที่ไหน... ใบหน้างามหวานซึ้งครุ่นคิด คิ้วบางโก่งงามขมวดมุ่นเข้าหากัน สองหูสดับฟังบทเพลงคลอเสียงบรรเลงดนตรีระรื่นหู สรรพสำเนียงนั้นช่างคุ้นนัก สะกดให้หญิงสาวร่างบางสาวเท้าก้าวไปยังบันไดขึ้นเรือนไปอย่างช้าๆ แสงจันทร์สีนวลสาดทอกระทบร่างงามหนึ่งให้ดูสวยสะดุดตา โดยเฉพาะชุดที่กำลังใส่ร่ายรำอยู่นั้น สะท้อนแสงจันทร์จนเกิดประกายสีเงินยวงจากชุดปีกหางพราวระยิบระยับ มันยิ่งทำให้เธอจ้องมองเหมือนมีมนต์สะกดให้ยืนนิ่งงงงัน “ใครกันนะ” นิรัชฌาตั้งคำถามกับตัวเอง สองตาของเธอจับมองร่างนั้นด้วยใจระทึก “เธอเป็นใครกัน แล้วเรามายืนอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วที่นี่มันที่ไหน” หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเอง ทว่าสุดท้ายคำตอบที่ควรจะได้กลับไม่มี กลุ่มหมอกหนาลอยกรุ่นโอบอุ้มร่างงามในชุดช่างฟ้อนสะดุดตา แม้นิรัชฌาจะบอกตัวเองว่า เพิ่งเคยเห็นชุดนี้เพียงครั้งแรก แต่ในความรู้สึกเหมือนดั่งว่าเคยเห็น เคยสัมผัสและจับต้องมาก่อน นานมาแล้ว...นานเท่าไรก็สุดจะคาดเดาได้ ชุดนางรำที่สวมใส่นั้นงดงาม ส่วนปีกของชุดเป็นสีขาวสะอาดตาประดับด้วยแพรขนหางหลากสีคล้ายชุดรำมโนราห์ของทางภาคใต้ แต่สีไม่ฉูดฉาดเท่า ส่วนหางเป็นเพียงแค่ผ้าพื้นลายเรียบๆ วับวาวมีเสน่ห์ต้องตาผู้พบเห็น ดูงดงามนักเมื่อผู้สวมใส่อยู่ในชุดเสื้อคอตั้งป้ายปักลายสาบเสื้องดงามแขนยาวทรงกระบอกโปร่งบางรัดรูป สีแดงเพลิงเข้าส่วนกับชุดซิ่นทอสีแดงเหลือบดำ  “เข้ามาสิ” เสียงหวานแว่วเสนาะหูดังขึ้น นิรัชฌากลับรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งร่าง เสมือนมีสิ่งหนึ่งบังคับให้เธอก้าวเดินตามเสียงเรียกนั้น “เข้ามาสิมณีจันทร์ เข้ามาหาพี่สิเจ้านาง” นิรัชฌางุนงงต่อชื่อนั้น หญิงงามปริศนาเรียกใครกัน เรียกเธอแล้วทำไมถึงเป็นชื่อของคนอื่นไปได้ “เอื้อย น้องมาแล้วเจ้า” พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง นิรัชฌาเหลียวกลับไปก็พบกับร่างหนึ่งในเงามืด เธอพยายามเพ่งมองใบหน้าในเงานั้นด้วยความอยากรู้แต่ดูเหมือนสายหมอกจะเป็นอุปสรรคสำหรับการมองเห็นของเธอ “มาหาพี่สิมณีจันทร์ เครื่องสายเหล่านี้ยังขาดซึงของเจ้าอยู่” ร่างงามปริศนาหยุดการร่ายรำ เปิดโอกาสให้ผู้มาใหม่ได้เดินไปประจำที่ยังตั่ง ในเวลานั้นนิรัชฌาสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยที่แล่นผ่านเข้ามาในหัวอก ร่างงามระหงของผู้มาใหม่เดินแทรกผ่านร่างกายของเธอไปอย่างรวดเร็วก่อนจะไปนั่งลงบนตั่ง หล่อนกรีดนิ้วบรรเลงเป็นเสียงเพลงล้านนาโหมโรงนำเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ หากในเวลานั้นนิรัชฌากลับรู้สึกวูบเมื่อร่างของเธอถูกบางสิ่งแทรกผ่าน ทำให้รู้สึกปั่นป่วนภายในช่องท้อง จนแทบอยากจะอาเจียนออกมา ...อาทิตย์ ลาลับ ขุนเขา        นงเยาว์ เร่งฟ้อน ร่อนถลา                ปีกแก้ว ดั่งเทพ อัปสรา        มยุรา จากป่า หิมพานต์...  ...นวลน้อง ร่ำร้อง เล่นคีตา วีรยา เร่งรำ ตามทำนอง... เสียงหวานแว่วดังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงดนตรีที่ขับคลออย่างไพเราะเสนาะหู นิรัชฌาซาบซึ้งต่อเสียงและภาพสวยตรงหน้า เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นภายในหัวใจ เนิ่นนาน นานเกินกว่าที่หญิงสาวจะคิดว่าตัวเองจะยืนอยู่ตรงจุดนั้นได้ พลันก็ก่อเกิดสายลมยามดึกพัดหวนเข้ามา จนทำให้บริเวณนั้นฟุ้งตลบไปด้วยฝุ่นผง หญิงสาวยกมือขึ้นปิดป้องหน้าตาตนเอง “เห่อ เห่อ เห่อ” ท่ามกลางลมพายุที่พัดแรง ก่อเกิดเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น เสียงแหลมเล็กนั้นดังบาดใจ นิรัชฌาถึงกับตระหนก หญิงสาวหันมองโดยรอบก็พลันแปลกใจเมื่อร่างงามปริศนาเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว พวกเธอหายไปไหนกัน ก่อนจะเริ่มนึกหวั่นใจ นอกจากเธอแล้วพวกเขาหายไปไหน ยิ่งบรรยากาศแบบนี้เข้าแล้วมันยิ่งทำให้เธอกลั่นกรองความกลัวออกมามากกว่าเดิม “เห่อ เห่อ เห่อ” เสียงหัวเราะเยือกเย็นนั้นยังดังต่อเนื่องพร้อมๆ กับลมที่ยังคงความแรงไว้ตามเดิม นิรัชฌากลั้นใจพยายามเดินหาทางกลับลงจากเรือนหลังนั้นในทันที หมู่แมกไม้ในเงามืดต่างพัดลู่ตามแรงลม เงาของมันคล้ายหมู่ปีศาจจากขุมนรกอเวจีที่ต่างออกมาร่ายรำร้องเรียกให้หญิงสาวเข้าไปร่วมวงด้วย นิรัชฌาเริ่มหวาดผวากับการที่อยู่คนเดียวภายในบรรยากาศที่มืดสลัวปนวังเวงเช่นนี้ เมื่อเท้าเหยียบถึงพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่มก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วร่างกาย สองหูของเธอดังอื้ออึงไปด้วยเสียงลมที่พัดแรง ในเวลานั้นได้มีสิ่งหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว ความแปลกใจปนกับอาการอยากรู้จึงทำให้หญิงสาวก้าวเท้าเดินตามร่างนั้นไป “ใคร ใครกันนะ” เสียงหวานแว่วดังแข่งกับลมพายุ “เธอ เธอรอฉันด้วย” "เจ้า เจ้านาง น้องปิ๊กมาแล้ว น้องกลับมาหาพี่แล้ว ปิ๊กมาก่า ปิ๊กมาหาเอื้อยก่า” เสียงเย็นยะเยือกดังแทรกขึ้นพร้อมกับกิ่งลำไยสั่นไหว หญิงสาวหันขวับไปทางนั้น ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่ากับกิ่งลำไยที่ยังไหวอยู่น้อยๆ ไม่มีใครเลยสักคน แล้วเสียงนั้นมันดังมาจากไหนกัน “ใคร เธอเป็นใครน่ะ” เสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นเครือเมื่อความกลัวก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ ความเงียบ อารมณ์อ้างว้างต่อให้อยู่กันเป็นหมู่คณะก็คงมีการขนพองกันบ้าง “มณีจันทร์เจ้ากลับมาแล้ว มาก่า เอื้อยรอเจ้าอยู่ ปิ๊กมาหาเอื้อย ปิ๊กมา ปิ๊กมาก่าเจ้านาง” ลมเริ่มพัดแรงขึ้นไปอีก ขณะที่เสียงร้องครวญครางนั้นยิ่งดังอย่างต่อเนื่อง ผสมโรงกับเสียงเห่าหอนที่โหยหวนชวนวังเวง โครม “ว้าย ย ย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD