“คุณเมฆคงไม่ถูกใจของขวัญ” ขจรเกียรติเปิดฝากล่องที่วางไว้ออกดู เมื่อเห็นว่าเป็นอะไร เขาก็ส่ายหน้า “มิน่า ถึงทำท่าแบบนั้น”
สุณีขยับเข้ามาใกล้ ดึงกล่องไปดูบ้าง ก่อนจะถอนใจยาวเหยียด “นายท่านก็เหลือเกิน เอามาให้คุณเมฆทำไม ไอ้รถพวกนี้” นางหยิบกุญแจรถสปอร์ต มาวางบนโต๊ะ สีหน้าเหนื่อยใจ
ของขวัญที่สุริยะมอบให้ลูกชาย คือรถสปอร์ตคันหรูซึ่งเป็นคันที่สิบได้กระมัง นับตั้งแต่ ฆนากร โตเป็นหนุ่มมา สุริยะชื่นชอบความเร็วและเป็นนักสะสมรถยนต์คนหนึ่ง เมื่อเขาชอบสิ่งใด เขามักพยายามให้ลูกชายชอบตาม ทว่าคนเป็นลูกกลับไม่นิยมรถและความเร็ว ไม่น่าแปลกใจที่ฆนากรจะทำหน้าแบบนั้นเมื่อเห็นของขวัญ
“คุณเมฆคงจะรู้ว่าของขวัญเป็นอะไร ถึงไม่ได้ทำท่าตื่นเต้น” ขจรเกียรติมองของขวัญด้วยสายตาอ่อนใจ
“ใครจะตื่นเต้นไหว ก็เล่นให้รถแบบนี้ทุกปี” สุณีถอนหายใจอีกเฮือก นึกสงสารคุณเมฆของนางขึ้นมา “แล้วของขวัญจากคุณผู้หญิงล่ะ ยังส่งมาไม่ถึงหรือไง”
คำถามนั้นทำให้ขจรเกียรติ ยิ้มกว้าง สีหน้าเซ็งๆเมื่อครู่เลือนหาย นั่นทำให้ผู้เป็นภรรยา มองหน้าสามีด้วยแววตาสดใสขึ้น
“ตาบ้านี่! แกบังอาจแกล้งคุณเมฆของฉันเหรอ” นางตีเผียะที่ต้นแขนสามีแรงๆ “รู้ทั้งรู้ ว่าคุณเมฆรอของขวัญของคุณผู้หญิง แกยัง...”
ขจรเกียรติหัวเราะลั่น คว้าเอวหนาๆของภรรยามากอดไว้ พร้อมกับแก้มฟอดใหญ่ สุณีค้อนขวับ ก่อนจะหัวเราะขึ้นบ้าง
ติ๊ด... ติ๊ด... ติ๊ด...
เสียงนั้นดังลั่นปลุกให้คนที่กำลังนอนหลับอยู่ สะดุ้งตื่น แสงสว่างจ้าลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง ทำให้คนที่กำลังงัวเงียตื่นถึงกับตาพร่า จนต้องรีบกระพริบตาแรงๆ เมื่อหายตาลายก็หันไปคว้าโทรศัพท์ที่ส่งเสียงลั่นขึ้นมากดรับ
“วินท์ นี่ลูกอยู่ที่ไหน!” เสียงเอ็ดของมารดาทำให้ ความง่วงหายเกลี้ยง
“ผมอยู่บ้านเพื่อนครับ พอดี เอ่อ... เมื่อคืนเฮียเป๋งเขาเลี้ยง เลย...”
นภวินท์ตอบคำถามมารดาด้วยเสียงตะกุกตะกัก เมื่อมีมือของใครคนหนึ่ง ที่นอนอยู่ข้างๆ กำลังลูบไล้แผ่นอกเปลือยเปล่าของตนเองอยู่ เขาหันไปทำตาดุๆ อีกฝ่ายหัวเราะคิกยังราวีไม่เลิก มือบางเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ จนต้องตะครุบไว้
“แม่ครับ เอ่อ... เดี๋ยวผมจะรีบกลับครับ”
เขารีบตัดบทสนทนา เกรงมารดาจะได้ยินเสียงของใครที่ยืนหน้าเข้ามาใกล้
“แม่แค่โทรมาบอกว่า หนูปลายเขาไม่อยู่แล้วนะ เขาตามลุงอินไปตั้งแต่เมื่อวาน เขาฝากแม่ให้บอกวินท์ว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเขา ตามสบาย”
พูดจบคุณรจนาก็วางสายทันที คำพูดที่ปลายรุ้งฝากไว้ ฟังดูคล้ายเจ้าตัวกำลังเหน็บแนมเขาอยู่ นภวินท์ขยับลุกขึ้นนั่ง เขารีบกดเช็ครายการโทรของเมื่อวาน มีสายของปลายรุ้งเข้ามา แต่ใครเป็นคนรับสาย เขาจำได้ว่าฝากโทรศัพท์ไว้กับเพื่อนคนหนึ่ง และเพื่อนคนนั้นคงหวังดีรับสายให้แน่แท้
“เมื่อคืนน้องสาวพี่โทรมา ลิลลี่เลยบอกว่าไม่ต้องห่วง ลิลลี่ดูแลพี่อยู่” เสียงแหลมๆของสาวสวยข้างกาย เฉลยคำตอบให้ฟัง
เจ้าหล่อนเป็นหญิงสาวที่เขาพบในผับเมื่อคืน ความเมาบวกกับลูกยุของเพื่อน ทำให้นภวินท์ลองเข้าไปสีเล่นๆ แต่สาวเจ้ากับเล่นด้วยโดยแทบไม่ต้องออกแรง ก่อนจะพากันมาจบที่คอนโดของเขา นภวินท์นึกเสียใจที่เขามัวแต่สนุกสนานจนลืมปลายรุ้ง เธอคงโทรมาหาเมื่อรู้ว่าเขากำลังทำอะไรก็เลยไม่รบกวน ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกเซ็งจัด เขาสลัดผ้าห่มที่พันกายออก พร้อมๆกับสลัดปลาหมึกสาว ที่พัวพันยุกยิกรอบตัวเขาด้วย ร่างสูงเดินตัวเปล่าหายเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อกลับมาอีกครั้ง แม่สาวบนเตียงแต่งตัวเสร็จแล้ว โดยไม่เสียเวลาอาบน้ำสักนิด
“ให้ผมไปส่งไหม” นภวินท์เอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ ลิลลี่เรียกเพื่อนมารับแล้ว” เจ้าหล่อนยักไหล่ปฎิเสธ ดวงตาคู่สวย ที่ตกแต่งด้วยขนตาปลอม มองหน้าเจ้าของห้องด้วยแววตาหวานหยด “ คืนนี้เจอกันที่เดิมนะคะ ลิลลี่ไปล่ะ”
หญิงสาวเขย่งตัว โน้มคอของคนตัวสูงลงมา แตะริมฝีปากบนแก้มสากๆทีหนึ่ง ก่อนจะโบกมือลา แล้วพาร่างอวบอัดของตัวเองออกไปจากห้อง ทิ้งให้เจ้าของห้อง ยืนนิ่งในท่านั้นนานหลายนาที
“ปลาย... อย่าโกรธฉันนะ”
ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนขอบเตียง ซบหน้าลงบนฝ่ามือ หัวใจไหววูบ ความรู้สึกผิดพุ่งเข้ากระแทกหัวใจจนชาหนึบ ครั้งนี้เขาทำผิดอย่างมหันต์ ทั้งที่บอกกับปลายรุ้งแล้ว ว่าจะกลับมาฉลองด้วยกันที่บ้าน จะฟังเธอเล่นเปียโน
แต่เขากลับ...ลืมสัญญา
ร่วมสามเดือนที่ไม่ได้รับโปสการ์ดจากปลายรุ้ง ทำให้คุณรจนารู้สึกเป็นห่วงหญิงสาวมาก เดือนแรกที่เธอไปทำงานกับอินสรวง ยังมีโปสการ์ดรูปวิวสวยๆของปายส่งมาให้ทุกอาทิตย์ ทว่า... สามเดือนถัดมากลับไร้ข่าวคราวของจิตรกรสาวอีก ปลายรุ้งไม่เคยหายเงียบไปเฉยๆเช่นนี้มาก่อน ห่างที่สุดก็เพียงแค่เดือนเดียว แต่นี่ผ่านมาร่วมสามเดือนแล้ว โปสการ์ดสักใบอันเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างกัน ไม่มีส่งมาถึงเลย
“วินท์ หนูปลายส่งเมลมาหาวินท์ บ้างหรือเปล่าลูก”
คุณรจนาตัดสินใจโทรหาลูกชาย ที่กำลังตระเวนถ่ายภาพสารคดีของเขาในต่างจังหวัด
“ไม่นี่ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับแม่”
นภวินท์วางกล้องลงบนเตียง รามือจากการเช็คภาพชั่วคราว ขณะนี้เขาอยู่ในห้องพักของโรงแรมในจังหวัดอุบลราชธานี หลังจากเก็บภาพการแห่เทียนพรรษาตลอดช่วงเช้าถึงบ่ายเสร็จเสร็จ ชายหนุ่มก็กลับมาพักผ่อน เช็คภาพที่ถ่ายไว้ ก่อนจะเตรียมตัว กลับไปเก็บบรรยากาศในช่วงค่ำต่อ เสียงโทรศัพท์จากมารดาดังก้องขึ้น ทำให้เขาต้องรีบรับ
“วินท์ แม่เป็นห่วงหนูปลาย แกหายเงียบไปสามเดือนแล้วนะลูก เป็นอะไรไปหรือเปล่าก็ไม่รู้” น้ำเสียงของคุณรจนาฟังดูร้อนรน จนคนเป็นลูกรู้สึกได้
“ยายปลายเป็นแบบนี้ประจำ แม่ยังไม่ชินอีกเหรอครับ” เขาเอ่ยปลอบใจมารดา “แล้วแม่โทรไปหาลุงอินหรือยังครับ ยายปลายไปช่วยลุงอินเขียนรูปไม่ใช่เหรอครับ”
ข่าวสุดท้ายของปลายรุ้งที่นภวินท์รู้คือ หญิงสาวไปช่วยอินสรวงเขียนรูปตามออเดอร์จากชาวต่างชาติที่แกลลอรี่ของอีกฝ่ายที่แม่ฮ่องสอน ปลายรุ้งอาจจะทำงานเพลินจนลืมส่งโปสการ์ดให้มารดาก็เป็นได้ เขาสันนิษฐาน
“แม่โทรไปแล้ว ลุงอินเขาว่า มีลูกค้าเขาติดใจรูปของหนูปลาย เขาเลยจ้างให้หนูปลายไปเขียนรูปให้”
“ก็ดีนี่ครับแม่ ปลายเขาคงกำลังยุ่งๆมังครับ เลยไม่ได้ส่งข่าวให้แม่รู้”
สิ่งที่ลูกชายบอกทำให้คุณรจนาใจชื้นขึ้น แต่ความห่วงใยยังไม่จางจากใจ
“หนูปลายเขาไม่เคยเป็นแบบนี้นะลูก ลุงอินบอกว่านายจ้างของหนูปลาย เขาให้หนูปลายบินไปเขียนรูปที่บ้านของเขา หนูปลายเขาน่าจะติดต่อกลับมาบ้าง เงียบไปแบบนี้ แม่ชักใจไม่ดี”
ตอนนี้คนที่พลอยใจไม่ดีไปด้วยคือคนที่รู้เรื่อง นภวินท์วูบในหัวใจ รู้สึกห่วงเพื่อนสาวขึ้นมา แต่ยังแข็งใจปลอบมารดาไปว่า
“ปลายเขาไม่เป็นไรหรอกครับแม่ เดี๋ยวผมเสร็จงาน จะลองไปเช็คข่าวให้ แม่ทำใจให้สบายนะครับ”
“ถ้าได้ข่าวอะไร รีบบอกแม่นะลูก แม่กวนวินท์แค่นี้นะ ดูแลตัวเองด้วยลูก” คุณรจนาพูดจบก็วางสาย
นภวินท์มองโทรศัพท์ในมืออย่างชั่งใจ ก่อนจะกดโทรออก
“ลุงอินหรือครับ ผมมีเรื่องรบกวน เกี่ยวกับปลายครับ...”