เสียงไก่ขันดังระงมทั่วทุกสารทิศแสงตะวันยามรุ่งอรุณค่อย ๆ โผล่พ้นพื้นดิน ร่างสูงจึงดันตัวลุกขึ้นจากที่นอน พับผ้าห่มเก็บหมอนมุ้งเข้าที่ให้เรียบร้อย ก่อนจะหยิบผ้าขาวม้าพาดบ่าแล้วเดินลงไปข้างล่าง
เสยืนล้างหน้าแปรงฟันข้างโอ่งหลังบ้านขณะสายตานั้นมองตะวันสีทองอร่ามค่อย ๆ โผล่พ้นจากทุ่งนาเขียวขจี สูดกลิ่นหอม ๆ จากต้นข้าวที่โบกสะบัดพลิ้วไหวจนลำต้นโน้มเอนไปตามสายลม พัดพากลิ่นอันบริสุทธิ์ที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติเข้าปอดลึก ๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย...
เมื่อบ้วนปากและล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย เสก็เดินกลับขึ้นไปบนเรือน เข้าไปในห้องรับรองที่เต็มไปด้วยเครื่องสักการะ ก่อนจะนั่งลงบนพรมหน้าโต๊ะหมู่บูชาทำจิตใจให้สงบนิ่ง เพื่อสวดมนต์เช้าให้จิตใจผ่องใสมีสมาธิพร้อมรับวันใหม่ เมื่อสิบนิ้วประนมมือก็เปล่งบทสวดบูชาพระรัตนตรัยด้วยน้ำเสียงคงที่นุ่มลึกดั่งสายน้ำไหลริน
อิมินา สักกาเรนะ พุทธังอะภิปูชะยามิ อิมินา สักกาเรนะ ธัมมังอะภิปูชะยามิ อิมินา สักกาเรนะ สังฆังอะภิปูชะยามิ
เมื่อกล่าวจบก็ท่องบทนมัสการพระรัตนตรัย คำอาราธนาศีล 5 แล้วนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน กระทั่งได้ยินเสียงนกดังเจื้อยแจ้วจากด้านนอกหน้าต่าง อีกทั้งเสียงเท้าหนัก ๆ หลายคู่เดินอยู่บนถนนเมื่อเจ้าของพาออกไปเลี้ยงอยู่ทุ่งหญ้า ตามด้วยเสียงโซ่รถจักรยานเก่า ๆ ที่เจ้าของรถปั่นพร้อมกับผิวปากด้วยท่าทีอารมณ์ดีมุ่งตรงเข้ามาภายในบ้านเรือนไทย
...ตาคมกริบจึงลืมตาขึ้น ก้มกราบพระพุทธรูปด้านหน้าสามครั้งจากนั้นก็เดินออกจากห้องรับรองเห็นแก้วตากำลังจอดรถอยู่ใต้ต้นมะขาม
ทางด้านแก้วตาเมื่อจอดรถเสร็จเรียบร้อยก็เงยขึ้นมองไปยังบนบ้าน ทำให้สบตากับเจ้าของบ้านที่ยืนกอดอกมองอยู่ เธอจึงยกมือไหว้แล้วฉีกยิ้มกว้างส่งให้...
...การกระทำของเธอทำเอาร่างสูงถึงกับหลุดยิ้มกับความน่ารักน่าเอ็นดู
“ตื่นนานแล้วเหรอคะ?” แก้วตาเดินตรงไปหยุดยังตีนบันไดบ้านเอ่ยถามเสด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว
“สักพักแล้ว”
“วันนี้อยากให้หนูทำอะไรให้กินคะ” เสยืนคิดครู่หนึ่งก่อนจะถามคนที่อยู่ข้างล่างออกไปทั้งที่สายตาไม่ละจากใบหน้าเธอ
“แกงอ่อมหมูกับห่อหมกปลา ทำเป็นไหม?” เนื่องจากไม่ได้กลับบ้านนานจึงอดที่จะนึกอยากอาหารที่แม่มักชอบทำให้กินไม่ได้ แม้จะไม่ใช่ฝีมือแม่เขาแต่ได้เธอทำให้กินอย่างน้อยคงยังพอแก้ขัดกันได้
“เป็นค่ะ รอกินของอร่อยได้เลยค่ะ”
พอแก้วตาได้ยินแบบนั้นก็รีบตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจากนั้นก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อทำกับข้าว ส่วนเสก็เข้าไปในห้องนอนคว้าผ้าขาวม้าลงไปข้างล่างเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย...
ทางด้านแก้วตาเมื่อเดินเข้ามาในครัวก็เตรียมวัตถุดิบเพื่อทำกับข้าวตามที่อีกคนบอก เมื่อเอาปลาช่อนที่นะโมให้มาเมื่อวานและเนื้อหมูออกจากตู้เย็นเรียบร้อย ก็ออกไปก่อไฟหุงข้าวข้างนอก ระหว่างเดินไปยังเตาถ่านเห็นร่างสูงเดินถือผ้าขาวม้าเข้าไปในห้องน้ำพอดี
ทำเอาคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานก็เขินอายไม่น้อย...
ใช้เวลาสักพักใหญ่แก้วตาก็ทำกับข้าวเสร็จ ก่อนจะยกขึ้นไปบนบ้านจากนั้นก็วางกับข้าวลงบนเสื่อด้านหน้าร่างสูง แล้วเตรียมลงไปข้างล่างเพื่อกวาดใบมะขามเมื่อเห็นใบมันร่วงเยอะ ทว่า...
“จะไปไหน?”
“หนูว่าจะลงไปกวาดใบมะขามค่ะ เห็นใบมันร่วงเยอะมาก”
“กินข้าวหรือยัง?”
“ยังค่ะ”
“ไม่กินแล้วจะเอาแรงที่ไหนไปทำงาน” เสเอ่ยบอกแก้วตาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ขณะสายตาไม่ละจากใบหน้าเธอ
“เห็นตัวเล็ก ๆ แต่หนูแรงเยอะนะคะ”
“ถึงจะแรงเยอะแต่เคยได้ยินไหมกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดังนั้นลงไปตักข้าวมานั่งกินด้วยกัน”
“หนูนั่งกินด้วยได้เหรอคะ?” แก้วตาถามย้ำไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงติดขัดเพื่อให้แน่ใจว่าเธอได้ยินไม่ผิดใช่ไหมที่เขาชวนเธอนั่งกินข้าวด้วยกัน ขณะหัวใจนั้นเต้นสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะเพราะไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยชวนแบบนี้
“ไปตักข้าวมา”
“ค่ะ”
หลังจากตักข้าวมาแล้วแก้วตาก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบ ๆ เมื่อเขินอายจนทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเคี้ยวข้าวท่าไหนเลย ขณะสายตานั้นคอยเหลือบมองคนที่นั่งชันเข่าอยู่ด้านหน้าเป็นระยะ ๆ
“เห็นนะโมมันบอกว่าอายุยี่สิบเอ็ด?” ขณะกำลังจะตักข้าวยัดใส่ปากทว่าได้ยินคนด้านหน้าเอ่ยถามก่อน มือเล็กจึงรีบวางช้อนลงที่เดิมแล้วตอบออกไป
“ใช่ค่ะ”
“เรียนจบแล้วเหรอ?”
“หนูจบมอปลายค่ะ ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยต่อเพราะต้องช่วยยายทำงาน” สิ้นเสียงเล็กเสก็ช้อนตาขึ้นมองแก้วตาที่ไม่ได้สบตาเขาเหมือนเคย เธอก้มหน้าลงจับช้อนเขี่ยข้าวที่อยู่ในจาน ขณะใบหน้าพยายามฉีกยิ้มเพื่อซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ในใจ
“แล้วไม่อยากเรียนต่อ?”
“อยากค่ะ ตอนนี้หนูกำลังเก็บเงินเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยอยู่ค่ะ” พอเสเห็นแก้วตาพูดด้วยใบหน้ามุมานะก็เอ็นดูไม่น้อยเมื่อเห็นเด็กคนนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่ยังขยันแถมกตัญญูอีกต่างหากจึงพูดให้กำลังใจเธอ
“ขอให้ความตั้งใจประสบผลสำเร็จ”
“ขอบคุณค่ะ” จากนั้นเสก็ก้มหน้ากินข้าวต่อ โดยไม่รู้เลยว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่งมองเขาด้วยความรู้สึกตื้นตันใจในคำอวยพร
หลังจากทำงานบ้านทุกอย่างเสร็จแก้วตาก็ปั่นจักรยานกลับบ้านรอกลับไปทำกับข้าวตอนเย็น เมื่อปั่นจักรยานมาถึงบ้านก็เห็นยายกลิ่นนั่งอยู่แคร่หน้าบ้านแก้วตาจึงเดินไปหาพร้อมกับเอ่ยถามน้ำเสียงใสแจ๋ว
“กินข้าวเที่ยงยังจ๊ะยาย” ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงยังเปลที่ผูกอยู่ใต้ต้นมะม่วงแล้วไกวไปไกวมาด้วยท่าทีอารมณ์ดี
“กินแล้ว”
“ตอนเย็นยายไม่ต้องทำกับข้าวนะ เดี๋ยวหนูเอาจากบ้านหมอธรรมมาจ้ะ”
“ไม่ต้องเอามาเผื่อนะเพราะวันนี้ยายจะไปนวดให้คุณนายสมศรีที่บ้านแล้วนอนที่นั่นเลย”
เนื่องจากพึ่งเสร็จงานแต่งของลูกสาวไปเมื่อเช้า ทำให้สมศรีนั้นปวดเมื่อยไปทั้งตัว จึงโทรเรียกกลิ่นให้ไปนวดที่บ้าน ซึ่งพอได้ยินแบบนั้นแก้วตาก็ไม่ได้แปลกใจเพราะคุณนายสมศรีนั้นเป็นลูกค้าประจำของยายเธอมาแต่ไหนแต่ไร
...แต่ทว่าเขากลับไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เนื่องจากลูกสาวได้สามีฝรั่งจึงไปซื้อที่ทางและปลูกบ้านอยู่จังหวัดใกล้เคียงแก้วตาจึงสงสัยว่า...
“แล้วยายจะไปยังไงจ๊ะ?”
“เดี๋ยวศรัณย์ลูกชายคุณนายมารับที่บ้าน”
“อ๋อจ้ะ”
“อยู่บ้านคนเดียวก็ไม่ต้องออกไปไหนกลางค่ำกลางคืนนะ ใครมาเคาะเรียกก็ไม่ต้องเปิด เข้าใจไหม?”
“จ้ะ” เจ้าของใบหน้าสวยเอ่ยตอบออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด แม้จะได้ยินคำบอกกล่าวของยายมาตั้งแต่เด็กจนโตแล้วก็ตาม ซึ่งแก้วตารู้ดีว่ากลิ่นเป็นห่วงจึงคอยบอกย้ำทุกครั้ง...
“ผัวมึงเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นยังอีแวว” เมื่อได้ยินกลิ่นพูดขึ้นแก้วตาจึงหันไปตามสายตาของยายเธอ เห็นยายแววคนข้างบ้านกำลังนั่งทอผ้าไหมอยู่ใต้ถุนบ้าน
“แต่โรคคนแก่มันไม่หายหรอกอีกลิ่น”
“เออ ดูแลกันไป” แก้วตานั่งฟังเงียบ ๆ ก็นึกสงสารยายแววกับตาผวนที่แก่แล้วแต่ต้องดูแลกันเองเนื่องจากไม่มีลูกเต้าคอยดูแล...
หลังจากนั่งคุยกับยายของเธอและทำนู่นทำนี่กระทั่งถึงเวลาไปทำกับข้าวบ้านหมอธรรม แก้วตาก็คว้ารถจักรยานแล้วปั่นออกมาจากบ้านมุ่งตรงไปยังเรือนไทย
...ทั้งที่ได้ยินเสียงยายของเธอเอ่ยดังไล่หลัง
“ตอนเย็นอย่ากลับดึกนะแก้วตา”
“จ้า”
รถจักรยานคนเก่าวิ่งอยู่บนถนนขณะสายลมยามเย็นพัดปลิวผมสีดำเรียงสวยพลิ้วไหวตามกระแส สองขาเรียวเล็กปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปบ้านเรือนไทยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อปั่นสวนทางกับชาวบ้านที่ทยอยกลับมาจากไร่นาเธอก็ส่งยิ้มให้และทักทายตามประสาคนรู้จักกัน
ก่อนจะปั่นฝ่าฝูงควายของตายิ้มที่เดินกันเรียงรายอยู่บนถนนเลี้ยวเข้าไปในบ้านหมอธรรม...