รถพ่วงข้างที่ใช้งานมาร่วมสิบกว่าปีแล่นควันตลบอยู่บนถนนเล็ก ๆ ของหมู่บ้าน ขับผ่านชาวบ้านที่เดินทางกลับบ้านตนเป็นระยะ ๆ กระทั่งเลี้ยวเข้าไปในบ้านเรือนไทยหลังไม่ใหญ่มากแต่พื้นที่ข้างในนั้นกว้างขวาง
…ก่อนจะเห็นลูกศิษย์สองคนกำลังกวาดใบไม้และยืนรดน้ำต้นไม้อยู่
“ลงได้ไหมครับอาจารย์” เมื่อเห็นเสกำลังจะก้าวลงจากรถ ก้าน เด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งใบหน้าหล่อเหลาสวมใส่กางเกงยีนขายาวเพียงตัวเดียวมีผ้าขาวม้าพันรอบเอวไว้หลวม ๆ ก็รีบทิ้งไม้กวาดลงพื้น แล้ววิ่งเข้าไปพยุงอาจารย์ของตนลงจากรถ พอนะโมเห็นแบบนั้นจึงพูดขึ้น
“มึงก็ทำเหมือนน้ากูแก่เลยนะไอ้ก้าน”
“กูแค่ช่วยอาจารย์ลงจากรถ เหมือนแก่ตรงไหนวะ?”
“ครั้งแรกกูก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก พอพวกมึงสองตัวพูดย้ำว่าแก่ กูก็เริ่มคิดแล้ว”
ร่างสูงโปร่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกร่งกร้าวขณะสายตาคมกริบนั้นตวัดมองหลานชายใบหน้าหล่อทะเล้นตัดผมรากไทรนั่งคร่อมรถพ่วงข้างอยู่อย่างตำหนิเมื่อนะโมเป็นคนริเริ่ม ก่อนจะหันมองก้านแล้วยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เข้ามาช่วยตน
จากนั้นก็ก้าวลงจากรถแล้วเดินตรงไปยังบันไดขณะมือหนาก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตไปด้วยเนื่องจากอากาศวันนี้ร้อนอบอ้าว แถมเขายังใส่เสื้อแขนยาวติดกระดุมเกือบเม็ดสุดท้ายต่างหากเพื่อให้สุภาพ ทั้งที่ปกตินั้นสวมใส่เพียงกางเกงขาก๊วยตัวเดียวเท่านั้น…
เมื่อเดินเข้าไปในห้องนอนเสก็หยิบผ้าขาวม้ามาพันรอบเอวสอบ จัดการถอดเสื้อผ้าแล้วทิ้งลงในตะกร้าจากนั้นก็หยิบกางเกงขาก๊วยมาสวมใส่เพียงตัวเดียวแล้วเดินออกไปข้างนอก
เห็นเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อคมเข้มวัยสิบแปดปีเช่นเดียวกับนะโมและก้านเดินถือขันน้ำเย็น ๆ ขึ้นมาบนเรือนพอดี ร่างกำยำจึงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงยังโต๊ะไม้สักหน้าโทรทัศน์แล้วเปิดวิทยุฟัง ไม้ จึงยื่นขันน้ำเย็น ๆ มาให้
“ขอบใจ” ปากหนาขยับตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ขณะแขนที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดนั้นเอื้อมไปรับน้ำมาดื่มแก้กระหายทั้งที่หูยังฟังไม้เอ่ยถาม
“เรื่องแม่บ้านให้ผมไปประกาศหาเลยไหมครับอาจารย์?”
“ไม่ต้อง ผู้ใหญ่ลีจะถามชาวบ้านให้”
“อ่อ แล้วเช้านี้อาจารย์จะกินอะไร เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้”
ปกติยายอรจะหุงหาให้กินทว่าเธอลาออกไปแล้วซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่เสจะต้องหุงหากินเอง แต่ตัวเขานั้นทำกับข้าวไม่เป็น ที่ทำเป็นส่วนใหญ่ก็จะเป็นซอยจุ๊หรือของแกล้มเหล้าเท่านั้นเพราะเมื่อครั้งยังเด็กหนุ่มนั่นทำกินบ่อย
ทว่าตอนนี้เลิกกินไปนานแล้ว นานทีปีหนจะทำให้พวกลูกศิษย์และหลานชายกินเท่านั้น
“มึงขับรถไปหาดูในหมู่บ้าน มีอะไรก็ซื้อมา” พูดจบเสก็ล้วงเงินที่เหน็บอยู่กางเกงขาก๊วยสีกรมยื่นให้ไม้
“ได้ครับผม”
เมื่อรับเงินแล้วไม้ก็เดินลงบันไดมุ่งไปยังรถพ่วงข้างที่มีนะโมนั่งมองก้านกวาดใบไม้อยู่ จากนั้นทั้งสองก็ชวนกันออกไปซื้อกับข้าวให้อาจารย์ที่พวกตนเคารพนับถือ
ทางด้านเสเมื่อเห็นนะโมกับไม้ขับรถออกไปแล้ว ก็เตรียมจะตะโกนบอกก้านให้ไปหุงข้าวทว่าสายตาเหลือบเห็นรถกระบะของผู้ใหญ่ลีขับเข้ามาในบ้านเสียก่อน ร่างสูงจึงทิ้งตัวนั่งลงที่เดิมไม่นานผู้ใหญ่ลีก็เดินขึ้นมาบนเรือนแล้วลากเก้าอี้พลาสติกสีแดงมานั่งฝั่งตรงข้ามเขา
“พอดีผมหาแม่บ้านคนใหม่ได้แล้วก็เลยมาบอกพ่อหมอน่ะ”
“ผู้ใหญ่หาได้แล้วเหรอ?”
“ใช่ พ่อหมออยากให้มาเริ่มงานวันไหนเดี๋ยวผมจะได้ไปบอกให้”
“ถ้าเขาพร้อมก็มาได้เลย”
“ได้ถ้างั้นเดี๋ยวผมบอกให้”
“ขอบคุณผู้ใหญ่มากครับ ที่เป็นธุระให้”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เล็กน้อยไม่เท่ากับที่พ่อหมอช่วยหมู่บ้านเราให้อยู่เย็นเป็นสุขจนถึงทุกวันนี้หรอก” หลังจากคุยธุระเสร็จผู้ใหญ่ลีก็นั่งคุยกับเสต่ออีกสักพัก ไม่นานนะโมกับไม้ก็เดินถือถุงส้มตำกับไก่ย่างต้มแซ่บและอาหารอีกสองสามอย่างขึ้นมาบนเรือนผู้ใหญ่ลีจึงขอตัวกลับ
“เจ้ายังบ่ได้หุงข้าวแม่นบ่น้า?” (น้ายังไม่ได้หุงข้าวใช่ไหม?)
“เออ”
“ดี ข่อยซื้อข้าวเหนียวมาแล้ว เดี๋ยวไปเอาจานมาใส่ก่อน” (ดี ฉันซื้อข้าวเหนียวมาแล้ว เดี๋ยวไปหาจานมาใส่ก่อน)
หลังจากช่วยกันหยิบจานในครัวที่อยู่ใต้ถุนบ้านมา ก็จัดแจงเทกับข้าวที่ซื้อมาจัดใส่จานให้เรียบร้อยจากนั้นก็ปูเสื่อแล้วนั่งล้อมวงกินข้าวร่วมกัน
“หว่างหั่นผู้ใหญ่ลีเลามาเฮ็ดหยัง” (เมื่อกี้ผู้ใหญ่ลีเขามาทำอะไร)
“มึงนี่กะอยากฮู้ไปเบิ่ดเนอะ” (มึงนี่ก็อยากรู้ไปหมดนะ)
“กะข่อยมักเสือกเนอะ” (ก็ฉันชอบเสือกอะ) เสได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้ากับความตรงไปตรงมาของหลาน แล้วก็อดขำไม่น้อยเมื่อเห็นนะโมแล้วก็นึกถึงตนในตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มซึ่งดื้อรั้นไม่ต่างกันเลย หากไม่เข้าศีลคงไม่นิ่งสุขุมเหมือนเช่นในตอนนี้หรอก อีกทั้งอายุมากขึ้นด้วยจะให้เล่นเหมือนตอนยังเป็นหนุ่มรุ่น ๆ ก็ไม่ใช่
“ผู้ใหญ่ลีเลามาบอกว่าหาแม่บ้านผู้ใหม่ได้แล้ว” (ผู้ใหญ่ลีเขามาบอกว่าหาแม่บ้านคนใหม่ได้แล้ว)
“หาแม่บ้านได้แล้วเหรอครับอาจารย์?” เมื่อได้ยินเสกับนะโมพูดคุยกันเรื่องแม่บ้านไม้ก็เอ่ยถาม ขณะก้านนั่งฟังเงียบ ๆ
“เออ”
“ผู้ได๋?” (ใคร?)
“กูบ่ฮู้ เลายังบ่ทันบอกกู” (กูไม่รู้ เขายังไม่ได้บอกกู) ขณะนั่งชันเข่าปั้นข้าวเหนียวกินกับไก่ย่างอยู่ตาคมกริบก็ช้อนขึ้นมองหน้าหลานชายเมื่อถามมากจนเขาเริ่มจะรำคาญ
“เอ้า! เจ้ากะบ่ถามเนอะน้า” (อ่าว! น้าก็ไม่ถามนะ)
“แล้วมึงสิอยากฮู้ไปเฮ็ดหยัง สิซ่วยเพิ่นเฮ็ดงานติ” (แล้วมึงจะอยากรู้ไปทำไม จะไปช่วยเขาทำงานเหรอ)
“บ่แล้ว ข่อยอยากฮู้ซื่อ ๆ นี่ล่ะ เผื่อว่าสิเป็นผู้สาวงาม ๆ” (ไม่ ฉันอยากรู้เฉย ๆ นี่แหละ เผื่อว่าจะเป็นผู้หญิงสวย ๆ)
“คิดเป็นแต่แนวเดียวเนอะมึง” (คิดเป็นแค่เรื่องเดียวนะมึง)
แม้จะพูดออกไปแบบนั้นแต่ก็ไม่ถือสาอะไรเพราะรู้ว่านะโมยังอยู่ในวัยคะนองก็ไม่ผิดที่จะคิดเรื่องนี้ ซึ่งต่างจากเขาที่ตอนนี้อายุอานามเข้าเลขสามแล้วจึงไม่ได้ฝักใฝ่เรื่องรักใคร่เชิงชู้สาวแล้ว
...แต่ทว่าพอได้ยินคำพูดของนะโมก็อดหวนนึกถึงหญิงสาวที่เพิ่งเจอเมื่อช่วงเช้าไม่ได้ และได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใครทำไมหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ร่างสูงตกอยู่ในภวังค์ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงก้านพูดขึ้น
“ขอคนทำกับข้าวอร่อย ๆ ได้ไหมครับอาจารย์ ยายอรทำเค็มมาก กินแล้วผมกลัวได้ไปตรวจโรคไตต่อ”
“ใช่! เค็มมากจริง ๆ”
ไม้พูดเห็นด้วย ซึ่งพอเสได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อหลานและลูกศิษย์ของตนแต่ละคนเรื่องมาก เลี้ยงยากยิ่งกว่าลูกอีกแม้จะไม่เคยเลี้ยงลูกมาก่อนก็ตาม
…แต่ทว่าเรื่องนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะผู้ใหญ่ลีหาแม่บ้านได้แล้ว ก็แล้วแต่โชคชะตาว่าแม่บ้านคนใหม่จะทำกับข้าวอร่อยไหม
เมื่อกินข้าวอิ่มเสก็เข้าไปในห้องรับรองกับก้านและนะโมเพื่อปลุกเสกวัตถุมงคลกันภยันตรายไว้แจกแก่ผู้ที่เดือดร้อนเนื้อใจมาให้รักษา ส่วนไม้ก็เก็บจานไปล้างเนื่องจากทั้งสามเป่ายิงฉุบว่าใครจะได้เป็นคนล้างจาน ซึ่งความซวยตกเป็นของไม้...
ทางด้านแก้วตาหลังจากกินข้าวอิ่มก็เดินไปคร่อมรถจักรยานเพื่อปั่นพายายเธอไปบ้านตาน้อยเมื่อเขานัดยายเธอไปนวดจับเส้นที่บ้าน ส่วนกลิ่นพอปิดบ้านเรียบร้อยก็เดินถือพานสำหรับไหว้บูชาครูก่อนนวดเดินไปนั่งซ้อนท้ายจักรยานหลานสาว ก่อนที่แก้วตาจะปั่นจักรยานออกมานอกบ้าน
ทว่ายังไม่พ้นหน้าบ้านดีก็ได้ยินเสียงบีบแตรดังมาจากด้านหลัง เธอจึงรีบหยุดรถแล้วหันมองทางเห็นผู้ใหญ่ลีขับรถกระบะมาจอดเทียบข้างพอดี…
“แก้วตาหมอธรรมบอกว่าพร้อมวันไหนก็เข้าไปทำงานได้เลยนะ”
“หนูขอไปพรุ่งนี้ได้ไหมจ้ะ วันนี้ขอไปช่วยยายนวดก่อน”
“ได้พร้อมวันไหนก็เข้าไปบ้านหมอธรรมได้เลย”
“ขอบคุณผู้ใหญ่ลีมากเลยนะจ๊ะ” สิ้นเสียงหวานกระพุ่มมือสวยก็ยกขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม ผู้ใหญ่ลีเห็นแบบนั้นก็นึกเอ็นดูเธอไม่น้อย
“ไม่เป็นไร ช่วยได้เท่าที่ช่วย” พูดจบผู้ใหญ่ลีก็ขับรถออกไปทันที เมื่อเห็นว่าจอดรถขวางทางตายิ้มที่กำลังต้อนควายไปเลี้ยงอยู่กลางทุ่งท้ายหมู่บ้าน
“รีบไปเถอะแก้วตา เดี๋ยวตาน้อยรอ” เจ้าของใบหน้าสวยเอาแต่ยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่รับรู้เมื่อสักครู่ พอได้ยินเสียงยายของเธอดังขึ้นจึงรีบเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นยิ้มแล้วตอบออกไปด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว
“จ้ะยาย” จากนั้นรีบปั่นจักรยานพายายของเธอไปบ้านตาน้อยทันที...
เมื่อไปถึงบ้านตาน้อยแก้วตาก็นั่งดูยายเธอนวดเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติม กระทั่งกลิ่นนวดเสร็จทั้งสองก็นั่งพูดคุยกับตาน้อยอีกสักพักจากนั้นก็เดินทางกลับบ้าน
ตลอดทั้งวันแก้วตาทำงานบ้านปัดกวาดเช็ดถูจากนั้นก็ถือหนังสือไปนั่งอ่านอยู่ใต้ต้นมะม่วง กระทั่งเย็นก็เข้าไปในครัวเพื่อทำกับข้าวช่วยยายของเธอ
“พรุ่งนี้ไปทำงานบ้านหมอธรรมก็ขยันด้วยนะแก้วตา เห็นอะไรที่พอหยิบจับช่วยได้ก็ช่วย อย่าให้หมอธรรมว่าเราได้” แม้รู้ดีว่าหลานตนนั้นขยันอยู่แล้วแต่ก็อยากบอกย้ำไปอีกครั้ง ซึ่งขณะแก้วตากำลังนั่งเด็ดใบกะเพราอยู่พอได้ยินคำบอกกล่าวของยาย ปากอวบอิ่มก็ตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม...
“จ้ะยาย หนูจะขยันให้มาก ๆ ไม่ให้หมอธรรมว่าได้เลยจ้ะ”