...วังหลวงแห่งต้าหยวน...
เรือนกายอรชรผสานกับใบหน้างดงาม เรียวปากเล็ก ดวงตากลมโตใสแจ๋วสีม่วงงดงาม ใบหน้าเล็กเรียวเพียงฝ่ามือเท่านั้น กับการแต่งกายด้วยอาภรณ์เรียบง่ายแต่ก็หรูหรา กับเครื่องประดับบนศีรษะที่บอกถึงตำแหน่งของนางได้เป็นอย่างดีว่า สาวน้อยงดงามราวเทพธิดาตัวน้อยนั้นนางมิใช่ธรรมดา แต่เป็นพระชายาอี้ที่ฮ่องเต้ยังต้องเกรงใจบิดากับท่านปู่ของนาง
“พระชายาอี้”
ขันทีอายุราวห้าสิบกว่าปีโค้งกายจนศีรษะแทบโขกกับพื้น จู่ๆ แววตาใสแจ๋วสีม่วงก็บังเกิดความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่เรียวปากจิ้มลิ้มสีแดงระเรื่อตามธรรมชาติมิได้แต้มชาดให้ความงดงามต้องจืดจางลงไป ภายในใจของเด็กสาวก็คิดว่า หากนางเลือกจะไปเข้าเฝ้าฮองเฮาแทนที่จะเป็นฮ่องเต้ ตาเฒ่าผู้นั้นจะ ‘ร้อน’ ไปทั้งกายหรือไม่?
“กงกง เปิ่นหวางเฟยต้องการมาเฝ้าเข้าเสด็จแม่ ท่านช่วยไปกราบทูลให้เปิ่นหวางเฟยจะได้หรือ?”
เรียวปากจิ้มลิ้มนั้นกล่าวด้วยวาจาไพเราะ ส่วนจื่อชิงคนติดตามของพระชายาอี้ก็จับมือของท่านขันทีสูงวัยแล้วยัดบางสิ่งไปให้ ครั้นพอ ‘เหวินกงกง’ เปิดออกดูจึงพบ ‘ทอง’ ถึงสิบตำลึง ภายในใจจึงชื่นชมพระชายาอี้ว่าเป็น ‘เด็กสาว’ ที่เฉลียวฉลาดไม่น้อย
“ขอพระชายาอี้รอสักครู่นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปกราบทูลฮองเฮาเดี๋ยวนี้เลย”
มุมปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มสาแก่ใจยามที่หางตาเรียวงามของนางเหลือบไปพบ ‘คนของฮ่องเต้’ เร่งรีบไป ‘รายงาน’ หรือจะเรียกให้ถูกว่า ‘ส่งข่าว’ ก็คงมิผิดนัก คาดว่าป่านนี้ ‘บัลลังก์’ มังกรคงร้อนราวมีเตาถ่านซุกซ่อนอยู่เป็นแน่
“กราบทูลเพ่ยฮองเฮา บัดนี้พระชายาอี้ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
สตรีวัยราวห้าสิบหกปีที่กำลังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าสีอ่อนบนเก้าอี้แสนเรียบง่ายภายในตำหนักเหลียงเว่ยที่ทั้งเล็กและคับแคบ ภายในห้องที่นั่งก็เป็นเพียงโถงขนาดเล็กที่อี้หลานฮวามองเข้าไปแล้วแอบนึกในใจว่าเรือนของอนุภรรยาของบิดาของนางยังใหญ่และหรูหรากว่านี้ราวหกในสิบส่วน นั้นหันหน้ามามองดูขันทีอาวุโสด้วยแววตากับสีหน้าที่แสดงออกชัดเจน เนื่องจากผ่านมาจนป่านนี้น้อยคนนักที่จะมาเยี่ยมเยียนฮองเฮาที่ไร้อำนาจวาสนาที่สุดแล้วเช่นนาง
“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ พระชายาอี้ทรงรอเข้าเฝ้าอยู่” เหวินกงกงต้องเอ่ยย้ำอีกครั้ง สตรีที่วัยยังไม่มากและอาจน้อยกว่ามารดาของอี้หลานฮวาเสียอีก แต่กลับมีสภาพทรุดโทรมจนเห็นเส้นผมหงอกขาวประปราย ใบหน้าซีดขาว เรียวปากคาดว่าอดีตคงงดงามใช่น้อย หากแต่บัดนี้กลับดูแห้งจนมีรอยแตกเห็นชัดเจน
“อ้อ...เอ่อ เชิญพระชายาอี้เข้ามาด้านในสิ” นางดูมีแววตาแตกตื่นเล็กน้อย หากแต่สุดท้ายก็กลับมาสงบเยือกเย็นอีกครั้ง นางวางงานในมือลงแล้วคลี่ยิ้มให้กับเด็กสาวตรงหน้าที่เข้ามาย่อกายถวายพระพรครบถ้วนพิธีการ
“หม่อมฉันอี้หลานฮวา ถวายพระพรเสด็จแม่เพคะ / จื่อชิงถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”
สองสาวถวายพระพรฮองเฮาด้วยกิริยาให้เกียรติอีกฝ่ายจากใจจริง สตรีตรงหน้าที่เคยได้ฟังว่าน่าสงสารแล้ว พอได้พบเห็นกับตาอี้หลานฮวานั้นกลับสะเทือนใจจนพูดไม่ออก หากไม่บอกว่าสตรีตรงหน้าเป็นฮองเฮา แต่บอกว่านี่คือนางกำนัลอาวุโสเด็กสาวก็เชื่อสนิทใจ!
“ตามสบายเถอะ ต้าลู่ไปเตรียมขนมมาต้อนรับพระชายาอี้เร็วเข้า” พระนางหันไปสั่งขันทีวัยคงราวสิบหกถึงสิบเจ็ดปีให้เร่งไปยกขนมที่ดีที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นฝีมือฮองเฮาที่ปรุงขึ้นมาเองอยู่แล้ว ช่างใจดำอำมหิตกับสตรีน่าสงสารผู้นี้ยิ่งนัก พลันนั้นเด็กสาวก็เหมือนกับตนเองจะได้เห็นภาพอนาคตของตนเองซ้อนทับสตรีตรงหน้าขึ้นมาเลือนราง
"ขอเสด็จแม่อย่าได้ว้าวุ่นใจไปเลยเพคะ วันนี้เสี่ยวหลานตั้งใจมายกน้ำชาให้กับเสด็จแม่ เพราะแต่งเข้าสกุลหยวนมาถึงสิบแปดวัน กลับเสียมารยาทมิได้มายกน้ำชาเลยสักครา"
เด็กสาวทรุดกายอรชรลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเตี้ยที่มีเบาะรองนั่งแสนจะเรียบง่ายอย่างไม่คิดมาก แล้วเรียกเอาขนมไร้กังวลที่ตนเองตั้งใจทำจะนำมาถวายฮ่องเต้ แต่เพราะคนผู้นั้นจนป่านนี้จะพบหน้าของนางยังไม่กล้า แล้วของที่นางตั้งใจทำ เขามีคุณค่าพอจะมากินขนมฝีมือนางที่ใดกัน
...ตาเฒ่าสารพัดพิษผู้นั้นต้องทราบทุกสิ่งดีกว่าผู้ใดเป็นแน่...
หาไม่นางแต่งงานมาจนครบสิบแปดวัน แต่กลับมิได้เข้าวังยกน้ำชาเขาจะยังนิ่งเฉยเสแสร้งมึนเบลอเช่นนี้ได้อย่างไร สามวันนางมิได้ตามพระสวามีกลับบ้าน นี่ตกลงนางแต่งงานมานอนกอดหนังสือสมรสอย่างเดียวแล้วกระมัง ดังนั้นพอเห็นสภาพฮองเฮาจึงคิดว่าไม่แน่ว่าอนาคตนางอาจมีสภาพไม่ต่างจากสตรีตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นไปได้
"ขนมนี้เสี่ยวหลานตื่นมาทำตั้งแต่ยามอิ๋น เสด็จแม่ลองชิมดูสิเพคะ"
นิ้วเรียวแต่เหี่ยวยับย่น มองเห็นได้เพียงตาเปล่าของผู้ที่เป็น ‘ท่านหมอ’ แล้วก็ทราบทันทีว่ามือคู่นั้นทำงานหนักกว่าจื่อชิงที่เป็นสาวใช้ข้างกายของนางเสียอีก หึ! ตาเฒ่านั่นช่างสารเลวเสียจริง ภรรยารองเช่นเฉิงกุ้ยเฟยแต่งกายงดงามด้วยอาภรณ์เนื้อดีหรูหรา เครื่องประดับเกินหน้าเกินตาฮองเฮาไปหลายส่วน
แล้วดูสภาพของสตรีตรงหน้าของนางเถิด เสื้อผ้าอาภรณ์เรียบง่ายแสนจะธรรมดากับมีเพียงนางกำนัลสูงวัยหนึ่งนางและขันทีน้อยหนึ่งคน เรือนก็ทั้งเล็กทั้งคับแคบจนอี้หลานฮวาอยากเปลี่ยนชื่อตำหนักนี้เป็น ‘ตำหนักร้างรา’ เสียเหลือเกิน
“เสด็จแม่น้ำชาเพคะ” หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ พูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ เด็กสาวก็จัดการยกน้ำชาให้แก่ฮองเฮาด้วยจิตใจที่รู้สึกเป็นครั้งแรกนับจากแต่งงานเข้ามาในราชวงศ์ ว่าเพ่ยฮองเฮานั้นเป็นผู้ใหญ่ที่สมควรนับถือที่สุดแล้ว
“หน้าของเสด็จแม่ซีดเหลืองยิ่งนัก เสี่ยวหลานพอมีวิชาแพทย์ติดกายอยู่บ้าง มิทราบว่าหากจะขอตรวจชีพจรเสด็จแม่จะทรงยินดีหรือไม่เพคะ?”
เพราะนางมองอีกฝ่ายอยู่นานแล้ว สายตาของ ‘แพทย์’ ที่มองจนเริ่มแน่ใจว่าอาการใบหน้าซีดเซียว ผิวก็ดูหยาบกระด้าง ดวงตาขุ่นมัวมันผิดปกติ ยิ่งนางเติบโตมากับยาพิษกับยาถอนพิษ อี้หลานฮวามองปราดเดียวก็คิดว่าตนเองสายตาไม่พลาดเป็นแน่ เพ่ยฮองเฮาจะต้องถูกพิษอย่างแน่นอน
“เอ่อ...แม่สบายดี เสี่ยวหลานอย่าได้ว้าวุ่นวายใจไปเลย” เพราะเช่นไรอี้หลานฮวาก็เป็นคนของ ‘องค์ชายใหญ่’ ไปแล้ว และตลอดชีวิตของนางนับจากสิ้นบุญไทเฮา นางที่อาศัยอยู่ภายในวังหลวงก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แม้แต่ยาพิษก็ต้องยอมกลืนกิน หาไม่สกุลเพ่ยอาจถูกกวาดล้างจนสิ้นเป็นแน่ ไหนจะบุตรชายอีก หยวนลี่หยางนั้นนางยอมดื่มยาพิษในส่วนของเขา ก็มารดาคนใดจะอดทนเห็นลูกในไส้ดื่มยาพิษต่อหน้าได้ลงคอเล่า
พระนางเองก็เช่นกัน ดังนั้นสภาพร่างกายของตนเองจึงดูย่ำแย่ถึงเพียงนี้ แต่ช่วงหลังมานี้ฮ่องเต้เข้มงวดขึ้นมากส่งหมอหลวงมาตรวจโลหิต ก็มีบ้างที่หยวนลี่หยางจะต้องดื่มไปด้วย แต่เพราะส่วนใหญ่พระนางแอบสลับมาดื่มแทนหลายปี องค์ชายเจ็ดจึงมีพิษอยู่ในกายน้อยกว่าพระนางมากมายนัก แต่คนเป็นพระมารดาไม่คิดมาก ขอเพียงบุตรชายปลอดภัย ให้ต้องถูกตัดแขนตัดขาควักลูกนัยน์ตา พระนางก็ยอมทุกสิ่ง
“เช่นนี้เสี่ยวหลานคงต้องขอตัวกลับก่อนนะเพคะ แต่หากต่อไปเสี่ยวหลานจะแวะมาดื่มน้ำชา ถกโคลงกลอน และขอศึกษาเชิงหมากล้อม เสด็จแม่จะยินดีชี้แนะเสี่ยวหลานหรือไม่เพคะ?”
อี้หลานฮวาทราบดีว่าฮองเฮาคงไม่วางใจตนเอง ดังนั้นการแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอีกฝ่ายให้บ่อยครั้งนางจะต้องได้ตรวจร่างกายของสตรีน่าสงสารผู้นี้ได้เป็นแน่ ถึงนางหาใช่คนดี แต่วิชาการแพทย์กับคนที่ดีเช่นฮองเฮา นางอดใจที่จะช่วยเหลืออีกฝ่ายมิได้ แต่ก่อนจะช่วยคนนางจะต้องตีสนิทกับอีกฝ่ายเสียก่อน บาดแผลภายในใจของคนเราตื้นลึกหนาบางนั้นต่างกัน และบาดแผลของฮองเฮานั้นสาวน้อยไม่ทราบหรอกว่าจะลึกล้ำเพียงใด
แต่นางคือ ‘หมอ’ ย่อมยากจะปล่อยผ่าน โดยเฉพาะอีกฝ่ายไร้พวกพ้อง แถมฮ่องเต้ยังลำเอียง เฉิงกุ้ยเฟยยังร้ายกาจถึงเพียงนั้น คิดภาพไม่ออกเลยว่าตลอดเวลาที่พระนางต้องมาอยู่ตำหนักห่างไกลแทบจะเรียกได้ว่าอยู่กลางป่าไผ่เขียวแยกออกจากวังหลังเลยด้วยซ้ำ พระนางต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง
“หากเอ่อ...เฉิงกุ้ยเฟยยินยอม เจ้าก็มาได้เสมอนั่นแหละเสี่ยวหลาน”
เพ่ยฮองเฮาตอบออกไปอย่างไม่มั่นคงเท่าใดนัก เพราะตลอดมาตนเองเป็นฮองเฮาก็เพียงนาม หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างภายในวังหลังนี้ผู้ใดมีสิทธิ์จะอยู่หรือมีสิทธิ์จะหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย ก็มีเพียงเฉิงกุ้ยเฟยที่เป็นผู้ตัดสิน ส่วนพระนางมีสิทธิ์มีเพียงอยู่อย่างไร้ตัวตนเท่าใดยิ่งปลอดภัยเท่านั้น
“ขอเสด็จแม่อนุญาตก็เพียงพอเพคะ ส่วน ‘ผู้อื่น’ ขอเสด็จแม่อย่าได้ทรงอย่ากังวลไปเลยเพคะ” ใบหน้าสดใสดวงตาสีสวยผสานกับเรียวปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อแย้มยิ้มจนขนาดเพ่ยฮองเฮาที่เป็นสตรีด้วยกันยังถึงกับมองเพลิน น่าเสียดายที่เด็กสาวต้องแต่งงานกับบุรุษที่ไม่เห็นคุณค่าเช่นหยวนเยี่ยเจา อี้หลานฮวาสมควรได้แต่งงานกับบุรุษที่เห็นความงดงามและคุณค่าของนาง แต่จะเสียดายเพียงใด พระนางก็มีสิทธิ์ทำได้เพียงแค่มองตามเรือนร่างอรชรนั้นไปเท่านั้น
“พระชายาอี้พ่ะย่ะค่ะ หยุดก่อน พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีเช่นเหวินกงกงถึงกับเร่งฝีเท้าจากเดินเป็นวิ่งเพราะเกรงว่าจะไม่ทันพระชายาอี้ที่ทำท่าจะตรงกลับออกไปจากวังหลวง โดยไม่เข้าไปถวายพระพรฮ่องเต้กับเฉิงกุ้ยเฟย ก็ทราบว่าขนาดฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าสกุลอี้ แต่ไปเข้าเฝ้าเพียงฮองเฮาแล้วไม่เลยไปยังตำหนักจินหลงเห็นทีจะไม่สมควรอย่างยิ่ง
“ท่านกงกงมีอันใดกับเปิ่นหวางเฟยหรือ?” ทั้งที่ทราบว่าขันทีอาวุโสนั้นต้องการจะกล่าวสิ่งใด และนางเองก็ทราบว่าตนเองจะต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อให้เกียรติพร้อมทั้งเป็นการไว้หน้าราชวงศ์ แต่ช่วยไม่ได้ เฉิงกุ้ยเฟยและฮ่องเต้กับองค์ชายใหญ่ไม่ไว้หน้านางกับคนสกุลอี้ก่อน นางย่อมต้องคิดเอาคืนบ้างอยู่แล้ว
“เอ่อคือ...คือว่า...”
เหวินกงกงนั้นจะพูดก็พูดไม่ออกจะร้องไห้เสียก็จะดูไม่ดี แต่หากปล่อยให้พระชายาอี้ออกจากวังโดยที่ไม่ไป ‘ยกน้ำชา’ ให้แก่ฮ่องเต้ เห็นทีเขาคงรับเพลิงโทสะของฮ่องเต้และเฉิงกุ้ยเฟยไม่ไหวเป็นแน่
“เอาเถิด ขอกงกงอย่าหวาดกลัวไปเลย เปิ่นหวางเฟยทราบดีว่าต้องทำอันใดบ้าง เพราะบังเอิญครอบครัวสกุลอี้สั่งสอนเปิ่นหวางเฟยมาเป็นอย่างดีมิใช่...หึ! ช่างเถิด”
ผู้ใดมันจะคาดไปได้ว่าเด็กสาวหน้าซื่อดวงตาใสแจ๋วเช่นอี้หลานฮวานั้นจะกล่าววาจาร้ายกาจได้กินลึกเช่นนี้ แต่แปลกใจก็ส่วนหนึ่ง หากทำให้ ‘พระชายาอี้’ ไปเข้าเฝ้าให้สำเร็จนั่นก็อีกส่วนหนึ่ง
“ต้องการให้เปิ่นหวางเฟยไปพบผู้ใดก็เชิญท่านกงกงนำทางไปได้เลย เปิ่นหวางเฟยยังพอเหลือเวลาท่องเที่ยวอีกเล็กน้อยก่อนจะกลับสกุลอี้...หึ!”